31.10.08

เผยเคล็ดชะลอเหี่ยว ด้วยอาหารผิวสูตร 3 H

เผยเคล็ดชะลอเหี่ยว ด้วยอาหารผิวสูตร 3 H

ในงาน “Fight Anging Where it Starts” เปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด Anti-Aging Stress Cream และ Anti-Aging Longevity Serum ช่วยคลายความตึงเครียดของผิว และลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย ของเครื่องสำอาง La Prairie จากสวิตเซอร์แลนด์ โดยเชิญ นพ.กฤษฎา ศิรามพุช ผอ. สถาบันเวช-ศาสตร์อายุรวัฒน์ นานาชาติ และสองเซเลบริตี้ สาวสวย นาเดีย นิมิตวานิช, ดวงกมล เวลปุละ มาร่วมเผยเคล็ดลับการดูแลผิวให้อ่อนเยาว์อยู่เสมอ

คุณหมอกฤษฎา แนะวิธีการตรวจสอบและดูแลผิวพรรณแบบง่ายๆว่า ทุกคนสามารถตรวจสัญญาณความแก่ได้ด้วยตัวเอง โดยการจับจีบที่บริเวณหลังมือ หากผิวหนังสามารถเด้งกลับไปในรูปแบบเดิมได้ ก็แปลว่าสภาพผิวหนังของเรายังดีอยู่ หรือใช้นิ้วมือกดลงไปที่บริเวณแก้ม ในคนที่มีคอลลาเจนดีอยู่ ผิวหนังบริเวณนี้จะสามารถเด้งกลับไปในรูปเดิม

ส่วนวิธีที่จะช่วยชะลอความเหี่ยวย่นได้ แค่รู้จักให้อาหารผิวอย่างถูกวิธีด้วยสูตร 3 H ประกอบด้วย
1. Healthy Weight เลี่ยงแป้งและน้ำตาล
2. Healthy diet and Lifestyle บริโภคผักใบเขียวจัดสัก 5 กำมือ ปลาทู 2 ตัว ทานอาหารเพื่อต้านสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย
3. Healthy Mind คือต้องมีกำลังใจที่ดี มีจิตและสมาธิอยู่กับปัจจุบัน

ขณะที่พิธีกรสาวหน้าใส นาเดีย นิมิตวานิช มีวิธีดูแลผิวพรรณแบบง่ายๆด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ ที่เหมาะกับสภาพผิว และออกกำลังกายเป็นประจำ ส่วน ดวงกมล เวลปุละ บอกเคล็ดลับความงามในแบบฉบับของเธอว่า นอกจากออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันแล้ว เธอยังดูแลสุขภาพจิต ด้วยการคิดดี ทำดี และไม่เครียด ควบคู่ไปกับการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และมีคุณค่าทางโภชนาการครบ 5 หมู่.

ที่มา : ไทยรัฐ

30.10.08

ดูแลผมแห้งเสียให้กลับมานุ่มสลวย

ดูแลผมแห้งเสียให้กลับมานุ่มสลวย

คงไม่มีใครปฏิเสธว่าเส้นผมเป็นเรื่องสำคัญ เพราะผมเป็นปราการด่านแรกๆ ที่สายตาคนเรามักจับจ้อง และยังเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างเสน่ห์ เติมเต็มความมั่นใจให้สาวๆ ในทุกกิจกรรมตลอดวัน ยิ่งเป็นเวิร์กกิ้งวูเมนด้วยแล้วต้องสวยเนี้ยบตั้งแต่หัวจดเท้า ดังนั้น สารพัดวิธีที่จะทำให้ผมคุณดูดีคงหนีไม่พ้นการจัดแต่งทรง ดัด ยืด ทำสี หรือไฮไลต์

แต่ล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผมเสียอย่าง โดฟ ได้ทำการสำรวจพบว่าผู้หญิงไทยกว่า 80% มักมีผมอ่อนแอ แห้ง เสีย และแตกปลาย ลองมานั่งนับนิ้วกันดูดีกว่าว่า เส้นผมของคุณผ่านร้อนผ่านหนาวเพื่อให้ดูดีและอินเทรนด์มากี่ร้อยครั้งแล้ว เอาง่ายๆ เลย (ซึ่งคุณอาจไม่เคยรู้) แค่กิจกรรมที่คุณทำกับเส้นผมในชีวิตประจำวัน เพียงการหวีผม มัดผม เช่น รวบผมม้า ถักเปีย ก็ทำให้เกล็ดผมเปิดแล้ว ในขณะที่การใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม เช่น แฮร์สเปรย์ ยังทำลายผิวด้านนอกของเส้นผม จากการที่สารเคมียึดเส้นผมแต่ละเส้นไว้ด้วยกันให้เข้าทรง เช่นเดียวกับการไดร์ผม หรือรีดผมด้วยความร้อนสูงๆ เป็นประจำ ความชื้นที่อยู่ในเส้นผมจะเดือดเป็นฟองและทำร้ายแกนผมได้

นี่ยังไม่รวมถึงการที่ผมได้รับสารเคมี เช่น เวลาที่คุณทำสีหรือไฮไลต์ สารเคมีในสีย้อมผมจะทำให้เกล็ดผมเปิดออกอย่างเต็มที่ ก่อนที่ผมสวยจะโบกมือลาคุณไปอย่างไม่มีวันกลับ เพราะแห้งเสียและยับเยินอย่างรุนแรง โดฟจึงนำเคล็ดไม่ลับ 3 ขั้นตอนง่ายๆ ที่สามารถเปลี่ยนผมแห้งเสียให้กลับมาสวยได้ด้วยตัวคุณเอง มาฝากสาวๆ กัน เริ่มที่

1. สำรวจต้นตอของปัญหา เริ่มแรกควรวิเคราะห์สุขภาพเส้นผมกันก่อน ว่าส่วนไหนที่แห้งเสียมากที่สุด เช่น ปลายผมที่แตกแดงหรือฉีกขาด ก็ควรจะเล็มหรือตัดออกให้สิ้นซาก

2. หันมาใส่ใจดูแลอย่างต่อเนื่อง หลังขจัดต้นตอผมที่ไร้ชีวิตแล้ว ก็ถึงเวลานับหนึ่งใหม่สำหรับการดูแลและบำรุง ดังนั้น จึงต้องได้รับการดูแลและบำรุงอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ตั้งแต่การทำความสะอาด

ควรเลือกใช้แชมพูที่เหมาะกับสภาพผมแห้งเสีย หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงๆ ซึ่งอาจทำลายสมดุลของสุขภาพผมได้ และบำรุงด้วยครีมนวดผมเป็นประจำทุกครั้งหลังสระผม ยิ่งผมแห้งเสียรุนแรงด้วยแล้ว ครีมนวดผมทั่วไปอาจมีความเข้มข้นไม่เพียงพอต่อการบำรุง ดังนั้น ควรมองหาครีมนวดผมที่มีประสิทธิภาพการบำรุงอย่างล้ำลึก และสามารถซึมซาบเข้าบำรุงได้ตรงจุด

เพื่อการแก้ปัญหาผมเสียให้ได้ผลเร็วยิ่งขึ้น หลังทำความสะอาดด้วยแชมพู และบำรุงด้วยครีมนวดผมที่มีส่วนผสมของทรีทเม้นท์แล้ว ควรหมั่นฟื้นฟูและบำรุงผมสัปดาห์ละครั้งด้วยทรีทเม้นท์ มาส์ก และตามด้วยลีฟออยทุกครั้งหลังสระผม เพื่อฟื้นฟูเส้นผมแห้งเสียให้กลับแข็งแรงดังเดิม

3. ผมที่ผ่านการทำสี ดัด ยืด หรือไดร์บ่อยๆ ต้องการการดูแลและเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ เพราะถึงแม้ว่าคุณจะเปลี่ยนลุคด้วยการเปลี่ยนทรงใหม่ซะสวยหรู แต่ถ้าหากสภาพเส้นผมของคุณแย่จนแห้งเสียแตกปลายไร้ชีวิตชีวา ทุกอย่างที่ทำมาก็หมดความหมาย ดังนั้น ควรหมั่นดูแลและบำรุงอย่างสม่ำเสมอให้ครบทั้ง 3 ขั้นตอน โดยเฉพาะ การใช้ครีมนวดผมที่มีส่วนผสมของทรีทเม้นท์เป็นประจำทุกครั้งหลังสระผมด้วยแชมพู เพื่อฟื้นฟูผมแห้งเสียให้กลับมีสุขภาพดี

เพียงเท่านี้ เวิร์กกิงวูเมนสุดมั่นอย่างคุณ ก็สามารถคืนผมสวยสุขภาพดีได้ดังเดิม แถมยังอินเทรนด์ตลอดเวลาอีกด้วย

ที่มา..ผู้จัดการออนไลน์

29.10.08

เคล็ดลับดูแลผิวหน้าร้อนของสาวผิวมัน

เคล็ดลับดูแลผิวหน้าร้อนของสาวผิวมัน

เครื่องสำอาง SK-II เผยเคล็ดลับดีๆ ให้สาวๆ ขี้ร้อนบ้านเราที่มีปัญหาผิวมัน มีผิวสวย สดใสด้วยวิธีง่ายๆ พร้อมเปิดตัว SK-II Skin Refining Treatment เซรั่มชนิดครีมช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน และ SK-II Facial Treatment Clear Solution มอยส์เจอร์ไรเซอร์ชนิดเนื้อเจล ที่ช่วยลดการผลิตน้ำมันที่ต้นเหตุ เพื่อดูแลผิวของสาวผิวมันโดยเฉพาะ ก่อนอื่นต้องมาทำความรู้จักกับลักษณะของผิวมันเสียก่อนว่า คนผิวมันจะมีรูขุมขนที่กว้างกว่าผิวประเภทอื่น ลักษณะผิวจะค่อนข้างหยาบไม่เรียบเนียนเท่ากับสาวผิวแห้ง มีน้ำมันเยิ้มเป็นพิเศษในบริเวณ T-Zone หรือในช่วงของหน้าผาก จมูก และคาง โดยเฉพาะบริเวณจมูกจะมีสิวเสี้ยนค่อนข้างมาก ซึ่งในบางครั้งไม่ใช่สิวเสี้ยน แต่เป็นขนอ่อนๆแทรกขึ้นมาหลายเส้น จนดูคล้ายสิวเสี้ยนดำ

คุณอาจทดลองดูได้ว่าคุณเป็นคนผิวมันหรือไม่ โดยทดลองโดยการล้างหน้าเสร็จแล้วไม่ต้องทาครีมใดๆ ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง เมื่อลองลูบหน้าจะมีน้ำมันเหนียวๆ ติดมือคุณมาด้วย นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคุณเป็นคนผิวมัน เมื่อรู้จักสภาพผิวกันมาพอสมควรแล้ว ก็ถึงขั้นตอนของการดูแลผิวประจำวันกันดีกว่า เริ่มต้นจากการล้างหน้าวันละ 2 ครั้งก็เพียงพอ สำหรับสาวผิวมัน หลังจากนั้นอาจใช้โทนเนอร์เข้มข้น แต่ปราศจากแอลกอฮอล์ เพื่อเป็นการเช็ดคราบความมันและเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วออกไป อีกทั้ง ยังเป็นการควบคุมความมันบนใบหน้าได้อีกด้วย แต่คุณควรทดลองใช้โทนเนอร์ก่อนใช้ ควรเลือกโทนเนอร์ให้ถูกกับสภาพผิวของเราเอง เพราะโทนเนอร์หลายชนิดมักจะทำให้ผิวหน้าแห้ง และถ้าผิวของคุณแห้งและขาดน้ำ ยิ่งทำให้หน้าผลิตน้ำมันออกมาแทน ยิ่งทำให้ผิวหน้ามันเยิ้มมากยิ่งขึ้นได้

มอยส์เจอไรเซอร์สำหรับสาวผิวมัน ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นไม่แพ้สาวผิวแห้ง ซึ่งหลายๆ คนอาจมีความเข้าใจผิดกันว่า ผิวมันนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องทาครีมอีก แต่ในความจริงเคล็ดลับของสาวผิวมันคือ ต้องรักษาน้ำในผิวให้มากที่สุดต่างหาก ความมันบนใบหน้า ไม่ได้บ่งบอกถึงความชุ่มชื้นภายใต้ผิวหนัง ดังนั้น จึงควรเลือกครีมแบบที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนและอิลาสติน ซึ่งช่วยเคลือบผิวให้ชุ่มชื้นและที่สำคัญคือช่วยเก็บน้ำได้ดีมากยิ่งขึ้น แต่ต้องเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันให้น้อยที่สุด

นอกจากนี้ การสครับผิวหน้าสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ก็ช่วยให้สาวผิวมัน มีผิวที่เรียบเนียนและสดใสมากยิ่งขึ้นได้เคล็ดลับของสาวผิวมัน นอกจากจะทำความสะอาดผิวหน้าอย่างถูกวิธีแล้ว ยังควรเติมน้ำให้ผิวจากภายในด้วยการดื่มน้ำให้มาก เพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ

ที่มา : แนวหน้า

28.10.08

เคล็ดลับ แก้ปัญหาผิวหน้ามัน หน้าหมองคล้ำ รูขุมขนกว้าง ผิวหยาบกร้าน ไม่มีชีวิตชีวา

เคล็ดลับ แก้ปัญหาผิวหน้ามัน หน้าหมองคล้ำ รูขุมขนกว้าง ผิวหยาบกร้าน ไม่มีชีวิตชีวา

เคล็ดลับ แก้ปัญหาผิวหน้ามัน หน้าหมองคล้ำ รูขุมขนกว้าง ผิวหยาบกร้าน ไม่มีชีวิตชีวาปัญหาเกิดขึ้นที่ว่า ก็อย่างเช่น เรื่องของรูขุมขนกว้าง เหตุเพราะต่อมไขมันใต้ผิวหนังทำงานมากขึ้น รูขุมขนจึงต้องขยายตัวกว้างเพื่อจะได้ระบายไขมันออกมาได้สะดวก
- ผิวหน้ามัน เมื่อต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมามากกว่าปกติ ปริมาณน้ำมันบนผิวหน้าก็มากขึ้นไปด้วย ผิวหน้าจึงดูมันเยิ้ม เป็นเงา
- ผิวหน้าหมองคล้ำ ไม่สดใส เมื่อผิวหน้ามัน โอกาสในการซึมซับฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกจากอากาศเข้ามาสะสมบนผิวหน้าก็มีมากขึ้น หากทำความสะอาดไม่ดีพอ ผิวหน้าก็จะหมองคล้ำ ไม่สดใส
- ผิวหน้าหยาบกร้าน ไม่มีชีวิตชีวา ด้วยสภาพอากาศที่ร้อน แดดแรงและมลภาวะที่ผิวหน้าต้องเผชิญทุกวัน แม้ว่าผิวหน้าจะมัน ผิวก็เสียความชุ่มชื่นได้ตลอดเวลา ผลที่ตามมาก็คือ ผิวจะหยาบกร้าน ไม่เรียบเนียน


ด้วยสภาพปัญหาของผิวหน้ามันและรูขุมขนกว้างเพื่อชะลอการเกิดฝ้า และริ้วรอยที่จะตามมา จึงต้องเริ่มแก้ปัญหาผิวตั้งแต่การเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้ามันอย่างครบขั้นตอน เพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของกันและกัน เริ่มด้วย...

ขั้นตอนการทำความสะอาดผิวหน้า
เลือกเคลนเซอร์ล้างหน้าที่ช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้างและน้ำมันส่วนเกินได้อย่างหมดจด และต้องทำเป็นประจำทุกเช้า-เย็น หลังจากนั้นเช็ดผิวเพื่อทำความสะอาดอีกครั้งให้ล้ำลึกถึงรูขุมขนด้วยโทนเนอร์ เพื่อกระชับรูขุมขนและซึมซับน้ำมันส่วนเกินที่ยังหลงเหลือจากการล้างหน้าออกให้หมด
ตามด้วยการบำรุงผิวด้วยโลชั่นสูตรควบคุมความมันแบบโลชั่นเนื้อบางเบา ซึมซาบเร็ว เพื่อติมความชุ่มชื่นให้กับผิวที่เราต้องสูญเสียไปในขั้นตอนการทำความสะอาด สิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องเลือกสูตรที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน จะได้ไม่เป็นการเพิ่มจำนวนน้ำมันให้กับผิวหน้าของเรา
และขั้นตอนพิเศษ เพื่อให้ผิวหน้าสดใส ไม่หมองคล้ำ คือการขัดและพอกหน้า เป็นการขจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพให้หลุดออก เวลาขัดต้องขัดอย่างเบามือนะคะ แล้วนวดวนเป็นวงกลมอย่างนุ่มนวล เพื่อไม่ให้ผิวระคายเคือง คุณทราบมั๊ยคะว่า การนวดจะช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของโลหิต

ที่มา : น.กุลสตรี

27.10.08

ผิวสวย สุขภาพดี ดื่มน้ำวันละ 2 ลิตร

ผิวสวย สุขภาพดี ดื่มน้ำวันละ 2 ลิตร

จริงหรือไม่ ?...ที่ใครๆ ก็สวยได้ด้วยน้ำ..!!! อาจเป็นคำถามที่หลายคนสงสัยใคร่รู้ครับ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงทั้งหลาย ถ้าหากใครอยากมีผิวพรรณสวยใส สุขภาพดี


ก็ไม่จำเป็นต้องทุ่มทุนหมดหน้าตัก เพียงแค่คุณดื่มน้ำ สิ่งดีๆ ก็จะมาเยือนถึงเนื้อถึงตัวกันเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคนจำนวนมากอาจละเลยการดื่มน้ำเนื่องจากหลายๆ สาเหตุ เราจึงควรดื่มน้ำให้เคยชินจนเป็นนิสัย โดยเฉพาะในยามที่อากาศร้อนๆ แบบนี้ ร่างกายสูญเสียเหงื่อง่าย จึงควรดื่มน้ำบริสุทธิ์ทดแทนมากๆ ค่ะ


“สมุนไพรดอทคอม” มี 8 ข้อแนะนําดีๆ ในการดื่มน้ำมาฝากกันด้วยค่ะ
- เริ่มต้นเช้าวันใหม่ทุกๆ วันด้วยน้ำแร่ธรรมชาติ ที่จะช่วยให้สะดวกในการคำนวณปริมาณน้ำที่ดื่มในแต่ละวัน
- วางน้ำดื่มไว้ข้างเตียงคุณก่อนเข้านอน เผื่อว่าคุณตื่นขึ้นมา กลางดึก ให้นึกถึงน้ำดื่มสักแก้ว เพื่อช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกายคุณอย่างทันที และช่วยให้นอนหลับต่อได้อย่างง่ายดาย
- พกพาน้ำดื่มไปกับคุณในทุกๆ ที่ ทั้งในรถ ระหว่างการเดินทาง เวลานั่งทํางานหน้าคอมพิวเตอร์ หรือตอนดูทีวี การดื่มน้ำให้เป็นนิสัยจะนํามาซึ่งการมีสุขภาพที่ดี
- การดื่มน้ำจากขวดให้ได้บ่อยที่สุด เป็นวิธีที่ดีที่จะช่วยเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำของคุณ โดยดื่มจากขวดของคุณเองเท่านั้น และดื่มไปได้ตลอดทั้งวัน
- เมื่อเล่นกีฬา คุณควรเพิ่มปริมาณน้ำให้แก่ร่างกายอย่างสม่ำเสมอ โดยดื่มน้ำก่อนและระหว่างการออกกําลังกาย นอกจากนี้ ยังต้องดื่มน้ำหลังจากการเล่นกีฬาให้เป็นปริมาณที่เพียงพอเพื่อชดเชยเหงื่อที่สูญเสียไประหว่างการออกกําลังด้วย
- วางขวดน้ำไว้บนโต๊ะที่ทํางานเสมอ เพราะจากการศึกษาพบว่า มีคนจํานวนมากที่ดื่มน้ำน้อยเกินไปเมื่ออยู่ในที่ทํางาน
- ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนรับประทานอาหารกลางวัน จะช่วยลดอาการหิว และควบคุมปริมาณการบริโภคอาหารได้ดี
- การดื่มน้ำหลังอาหารกลางวัน จะช่วยให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีปริมาณแคลอรี่สูงประเภทอื่นๆ ได้ด้วย

ดังนั้น..หากต้องการมีสุขภาพที่ดี จึงควรดื่มน้ำในปริมาณที่ร่างกายต้องการให้เพียงพอทุกวันเป็นประจํา มากกว่าที่จะรอจนร่างกายรู้สึกกระหายแล้วจึงดื่มนะค่ะ


ที่มา : samunpri.com

26.10.08

ไม่รวยก็สวยได้ด้วยสมุนไพรไทยใกล้ตัว

ไม่รวยก็สวยได้ด้วยสมุนไพรไทยใกล้ตัว

การที่ผู้หญิงสักคนจะดูดีได้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้านั้น...จริงหรือที่จำนวนเงินในกระเป๋าจะเป็นตัวกำหนดความงาม แล้วสาวทำงานงบประมาณจำกัดอย่างเราๆ ล่ะ จะยังสวยได้เท่าเทียมกันหรือเปล่า...ขออาสาพาคุณสาวๆ มาทำความรู้จักกับสมุนไพรไทยใกล้ตัว ที่จะเนรมิตให้คุณได้สวยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า...รับรองว่าไม่ทำให้กระเป๋าฉีกแน่นอน ผมสวยสุขภาพดี.คุณเองก็มีได้

ไม่ว่าคุณจะมีผมมัน ผมแห้งแตกปลาย ผมร่วง หรือมีรังแค หากรู้จักวิธีการบำรุงรักษาที่ดี เส้นผมก็จะนิ่มสลวย เงางามสะดุดตา นอกเหนือจากการให้ความสำคัญต่อการทำความสะอาดเส้นผมแล้วนั้น ทางลัดสู่การมีผมสวยสุขภาพดีด้วยสมุนไพรอย่าง ขิง บอระเพ็ด อัญชัน ว่านหางจระเข้ ก็เป็นเรื่องง่ายที่ทำได้ด้วยตัวเอง ขิง เป็นที่รู้จักกันดีว่า มีสรรพคุณในการช่วยขับลม ช่วยย่อยอาหาร ขับเหงื่อ และขับน้ำนม ถ้าใครกำลังเจอปัญหาผมร่วง ก็แค่นำเหง้าขิงมาอังไฟให้อุ่นจัดแล้วบดให้ละเอียด นำไปทาบริเวณหนังศีรษะ น้ำมันในขิงจะช่วยกระตุ้นการงอกของเส้นผม ทำให้ผมที่งอกขึ้นใหม่มีความแข็งแรง บอระเพ็ด ว่ากันว่าแค่นำเถาบอระเพ็ดมาตำคั้นน้ำผสมน้ำซาวข้าว ชโลมผมทิ้งไว้ ก็ช่วยแก้ปัญหาผมหงอกก่อนวัย แก้รังแค บรรเทาอาการคันศีรษะ ได้เป็นอย่างดี

อัญชัน เป็นพืชสมุนไพรริมรั้วที่สาวๆ ตั้งแต่รุ่นคุณแม่ คุณยาย นำมาใช้เสริมแต่งให้คิ้วและผมดกดำเป็นเงางาม ในอัญชันมีสารแอนโทไซยานิน (anthrocyanin) ซึ่งไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของหลอดเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงรากผมมากขึ้น

ว่านหางจระเข้ ชาวอินเดียแดงได้ให้สมญานามไว้ว่า "ไม้เท้ากายสิทธิ์จากสวรรค์" เพราะว่านหางจระเข้มีประโยชน์มากมายใช้รักษาโรคได้ทุกส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะเส้นผมสาวๆ คนไหนที่ชอบดัดผม หรือทำสีผม มักมีเส้นผมแห้งแตกปลาย ไร้น้ำหนัก อย่าเพิ่งหมดหวังที่จะกลับมามีผมสวยดังเดิมเพราะแค่นำวุ้นจากว่านหางจระเข้ ผสมกับไข่แดง น้ำมันมะกอก ปั่นให้เข้ากัน นำมาหมักผมทิ้งไว้ 30 นาที แล้วล้างออก ทำเพียงสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เส้นผมจะกลับมานุ่มสลวยเหมือนเดิม

ผิวดีเริ่มต้นที่บ้าน
ผิวพรรณที่ดูดีต้องเริ่มต้นจากการที่เราสามารถดูแลด้วยตัวเองที่บ้านอย่างง่ายๆ ได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาจากผู้เชี่ยวชาญด้านความงามเสมอไป เพียงแค่เรื่องใกล้ๆ ตัว เช่น อย่ามองข้ามการดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 แก้ว นอนหลับวันละ 6-8 ชั่วโมง เคล็ดลับง่ายๆ เพียงเท่านี้ก็บำรุงผิวให้สดใสอย่างไม่ต้องลงทุนแถมยังดีกับสุขภาพอีกด้วย

แต่ถ้าใครขยันอีกสักนิด ลองหยิบจับพืชผักสมุนไพรใกล้ๆ ตัว อย่าง มังคุด แตงกวา มะขาม ขมิ้นชัน มาบำรุงผิวพรรณให้สดใสไร้ริ้วรอยก็ไม่ว่ากัน

มังคุด ในเปลือกมังคุด มีสารแอนโทไซยานิน และสารกลุ่มแทนนิน ซึ่งช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง และฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่น ชะลอความแก่ชรา กระชับรูขุมขน และระงับกลิ่นกายได้เป็นอย่างดี คนโบราณนิยมนำเปลือกมังคุดต้มน้ำอาบเพื่อแก้อาการผดผื่นคันที่ผิวหนัง

สีเขียวๆ และความชุ่มชื้นของ แตงกวา มีประโยชน์อย่างมากกับผิวพรรณ เพราะแตงกวา มีสารกลูซิด กรดอะมิโน และเกลือแร่ต่างๆ ที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นตามธรรมชาติให้กับผิว นอกจากนี้ในแตงกวายังมีสารซิสติน (cystin) และ เมธิโอนิน (methionin) ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น

ความมหัศจรรย์ของแตงกวา ยังอยู่ที่ทำให้หน้าชุ่มชื้นแต่ไม่ทำให้หน้ามัน ช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้ผิวนวลเนียนลดการเกิดสิว ทั้งยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้ออ่อนๆ แตงกวาจึงเหมาะจะเป็นเครื่องสำอางพอกหน้าสำหรับผู้ที่เป็นสิว วิธีสวยจากแตงกวาก็ง่ายๆ แค่เพียงหั่นแตงกวาเป็นชิ้นบางๆ แล้วนำมาแปะทิ้งไว้เพื่อพอกหน้า หรือนำแตงกวามาปั่นแล้วคั้นเอาแต่น้ำมาใช้ทาหน้า สามารถเก็บไว้ได้นานถึง 2 วัน ง่ายๆ เพียงเท่านี้ก็ช่วยคืนความชุ่มชื้นให้กับผิวได้สบาย

กรดผลไม้ หรืออัลฟา ไฮดรอกซี เอซิดส์ : เอเอชเอ (Alpha Hydroxy Acids ; AHAs) มักพบในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอย่าง มะขาม ในมะขามมีกรดอินทรีย์หลายชนิด เช่น ซิตริค ทาร์ทาร์ลิค มาลิค เป็นสารที่ช่วยต่อต้านริ้วรอย ของผิวหนัง กระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้ผิวพรรณอ่อนวัย และรอยด่างดำจางลง

เราสามารถบำรุงผิวพรรณด้วยตัวเองได้อย่างง่ายดาย แค่เพียงนำมะขามกับนมในปริมาณเท่าๆ กัน เติมผงขมิ้นและน้ำผึ้งเข้าไปอีกนิด เพียงเท่านี้ก็จะได้ครีมล้างหน้าสูตรไทยๆ ที่ช่วยเผย ผิวใสด้วย เอเอชเอ จากธรรมชาติ

คนไทยสมัยก่อนนิยมนำ ขมิ้นชัน มาใช้ประทินผิว โดยทาขมิ้นไว้ที่ผิวสักพักจึงขัดออกด้วยมะขามจะทำให้ผิวพรรณผุดผ่อง นวลเนียน เพราะในขมิ้นมีน้ำมันหอมระเหยและสารในกลุ่มเคอร์คูมิน คนอินเดียเชื่อว่าขมิ้นมีสรรพคุณในการป้องกันการงอกของขน ส่วนคนพม่านั้นนิยมนำขมิ้นผสมกับทาคานา เพื่อทาผิวจะทำให้เนื้อผิวละเอียด

เล็บงามสุขภาพดี
เมื่อดูแลผิวสวยได้ดังใจแล้ว เล็บของคุณสาวๆ ก็สำคัญไม่แพ้กัน เริ่มต้นด้วยวิธีง่ายๆ โดยการบีบน้ำมะนาวครึ่งลูกชโลมเล็บ แล้วถูให้ทั่ว จากนั้นแช่เล็บในน้ำนมอุ่นๆ กรดน้ำนมจะช่วยผลัดเซลล์หมองๆ ส่วนโปรตีนจากน้ำนมจะช่วยบำรุงขอบเล็บภายใน 5 นาที ผิวปลายนิ้วจะนุ่มขึ้น คราบเหลืองจางลง และเล็บดูระเรื่ออมชมพูตามธรรมชาติ ชวนมอง ชวนสัมผัส

ให้เวลากับความงามภายนอกไปมาก อย่าลืมให้เวลากับหัวใจตัวเอง...ลองเดินออกไปนอกห้องสี่เหลี่ยม แล้วนั่งนิ่งๆ มองสระน้ำ ต้นไม้สีเขียวขจี แล้วสูดลมหายใจให้เต็มปอด ทำง่ายๆ แค่นี้ก็สามารถเติมพลังชีวิตให้ร่างกายและหัวใจที่เหนื่อยล้าได้แล้ว


ที่มา : คม ชัด ลึก

25.10.08

การปรับโต๊ะทำงานเพื่อสุขภาพ

การปรับโต๊ะทำงานเพื่อสุขภาพ

คุณรู้หรือไม่ว่า ผนังกั้นโต๊ะทำงานเป็นผลงานความคิดสร้างสรรค์ของ Bob Propst มัณฑนากรชาวอเมริกัน ที่ต้องการให้การทำงานเป็นสัดส่วน มีพื้นที่ใช้สอยในการทำงานมากขึ้น ซึ่งเริ่มผลิตใช้จริงเมื่อปี ค.ศ 1968

ผนังกั้นโต๊ะทำงานที่ได้มาตรฐานควรมีขนาด 4×4 ฟุต หรือ 4 ×6 ฟุต แต่ไม่ควรกั้นสูงกว่า 5 ฟุต เพราะอาจจะกั้นแสงสว่างหรือการระบายอากาศ หากแผงกั้นโต๊ะทำงานได้สัดส่วนแล้ว คุณก็จะรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว ทำให้มีสมาธิทำงานมากขึ้น แต่การนั่งทำงานบนเก้าอี้และโต๊ะทำงานกว่า 8 ชั่วโมง อาจทำให้รู้สึกเมื่อยและอึดอัด และถ้าแสงสว่างไม่เพียงพอ พนักพิงเก้าอี้ไม่ได้ระดับ การระบายอากาศภายในไม่ดีและมีฝุ่นละอองฟุ้ง ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้ ซึ่งบางครั้งคนทำงานส่วนใหญ่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือจัดการสิ่งแวดล้อมการทำงานทั้งหมด ดังนั้นการปรับเปลี่ยนหรือจัดการสิ่งแวดล้อมบริเวณโต๊ะทำงานให้ดีขึ้น จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพตนเองในระยะยาว เริ่มจาก...

ปรับเก้าอี้ให้ได้ระดับ
อาการปวดหลังที่คนทำงานนั่งโต๊ะมีปัญหาส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการนั่งเก้าอี้ที่ไม่ได้ระดับต่อความสูงของโต๊ะทำงาน หรือแป้นพิมพ์ ซึ่งหากปรับความสูงต่ำของเก้าอี้ได้จะดีมาก หากไม่สามารถอาจใช้วิธีการบริหารบรรเทาอาการปวดหลังระหว่างวันทำงาน โดยอาศัยช่วงเบรกดื่มกาแฟ หรือพักกลางวัน ยืดกล้ามเนื้อหลัง คอ เอว ไหล่ ข้อมือ ข้อเท้า ทั้งนี้เพื่อเพิ่มระบบไหลเวียนเลือดอีกด้วย

ปรับแสงสว่างให้พอเพียง
ไม่ควรใช้หลอดไฟให้แสงสว่างจนเกินไป เพื่อป้องกันแสงสะท้อนที่กระทบกับจอคอมพิวเตอร์เข้าตาโดยตรง ซึ่งอาจทำให้ปวดหัวได้

รักษาความสะอาดโต๊ะทำงาน
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารบนโต๊ะทำงาน เพราะเศษอาหารหรือเศษขนมอาจจะตกหล่น เมื่อสะสมทำให้เป็นบ่อเกิดเชื้อโรคต่างๆ หรือถ้าจำเป็นต้องรับประทานบนโต๊ะทำงาน หลังรับประทานเสร็จให้รีบเช็ดและทำความสะอาดโต๊ะทำงานทันที เก็บเศษอาหารและล้างภาชนะที่ใช้และล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง

สุดท้ายอย่าลืมทิ้งขยะใต้โต๊ะทำงานทุกวันและเช็ดฝุ่นบนโต๊ะทำงานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง

เพื่อสุขอนามัยและสุขภาพของคุณ เสียเวลาใส่ใจรายละเอียดสักนิด แต่ได้ประโยชน์ระยะยาวค่ะ

ที่มา : นิตยสาร Health Today


วิธีป้องกันตัวเองให้ห่างไกลจาก..มะเร็ง

วิธีป้องกันตัวเองให้ห่างไกลจาก..มะเร็ง

เดี๋ยวนี้เวลาจะทานอะไร ก็ต้องพิถีพิถันหน่อยนะคะ พยายามเลือกทานแต่ของที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย นอกจากจะต้องเลือกทานแล้ว วิธีการปรุงอาหารก็สามารถทำให้เกิดโรคร้ายได้เช่นกัน เช่น ควรใช้วิธีต้ม นึ่ง ตุ๋น ทอดไฟอ่อนๆ พอสุกหรือวิธีที่ไม่ต้องใช้ความร้อนสูง ลดการทอดเกรียม และย่างกรอบ รวมทั้ง
ลดการกินเนื้อสัตว์ลง โดยเฉพาะในคนสูงอายุ เนื่องจากระบบขับถ่าย จะไม่ค่อยดี เหมือน เมื่อตอนอายุน้อย และตามสถิติโดยเฉลี่ย คนที่กินมังสวิรัติ จะมีอายุยืนกว่าคนที่ทานเนื้อสัตว์ครับ

ควรทานผักสด และผลไม้ให้มาก
ควรกินเนื้อปลา และเนื้อไก่ ให้มากกว่าเนื้อหมู และเนื้อวัว เนื่องจากเวลาเราปรุงเนื้อสัตว์ให้สุกนั้น ในเนื้อปลาและเนื้อไก่ จะมีสาร HCA น้อยกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่น

หลีกเลี่ยงการดื่ม ชา กาแฟ และควรดื่ม ชาเขียวแทน เพราะ ในชาเขียว มี สารแอนตี้ออกซิแด้น สูง
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์

ทานอาหารจากถั่วเหลืองให้มาก เช่น เต้าเจี้ยว , เต้าหู้ เพราะอาหารเหล่านี้ เป็นอาหารต้านมะเร็ง
เพื่อน ๆ คงสงสัยแล้วนะคะว่า สาร HCA มันคืออะไร ? ไอ้เจ้าสาร HCA นี้ ย่อมาจาก Heterocyclic Amines ครับ หมายถึง ในขณะที่เราปรุงอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด มันเป็นปฏิกิริยาเคมี ของโปรตีน ในเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็ง

ดังนั้น การปรุงอาหาร จำพวกเนื้อสัตว์ ด้วยอุณหภูมิสูง เช่น การทอด การย่างเกรียม จะทำให้เกิดสาร HCA มากกว่า การอบ หรือการปิ้งด้วยไฟอ่อน ๆ ครับ และการปรุงอาหารด้วยไมโครเวฟ การต้ม หรือนึ่ง จะไม่ทำ ให้เกิดสาร HCA เลยครับ

24.10.08

แก้ปัญหาผมบางด้วยอาหาร

แก้ปัญหาผมบางด้วยอาหาร

เมื่ออายุมากขึ้น สังขารต่าง ๆ ก็ร่วงโรยตามกาลเวลา เส้นผมก็เช่นกัน จากเส้นผมที่เคยดกดำสลวยเมื่อวัย 20 ครั้นย่างเข้าวัย 60 เส้นผมก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดอกเลา บางรายเส้นผมอาจอำลาหนังศีรษะไปตลอดกาล แต่วันนี้เรามีวิธีชะลอวัยเส้นผมด้วยสารอาหารหลากชนิดมาแนะนำ เริ่มกันด้วย เมล็ดฟักทอง ถั่วต่าง ๆ ที่เป็นแหล่งรวมของสังกะสี , แตงกวาและข้าวโอ๊ต เพื่อให้ได้รับซิลิกาอย่างเพียงพอ, สาหร่ายทะเลแห้ง เต้าหู้ งา และเมล็ดทานตะวัน เพื่อให้ได้ธาตุเหล็ก, ปลา แหล่งรวมโปรตีนและกรดโอเมก้า 3, ข้าวกล้องและธัญพืช เสริมวิตามินบี และผักใบเขียว เพื่อให้ได้กรดโฟลิก เห็นไหมว่าสารอาหารที่บอกมาทั้งหมดหาได้ไม่ยากเลย ฉะนั้นอาหารมื้อถัดไปลองหาสารอาหารในกลุ่มนี้มาทานกันบ้าง เส้นผมของคุณจะได้สลวยสวยเก๋ไปนาน ๆ

ที่มา:: นิตยสาร ชีวจิต

น้ำมะนาว (Lemonade)

น้ำมะนาว (Lemonade)

น้ำมะนาว (Lemonade) คือน้ำผลไม้ชนิดหนึ่ง ที่คั้นมาจากมะนาวตามชื่อ เป็นน้ำผลไม้ที่คนนิยมไม่แพ้น้ำส้ม ปกติน้ำที่คั้นจากมะนาวนั้นผู้คนจะไม่นิยมนำมาบริโภคทันทีเพราะมีรสชาติที่เปรี้ยวจัด (น้ำที่คั้นมาจากมะนาวสดๆ มีชื่อเรืยกในภาษาอังกฤษว่า Lemon Juice) ซึ่งต้องผ่านการปรุงรสก่อนถึงจะนำไปบริโภคได้

การปรุงน้ำมะนาว ทำได้โดยคั้นน้ำมะนาวจากผลมะนาวจนได้ปริมาณตามต้องการ จากนั้นผสมน้ำ นำไปตั้งไฟอ่อนๆ เติมน้ำตาลและเกลือจนได้รสตามชอบแล้วเสิร์ฟโดยการตักใส่แก้วพร้อมน้ำแข็ง ถ้าเป็นน้ำมะนาวปั่น สามารถทำได้โดยบีบน้ำมะนาวใส่เครื่องปั่น จากนั้นใส่น้ำแข็ง เติมน้ำเชื่อมและเกลือลงไป และปั่นโดยใช้เวลาประมาณ 30 วินาที จะได้น้ำมะนาวปั่นตามต้องการ ปกติตามร้านอาหารหรือภัตตาคารมักจะเสิร์ฟน้ำมะนาวโดยใส่แก้วใสพร้อมกับมีชิ้นมะนาวหั่นแว่น 1 ชิ้นเหน็บไว้อยู่ที่ปากแก้ว

อนึ่ง น้ำมะนาวที่ได้จากการคั้นสดนั้น (Lemon Juice) ถึงแม้ว่าผู้คนจะไม่นิยมดื่ม แต่ก็สามารถที่จะนำไปใช้ประกอบอาหาร (เช่นส้มตำ, ต้มยำ) ได้

6 สูตรลับ ช่วยสาวสุขภาพใส

สารอาหารที่จําเป็นต่อร่างกายให้สาวๆ
1.กินเพื่อเพิ่มพลัง (งาน)แน่นอนอยู่แล้วว่าสาวๆ ต้องขอกินน้อยๆ เพื่อต้องการควบคุมน้ำหนัก แต่คุณจะรู้หรือเปล่าว่า ขนาดการนั่งอยู่เฉยๆ ก็ต้องใช้พลังงานด้วยนะ (อย่างน้อยก็หายใจละ) จากผลการวิจัยพบว่า ผู้หญิงจะต้องป้อนพลังงานให้กับกระบวนการเมตาบอลิซึ่ม 300 แคลอรี ในทุกๆ 3 ชั่วโมง และถ้าคุณยังขืนงดอาหารบ่อยๆ อยู่อย่างนี้ อาจทําให้กระบวนการเมตาบอลิซึ่มทํางานได้ไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ไขมันถูกเผาผลาญไม่หมด เกิดเป็นไขมันสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเอาได้นะคะของว่างที่ดี (และควรกินให้ได้ 5 ครั้งต่อวัน) : แอปเปิ้ล น้ำผัก หรือผลไม้แห้ง
2.วิตามิน B2มีส่วนช่วยในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมันให้เปลี่ยนไปเป็นพลังงานที่ใช้ในการทํางานของกล้ามเนื้อค่ะ แหล่งวิตามิน B2 ที่ดี : นมมีมันเนย 1% นมขาดมันเนย นมโลว์แฟต โยเกิร์ตแบบไร้ไขมัน และขนมปัง
3.กินแคลเซียมเสริมกระดูกการได้รับแคลเซียมและโปรตีนที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเป็นสิ่งสําคัญอยู่แล้วสําหรับผู้หญิง และยิ่งถ้าอยู่ในวัยหมดประจําเดือนด้วยแล้ว จะยิ่งสําคัญมาก เนื่องจากมีระดับเอสโตรเจน (ฮอร์โมนที่มีบทบาทสําคัญในการสร้างและรักษาแคลเซียมในกระดูก) ต่ำกว่าวัยอื่นๆ แหล่งแคลเซียมที่ดี : นม เต้าหู้ หรือน้ำส้มคั้น Tips : ไม่ควรกินพร้อมกับไฟเบอร์นะคะ เพราะจะทําให้แคลเซียมไปจับกับแร่ธาตุตัวอื่นๆ ในลําไส้ กลายเป็นตัวขัดขวางการดูดซึมสารอาหารที่จําเป็นต่อร่างกายตัวอื่นๆ ได้ค่ะ
4.กินผักได้วิตามิน จริงเหรอ?การกินผักอย่างเดียวไม่ได้หมายความถึงสุขภาพที่ดีเสมอไปนะ เพราะแร่ธาตุบางตัวก็พบได้ในเฉพาะเนื้อสัตว์เท่านั้น อย่างธาตุสังกะสี (แร่ธาตุที่ช่วยเรื่องความจําและความคิด) ที่พบมากในหอยนางรม และวิตามิน B12 (วิตามินที่สําคัญต่อเซลล์เม็ดเลือดแดงและเส้นใยประสาท) ที่พบมากในเนื้อแดง ปลา ไข่ และนมค่ะ
5.ถั่วเหลืองขอปรบมือให้กับคนที่กินถั่วเหลืองเป็นประจําหน่อยนะคะ เพราะนอกจากคุณจะได้รับโปรตีนและไฟเบอร์ที่สูงแล้ว ในถั่วเหลืองยังมีสารสําคัญที่ชื่อ Phytoestrogens ซึ่งช่วยในการลดปริมาณของไขมันเลว (LDL) และเพิ่มปริมาณของไขมันดี (HDL) ให้กับร่างกายอีกด้วย อีกทั้ง ยังช่วยลดอัตราการเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจด้วยนะ
6.สาวกินเหล็กอ๊ะๆ อย่าตกใจค่ะ เหล็กในที่นี้ก็คือธาตุเหล็กนั่นเองค่ะ ซึ่งธาตุเหล็กนี้ก็มีความสําคัญต่อร่างกายของเรานะ โดยเฉพาะกระบวนการสร้างฮีโมโกลบินในเซลล์เม็ดเลือดแดง และสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณมีธาตุเหล็กในปริมาณที่น้อยเกินไปคือ จะเหนื่อยง่ายและมีความอดทนต่ำค่ะ แหล่งธาตุเหล็กที่ดี : เนื้อแดงไม่มีมัน และเนื้อไก่-เป็ดดํา (เพราะธาตุเหล็กอยู่ในฟอร์มที่ถูกดูดซึมได้ง่าย)

23.10.08

เคล็ดลับการรับประทานอาหาร เพิ่มอกอึ๋ม

เคล็ดลับการรับประทานอาหาร เพิ่มอกอึ๋ม

ใครจะนึกบ้างว่า หน้าอกของเราจะมีรูปทรงสวยได้นั้น เกิดจากพื้นฐานง่ายๆ นั่นคือการรับประทานอาหารค่ะ เ

เรื่องนี้ได้มาจากการบรรยายของ เภสัชกรหญิงนันทวดี พิทยาพิบูลย์พงษ์ ผู้จัดการพัฒนาธุรกิจความงามและสุขภาพ บริษัท Venus aesthetic ศูนย์ให้คำปรึกษาปัญหาหน้าอก และให้บริการเกี่ยวกับการเพิ่มขนาดหน้าอก ซึ่งทำให้ทราบว่า การที่หน้าอกหย่อนไม่ได้รูปนั้น เกิดจากอิลาสตินคอลลาเจน (เนื้อเยื่อตรงฐานอกซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้หน้าอกมีความยืดหยุ่นและคงตัว) ไม่แข็งแรง และสาเหตุที่ไม่แข็งแรงนั้น ก็เพราะการรับประทานอาหารแบบทุโภชนาการ รวมถึงการอดอาหารลดน้ำหนักที่ไม่ถูกต้อง

ส่วนประกอบของร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าคือโปรตีนและไขมัน แต่อาหารที่ผู้หญิงนิยมรับประทานกันคือ ผักและผลไม้ ซึ่งเป็นส่วนของพลังงานทั้งสิ้น แต่ในความจริงแล้วร่างกายของเราต้องมีการสร้างซ่อมตลอดเวลา และวัตถุดิบในการสร้างซ่อมก็มาจากอาหารที่เราบริโภคเข้าไปสู่ร่างกาย ดังนั้น หากเราไม่รับประทานอาหารที่ร่างกายสามารถนำไปสร้างซ่อมได้ ร่างกายก็จะย่อยเนื้อเยื่อออกมาก่อนแล้วนำกลับไปใหม่ ทำให้ไม่สามารถซ่อมแซมส่วนที่ต้องซ่อมแซมได้ รวมทั้งการย่อยแบบนี้จะทำให้เนื้อเยื่อต่างๆหลวม รวมไปถึงเนื้อเยื่อตรงฐานหน้าอกด้วย และนี่คือคำตอบว่าทำไมหน้าอกของเราจึงหย่อนและไม่กระชับ สาเหตุก็เพราะเรารับประทานอาหารไม่ถูกสัดส่วนนี่เอง

คำแนะนำคือ หากต้องการให้หน้าอกของเรากระชับและตั้งขึ้น จะต้องเปลี่ยนวิธีการบริโภคอาหารเสียใหม่ คือรับประทานให้ครบถ้วน โดยเน้นโปรตีนให้เพียงพอ เพราะการรับประทานโปรตีนอย่างเพียงพอ จะทำให้ร่างกายมีวัตถุดิบในการสร้างซ่อมตัวเอง

สำหรับคนที่กลัวว่ารับประทานอาหารครบถ้วนแล้วจะอ้วน ก็ขออธิบายต่อว่า หมวดที่ทำให้อ้วนนั้นได้แก่ แป้งและน้ำตาล ทั้งสองอย่างนี้ใช้เวลาในการย่อยไม่เกิน 40 นาที เมื่อย่อยเสร็จแล้ว แป้งและน้ำตาล จะอยู่ในรูปกลูโคส ซึ่งเป็นพลังงานหลัก แต่ร่างกายก็ยังไม่สามารถนำไปใช้ได้ ต้องมีตัวพานั่นก็คืออินซูลิน เพราะอินซูลินจะพากลูโคสเข้าสู่เซลล์ของกล้ามเนื้อและเปลี่ยนกลูโคสให้เป็นพลังงาน ถ้าใช้ไม่หมดอินซูลินจะนำกลูโคสที่เหลือไปเปลี่ยนเป็นพลังงานไขมันต่ำ สะสมไว้ในชั้นของไขมัน เพราะฉะนั้นการรับประทานอาหารที่มีแป้ง ของหวาน ขนม จะเป็นการรับประทานที่สะสมไขมันอยู่ตลอดเวลา และไม่เคยนำส่วนที่สะสมนี้ไปใช้ได้เลย โรคอ้วนจึงเกิดขึ้นกับเรา

วิธีที่จะนำไขมันสะสมออกมาใช้นั้น จะต้องมีโปรตีนเข้าไปช่วย เพราะหากโปรตีนไปปนอยู่กับแป้งและน้ำตาลจะทำให้การย่อยช้าลง เกิดการทยอยเข้าสู่กระแสเลือด อินซูลินจะถูกเรียกมาใช้อย่างช้าๆ ใช้แล้วก็หมดไป โอกาสที่จะนำกลูโคสไปสะสมในชั้นไขมันจะลดลง อีกทั้งโปรตีนจะเรียกฮอร์โมนที่ชื่อกลูคากอนออกมา กลูคากอนจะสามารถนำไขมันเก่ามาใช้เป็นพลังงานได้ด้วย แต่โปรตีนควรรับประทานคู่กับผักด้วย เพราะผักจะช่วยซับเอาไขมันส่วนเกินออกไป อีกทั้งไขมันก็เป็นสิ่งที่เราไม่ได้ต้องการ มากเกินไปด้วย

วิธีรับประทานโปรตีนที่ถูกต้องนั้น ให้ใช้ฝ่ามือของตัวเองชี้วัด กล่าวคือ ในตอนเช้า ควรรับประทานโปรตีน ประมาณ ครึ่งฝ่ามือหรือ ไข่ 1 ลูก ตอนกลางวัน รับประทานโปรตีน 3/4 ของฝ่ามือ และในตอนเย็น รับประทานโปรตีนให้เท่ากับ 1 ฝ่ามือ เหตุที่ต้องรับประทานโปรตีนให้มากในช่วงเย็นนั้น เพราะ 70% ของร่างกายจะถูกซ่อมแซมขณะที่เรานอนหลับ ส่วนคนที่นอนน้อย อย่างเช่น นอนตอนตี 1 แต่รับประทานมื้อเย็นไปเมื่อเวลา 18.00 น. นั้น ปกติร่างกายของเราควรมีการเติมอาหารทุกๆ 4 ชั่วโมง ดังนั้น หากเกิดกรณีนี้ในช่วง สี่ทุ่ม ร่างกายของเราจะย่อยอาหารเรียบร้อยแล้ว ช่วงเวลานี้จึงควรทานอะไรเพิ่มเติมเข้าไปและขอแนะนำว่าให้เป็นเรื่องของโปรตีนเท่านั้น เช่น นมหรือน้ำเต้าหู้ เพราะจะได้นำไปเก็บเป็นวัตถุดิบในการสร้างซ่อมได้

การรับประทานให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย นอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง หน้าอกกระชับได้รูปมากขึ้นแล้ว หากต้องการทำให้หน้าอกใหญ่ขึ้นโดยการใช้ทรีตเม้นต์และนวัตกรรมจากสถาบันที่เชื่อถือได้ คุณก็จะประสบผลสำเร็จได้ไม่ยาก แต่ถ้าคิดว่าเพียงแค่ต้องการให้หน้าอกคงความกระชับได้รูป การรับประทานอาหารและออกกำลังกาย บริหารหน้าอก ใส่ชุดชั้นในอย่างถูกต้องก็คงจะเพียงพอแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะพอใจแค่ไหน แต่ถึงอย่างไร หากคุณเลือกในสิ่งที่มีคุณค่าให้กับตัวของคุณได้เองตั้งแต่วันนี้ คุณก็จะสวย สดใส มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วค่ะ

หุ่นสวยด้วยไฟเบอร์

เรื่องของความสวยความงามนั้นไม่เข้าใครออกใคร เพศไหนอาชีพใด ฐานะอย่างไร ล้วนอยากดูดีกันทั้งนั้น บางคนอาจหน้าตาไม่สู้ดีเท่าไร ก็ขอให้หุ่นดีเอาไว้ก่อน อย่างน้อยเห็นอยู่ไกลๆ ก็ยังพอให้ลุ้นกันบ้าง
สารพัดวิธีลดน้ำหนัก สารพันสูตรอาหาร เรียงหน้ากันเข้ามา บ้างว่าเห็นผลภายใน 2 สัปดาห์ หากปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด น้ำหนักจะลดลงได้รวม 10 กิโลกรัม บ้างว่ากินให้อิ่มได้ทุกมื้อ แต่ต้องกินตามเมนูที่กำหนด รับรองน้ำหนักลดทันตาเห็น …ฯลฯ
ก็ว่ากันไปตามสูตรใครสูตรใคร แต่ที่แน่ๆ เกือบทุกสูตรนั้นเมื่อเห็นสูตรแล้วก็ต้องเชื่อ เพราะแทบจะเรียกได้ว่าอดอาหารเลยทีเดียว ถึงแม้จะมีคำกำกับด้านท้ายว่า "ทุกมื้อต้องกินให้อิ่ม" แต่เมนูที่ระบุนั้น ใครทำตามได้ก็ต้องขอชมว่ายอดเยี่ยม เพราะแต่ละสูตรนั้นช่างใช้ความอดทนอย่างแรง อาหารบางมื้อ ฝืดคอแสนสาหัส แต่เมื่อแลกกับหุ่นสวยๆ หล่อๆ หลายคนก็ทนได้ เพราะถือว่า …"คุ้ม"
เรื่องกลวิธี เพื่อให้ "หุ่นดี" "หุ่นสวย" นี่พูดกันสามวันก็ยังไม่จบ แต่เชื่อมั้ยว่าคุยครั้งไหนก็ต้องมีคนฟัง เขียนครั้งใดก็ต้องมีคนอ่าน ใกล้หมอเลยขอนำสูตรลับ สูตรเด็ด "7 ขั้นตอนหุ่นสวยด้วยไฟเบอร์" มาให้ลองปฏิบัติกันดู เพราะทุกขั้นตอนนั้นยืนอยู่บนหลักโภชนาการ
ก่อนอื่นขอแนะนำให้รู้จักกับผู้ช่วยหุ่นดีตัวสำคัญก่อน นั่นก็คือ ไฟเบอร์

ไฟเบอร์ คืออะไร
ถ้าถามว่ารู้จักไฟเบอร์กันมั้ย ? หลายคนคงตอบได้ หรืออาจจะมีบางคนแอบต่อว่าว่า คนถามนี้เช้ย เชย… สมัยนี้ใครๆ ก็รู้จัก "ไฟเบอร์" กันทั้งนั้น แต่ก็ขอบอกกันอีกสักครั้งแล้วกัน เผื่อผู้ที่ยังไม่รู้จะได้เข้าใจกันก่อน
ไฟเบอร์ก็คือ กากใยอาหาร ซึ่งร่างกายไม่สามารถย่อยได้ ดังนั้นเมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว ร่างกายก็จะขับถ่ายออกมาเป็นของเสีย และเจ้าไฟเบอร์หรือกากใยเหล่านี้แหละ ที่มีผลในการช่วยลดโคเลสเตอรอลในร่างกาย รวมทั้งช่วยให้ร่างกายขับถ่ายสะดวกขึ้น โรคเกี่ยวกับลำไส้หรือริดสีดวงก็จะไม่ถามถึง พูดง่ายๆ ว่าช่วยป้องกันโรคริดสีดวงจากการนั่งขับถ่ายนาน โรคลำไส้ต่างๆ ได้ทางอ้อม และข้อดีของการที่ของเสียไม่หมักหมมอยู่ในร่างกายนานนั้น ก็จะทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส สังเกตดูได้ หากเราเป็นคนที่ขับถ่ายปกติ ไม่ท้องผูก ร่างกายก็จะดูเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล แต่ถ้าช่วงไหนที่ท้องผูก ก็จะรู้สึกอึดอัดแล้วไม่สดชื่น บางรายพาลเป็นไข้เลยก็มี
เหล่านี้ คือประโยชน์ของไฟเบอร์ แล้วไฟเบอร์นี่ …มีอยู่ที่ไหน ?? คำตอบก็คือ ในพืชอาหารทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น ธัญพืช ผัก ผลไม้ และเมล็ดพืช
แม้แหล่งอาหารที่มีไฟเบอร์จะมีอยู่มากมายหลายชนิด แต่เชื่อไหมว่า…มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ร่างกายขาดไฟเบอร์
เพราะอะไร ? ก็เพราะอาหารที่รับประทานในแต่ละวันนั้น มีไฟเบอร์ประกอบอยู่น้อยเกินไป ลองนึกดูเล่นๆ สมมติว่านี่คือเมนูอาหารแต่ละมื้อใน 1 วัน
มื้อเช้า : กาแฟ ไข่ดาว
มื้อกลางวัน : ข้าวกระเพราไก่ ไข่ดาว
มื้อเย็น : ข้าวราดแกง
ถ้าเมนูเป็นแบบนี้ ทายได้เลยว่าผู้นั้น ต้องประสบกับภาวะท้องผูกเป็นประจำ เราลองมาเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเพื่อให้ร่างกายได้รับไฟเบอร์ครบถ้วน และเพียงพอที่จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และคงสภาพของทรวดทรงองเอวที่ดูดี ด้วยเคล็ดลับ 7 ประการ เพื่อหุ่นสวยด้วยไฟเบอร์

7 วิธีเพื่อหุ่นสวย
1. หากคุณเป็นคนที่เริ่มต้นมื้อแรกของวันด้วยกาแฟกับขนมปัง ก็ให้เลือกขนมปังโฮลท์วีท แทนขนมปังขาว หรือลองเลือกซีเรียลแบบธัญพืชผสม หรือข้าวโอ๊ตหนึ่งถ้วยเป็นมื้อเช้าแทนกาแฟ ขนมปัง
2. ข้าวมื้อกลางวัน ที่เคยรับประทานแต่ข้าวขาว ก็ให้ลองเปลี่ยนเป็นข้าวกล้อง หรือข้าวกล้องผสมข้าวขาว แทนข้าวขาวล้วน (ถ้าไม่สะดวกทุกมื้อก็ไม่เป็นไร ทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็พอ)
3. หากเป็นคนชอบรับประทานอาหารประเภทเส้น ก็เลือกใช้เส้นหมี่ที่ทำจากข้าวกล้อง หรือรำข้าว แทนเส้นสีขาวทั่วไป เช่น หมี่ข้าวกล้อง พาสต้าข้าวกล้อง ขนมจีนข้าวกล้อง ฯลฯ
4. กับข้าวในทุกมื้ออาหาร เลือกให้มีอาหารจานผักเป็นกับข้าวหลัก ประเภทผัดผัก น้ำพริกผักสด ผักต้ม แกงส้มผักรวม แกงเลียง
5. ในหนึ่งสัปดาห์ ให้รับประทานเมนู "สลัดผัก" ให้ได้อย่างน้อย 3 มื้อ โดยอาจเติมผลไม้ลงไปด้วยก็ได้ เพื่อไม่ให้จำเจหรือเบื่อหน่าย โดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบรับประทานผัก
6. อาหารว่าง ควรเลือกอาหารว่างประเภทที่อุดมด้วยไฟเบอร์ เช่น ถั่ว ข้าวโพด และธัญพืชทุกประเภท ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นถั่วทอด เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ถั่วตัด ข้าวโพดคั่ว ข้าวโพดต้ม แครกเกอร์ ธัญพืช งาดำตัด หรือคุ๊กกี้ข้าวโอ๊ตก็เหมาะดี
7. อย่าลืม! ผลไม้ แหล่งไฟเบอร์ที่สำคัญ ทุกมื้ออาหรของคุณควรปิดท้ายด้วยผลไม้เสมอ และควรเลือกผลไม้ที่ไม่เพิ่มความอ้วน เช่น ส้ม ชมพู่ สับปะรด ส้มโอ แอปเปิ้ล แตงโม เป็นต้น
เคล็ดลับง่ายๆ 7 ข้อนี้ คิดว่า…ทำได้ไม่ยาก แต่ต้องมีความตั้งใจในการที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของคุณเองด้วยนะ วิธีการที่จะช่วยให้ร่างกายได้รับไฟเบอร์อย่างเพียงพอก็คือ ต้องรู้จักว่าไฟเบอร์คืออะไร และมีอยู่ที่ไหน แล้วก็เลือกรับประทานอาหารแบบนั้นๆ ในสัดส่วนที่มากกว่าอาหารประเภทอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นไขมัน โปรตีน หรือคาร์โบไฮเดรต

22.10.08

กินอย่างชาย...แต่กายเพรียวงาม

กินอย่างชาย...แต่กายเพรียวงาม

น่าประหลาดใจใช่ไหมที่แฟนหนุ่มของคุณสามารถกินอะไรก็ได้ที่เขาอยากกินโดยยังคงน้ำหนักเท่าเดิม
ถูกต้องที่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะระบบการเผาผลาญของร่างกาย แต่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าผู้ชายส่วนมากมักคำนึงถึงการกินอาหารที่มีประโยชน์มากกว่าผู้หญิง ลองแอบขโมยพฤติกรรมการกินบางข้อของหนุ่มๆ มาใช้ดูสิ

อย่าอดอาหารด้วยตัวเองเมื่อคุณกำหนดพฤติกรรมการกินอาหารที่เคร่งครัดเกินไป มักเกิดผลไม่คาดคิดตามมา เทรนเนอร์ด้านฟิตเนสของดาราดังอย่าง Tobey Maguire และ Reese Witherspoon บอกว่า "ลูกค้าฟิตเนสผู้ชายส่วนใหญ่มีเป้าหมายที่คาดไม่ถึงทีเดียวในเรื่องการเลือกรับประทานอาหารที่ดีกว่าผู้หญิง ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขาจะไม่ได้รับผลกระทบเมื่อหยุดโปรแกรมการควบคุมน้ำหนัก แต่ผู้หญิงมักจะเลือกทานพิซซ่าชิ้นบางๆ แล้วในที่สุดก็บอกกับตัวเองว่า ฉันแค่กินมันให้หมดก็เท่านั้นแหละ เอาน่าแล้วพรุ่งนี้ค่อย
เริ่มใหม่"

กินเมื่อหิว อย่ากินเมื่อเครียด
หนึ่งในสามของผู้หญิงมักใช้การกินเพื่อคลายความเครียดหรือภาวะกดดัน ขณะที่ผู้ชายหนึ่งในห้าเท่านั้นที่มีพฤติกรรมแบบนี้ จากผลการศึกษาใหม่ล่าสุดโดยสถาบัน American Psychological Association Found บอกไว้ว่าวิธีกำจัดความเครียดของหนุ่มๆ โดยการเข้ายิมได้ผลดีกว่าการเอาแต่เปิดตู้เย็นของผู้หญิงอย่างเห็นได้ชัด รู้ไว้เถอะว่า ผู้ชายใช้เวลาครึ่งหนึ่งในยิมเพื่อระบายความเครียดที่มีต่อเจ้านายแสนน่าเบื่อและงี่เง่า

เลี่ยงอาหารประเภทไดเอตและอาหารไขมันต่ำ
มีผู้ชายสักกี่คนที่คุณรู้จักเลือกกินอาหารแคลอรี่ต่ำหรืออาหารปราศจากไขมัน คนเรามักจะกินอาหารตามความพอใจมากกว่าจะกินอาหารที่จำเป็นต่อร่ายกายจริงๆ เมื่อใดก็ตามที่คุณกินอาหารเพียงเสี้ยวหนึ่งของอาหารที่เสิร์ฟมาในจาน มันย่อมเป็นเรื่องของความรู้สึกที่ต้องหักห้ามใจ รวมทั้งความรู้สึกของรสชาติแสนอร่อยที่เคยลิ้มรส ผู้หญิงมักจะกินอาหารลดความอ้วนเพื่อสนองความต้องการและตอกย้ำถึงการควบคุมน้ำหนัก จนอาจกลายเป็นการเพิ่มปริมาณแคลอรี่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

เปลี่ยนขนมเป็นอาหารมื้อ
หลักผู้ชายมักเลือกกินอาหารมื้อหลักอย่างสเต๊กในอาหารมื้อเย็นเพราะความสะดวก ขณะที่ผู้หญิงมักมองหาขนมหวานหรืออาหารว่างอื่นๆ ขอบอกว่าน้ำตาลและกระบวนการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตเพียงช่วยให้คุณหายหิวและลดอาการอยากอาหารเท่านั้น อย่างไรก็ตามการเลือกกินอาหารที่มีโปรตีนและไขมันจะทำให้ร่างกายรู้สึกดีขึ้นได้มากกว่า

กำจัดความรู้สึกผิดทิ้งไป
ผู้หญิงมักมีความรู้สึกผิดเกิดขึ้นในใจมากกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ หลังจากปล่อยให้ตนเองกินอาหารจำนวนมากเหมือนอย่างผู้ชาย และความรู้สึกผิดนี้มักจะเกิดขึ้นเสมอไม่มีวันจบสิ้น ผู้หญิงส่วนมากจะฝึกตนเองให้เลือกกินอาหารที่ดีกว่ามื้อที่ผ่านมาหลังผ่านพ้นการตำหนิตนเองแล้ว โดยบอกตัวเองว่าจะไม่ทำมันอีก แต่ผู้ชายมักจะมีความยืดหยุ่นในความคิดเรื่องนี้ พวกเขาแค่ส่องกระจกในแต่ละวันและคิดว่าพร้อมจะยอมรับการเปลี่ยนแปลง ลองเปลี่ยนเป็นให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ แก่ตัวเองบ้างเหมือนที่หนุ่มๆ เขาทำกันบ้างสิ

...ขอให้สาวๆ ทุกคนหุ่นดี

ที่มา : Front

เลือกดื่มนมชนิดไหนดี

เลือกดื่มนมชนิดไหนดี

นม เป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่สำคัญทั้งในเด็ก และผู้ใหญ่ และเป็นแหล่งของแร่ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งจำเป็นในการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง นอกจากนี้นมยังให้วิตามินบี 2 วิตามิน บี 12 รวมทั้งเป็นแหล่งไขมันและให้พลังงานได้ นมจึงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสุขภาพของคนไทย จะเห็นได้จากนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งให้เพิ่มการผลิต และบริโภคนมมากขึ้น โดยเฉพาะในเด็กวัยเรียน หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ และผู้สูงอายุ นมที่ใช้บริโภคในปัจจุบันของบ้านเรา ส่วนใหญ่มาจากน้ำนมโค โดยแบ่งผลิตภัณฑ์นมออกเป็น 4 ประเภท คือ
1. ผลิตภัณฑ์พาสเจอร์ไรซ์
2. ผลิตภัณฑ์สเตอร์ริไรซ์
3. ผลิตภัณฑ์ยูเอชที
4. ผลิตภัณฑ์นมผง

ผลิตภัณฑ์พาสเจอร์ไรซ์ นมสดพาสเจอร์ไรซ์ นิยมบรรจุในขวดพาสติกขุ่น กล่องกระดาษหรือถุงพลาสติก โดยวางจำหน่ายในตู้เย็นหรือตู้แช่ ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส เพื่อไม่ให้นมเสีย เนื่องจากกระบวนการผลิตนมพาสเจอร์ไรซื ใช้อุณหภูมิต่ำประมาณ 72 - 73 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 15 วินาที เพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคเท่านั้น แต่ไม่สามารถทำลายเชื้อจุลลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเน่าเสีย กระบวนการนี้จะใช้ความร้อนต่ำที่สุด เพื่อรักษากลิ่น และรสของน้ำนมสดไว้ นมสดพาสเจอร์ไรซ์ในท้องตลาด บรรจุในภาชนะที่มีสี ซึ่งบอกความหมายที่แตกต่างกัน ดังนี้
- สีน้ำเงิน หรือสีแสด หมายถึง น้ำนมสดธรรมดา มีไขมันต่ำ ร้อยละ 3.3 ขึ้นไป
- สีฟ้า หมายถึง น้ำนมสดพร่องมันเนย มีไขมันประมาณ ร้อยละ 1 - 2
- สีขาว หมายถึง น้ำนมสดขาดมันเนย มีไขมันน้อยมาก ต่ำกว่าร้อยละ 0.1
- สีทอง หมายถึง น้ำนมสด มีไขมันถึงประมาณ ร้อยละ 4

สำหรับเด็กและวัยรุ่น ควรบริโภคชนิดสีน้ำเงิน หรือสีแสด ส่วนผู้ที่มีอายุเกิน 35 ปี หรือผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก หรือไขมันในเลือด ควรบริโภคชนิดสีฟ้า หรือสีขาว

นอกจากนี้ ยังมีนมสดชนิดปรุงแต่งรสชาติ ซึ่งมีสัญญลักษณ์ ดังนี้
- สีเขียว คือ นามสดรสหวาน
- สีน้ำตาล คือ นมสดรสชอคโกแลต
- สีชมพู คือ นมสดรสสตรอเบอรี่

นมประเภทนี้ จะมีส่วนผสมของนมสดประมาณร้อยละ 95 ที่เหลือคือ น้ำตาล, กลิ่น และสี นอกจากนี้กฏหมายยังไม่กำหนดปริมาณไขมัน ผู้ผลิตนิยมเติมไขมันในปริมาณเพียงร้อยละ 2 นมชนิดนี้ นิยมใช้ในโครงการอาหารเสริมของกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงอื่น ๆ ซึ่งมักมีข้อด้อยกว่านมจืด คือ ราคาแพงกว่า มีพลังงานจากไขมันต่ำกว่ามีน้ำตาลสูงกว่า และมีมาตรฐานของโปรตีนต่ำกว่าเล็กน้อย ผลิตภัณฑ์สเตอร์ไรซ์ นมสดสเตอร์ไรซ์ มักบรรจุในกระป๋องโลหะปิดสนิท กระบวนการผลิตใช้ความร้อนสูง 110 - 116 องศาเซลเซียส เวลา 30 นาที เพื่อทำลายเชื้อจุลินทรย์ที่ทำให้เกิดโรค และอาหารเน่าเสียในอุณหภูมิการเก็บรักษาปกติได้ (อุณหภูมิห้องปกติ เก็บได้ 1 - 2 ปี)

ผลิตภัณฑ์นมสเตอร์ไรซ์ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1. นมสดพร้อมดื่ม คือ นมสดธรรมดาที่บรรจุกระป๋อง ซึ่งฉลากระบุว่าเป็นนมโค 100%
2. นมข้นไม่หวาน คือ นมผงขาดมันเนยละลายน้ำในอัตราส่วนที่น้อยกว่าปริมาณน้ำที่มีในนมสดธรรมดาครึ่งหนึ่ง แล้วเติมลงไป ถ้าเติมไขมันเนยลงไปเรียกว่า นมข้นคือรูปไม่หวาน ถ้าเติมน้ำมันปาล์มลงไป เรียกว่า นมข้นแปลงไขมัน ชนิดไม่หวาน
นมข้นไม่หวาน เมื่อนำมาบริโภคในรูปของน้ำนมสด ต้องเติมน้ำลงไปในอัตราส่วน 1:1 จะมีคุณค่าในแง่โปรตีน และพลังงาน ใกล้เคียงกับน้ำนมสดธรรมดา แต่ชนิดที่ใช้น้ำมันปาล์มมีปริมาณกรดไขมันจำเป็น และวิตามินบางชนิดต่ำกว่า จึงไม่สมควรใช้เลี้ยงทารก หรือเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
3. นมข้มหวาน มีขั้นตอนการผลิตเริ่มต้นคล้ายนมข้นไม่หวาน คือต้องมีการระเหยน้ำออก หรือละลายนมผงขาดมันเนย ผสมกับไขมันเนยหรือไขมันปาล์มตามอัตราส่วนดังกล่าว แล้วจึงเติมน้ำตาลลงไปประมาณร้อยละ 45 จะเห็นว่านมข้นหวานมีน้ำตาล ในปริมาณสูงมาก จึงต้องมีการผสมน้ำในปริมาณมากก่อนบริโภค ทำให้คุณค่าทางโภชนาการโดยเฉพาะโปรตีนจานมจะต่ำกว่า น้ำนมสดมาก นมข้นหวาน จึงไม่เหมาะสำหรับเลี้ยงทารก หรือใช้เพื่อประโยชน์ในการเสริมคุณค่าอาหารเช่นเดียวกับน้ำนมสดธรรมดา

ผลิตภัณฑ์ยูเอชที
น้ำนมสดที่บรรจุในกล่องยูเอชที คือ น้ำนมสดที่ผ่านกระบวนการให้ความร้อนที่สูงมากแต่ใช้เวลาสั้นมาก (130 - 135 องศาเซลเซียส เวลา 1 - 3 วินาที) จึงทำให้น้ำนมยังมีกลิ่นและรสที่ดี ไม่มีกลิ่นเป็นนมต้ม (ไหม้) เหมือนนมสดสเตอร์ไรซ์ นมสดที่บรรจุใน

กล่องยูเอชที มีอายุการเก็บในสภาพอุณหภูมิปกติได้นาน 6 เดือน สีของกล่องนมมีความหมายเหมือนกับสีที่แสดงอยู่บนขวดหรือกล่อง

นมพาสเจอร์ไรซ์ ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์นมยูเอชทีบรรจุในขวดพลาสติก ซึ่งสามารถเก็บที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือนด้วย

ผลิตภัณฑ์นมผง
การผลิตนมผง เป็นกระบวนการถนอมรักษานมสด โดยการทำให้เป็นผงแห้ง การแปรรูปเป็นผงโดยการระเหยน้ำส่วนใหญ่ออก
จากน้ำนมสด ทำให้ผลิตภัณฑ์แห้งเป็นผง มีน้ำหนักเบา ประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่งและเก็บได้นาน

การเลือกซื้อต้องกระทำความความระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำไปเลี้ยงเด็ก นมผงที่เหมาะสำหรับเด็ก คือ นมผงที่ผลิต จากน้ำนมสดธรรมดาที่เรียกว่า นมผงธรรมดาชนิดละลายได้ทันที ส่วนนมผงที่ผลิตจาน้ำนมขาดมันเนยผสมกับน้ำมันพืช ที่เรียกว่า นมผง แปลงไขมัน ควรใช้เลี้ยงเด็กอายุตั้งแต่ 2 ปี ขึ้นไป ส่วนนมผงชนิดพร่องมันเนยและขาดมันเนยไม่เหมาะใช้เลี้ยงเด็ก แต่เหมาะสำหรับ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับน้ำหนักมากหรือไขมันในเลือดสูง

ถ้าจำเป็นต้องใช้นมผงชนิดพร่องมันเนยหรือขาดมันเนยเพื่อเลี้ยงเด็กอายุ 2 ปีขึ้นไป ควรเติมน้ำมันพืชลงไปในปริมาณร้อยละ 3 - 3.5 หลังจากชงนมเสร็จแล้ว

นมผงบรรจุกระป๋องที่ยังไม่ได้เปิดฝา สามารถเก็บไว้ได้นานประมาณ 2 ปี อย่างไรก็ตาม หลังจากเปิดกระป๋องแล้ว ควรเก็บไว้ใน
ที่แห้งและอุณหภูมิไม่สูงมาก หลังจากเปิดใช้แล้ว อายุการเก็บจเส้นมากไม่ควรเกิน 15 วัน - 1 เดือน

การดัดแปลง / เสริมสารอาหารในนม
ผลิตภัณฑ์นมที่จำหน่ายในท้องตลาด ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด มักมีการดัดแปลง หรือเสริมสารอาหารเพื่อให้เกิดความหลากหลาย และประโยชน์ทางการตลาด อย่างไรก็ตามผู้บริโภคก็อาจได้รับประโยชน์เหล่านั้นถ้ารู้จักเลือกชนิดที่เหมาะสม การเสริมสารอาหารที่พบบ่อยที่สุดได้แก่ การเสริมธาตุแคลเซียม ซึ่งนมพร้อมดื่ม ขนาด 250 มล. ให้แคลเซียมประมาณ 230 - 250 มก. (ร้อยละ 30 ของ
ความต้องการของร่างกายใน 1 วัน) นมที่เสริมแคลเซียมมักให้แคลเซียมเป็นร้อยละ 50 (กฎหมายอนุญาตให้เสริมได้ไม่เกินนี้) นอกจากนี้ ยังมีการเสริมวิตามิน และเกลือแร่บางชนิดในปริมาณที่แตกต่างกัน

ผลิตภัณฑ์นมบางยี่ห้อยังมีการแยกน้ำตาลแลกโตสที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสียในผู้บริโภคที่ไม่สามารถย่อยน้ำตาลชนิดนี้ได้ จึงเหมาะ สำหรับผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าว เพราะช่วยให้สามารถบริโภคนมได้ตามปกติ

นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์นมที่มีการเสริมสารพรีไบโอติค (prebiotics) ซึ่งระบุบนฉลากว่า prebio สารชนิดนี้ เป็นคาร์โบโฮเดรต ประเภทหนึ่ง ที่เรียกว่า ฟรุคโตโอลิโกแซคคาไรซ์ ซึ่งพบในพืชบางชนิด และในน้ำนมแม่ สารชนิดนี้เชื่อกันว่าเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงจุลินทรีย์ ที่มีประโยชน์ ซึ่งอยู่ในลำไส้ของมนุษย์

ดื่มผลิตภัณฑ์นมประเภทใดคุ้มค่าที่สุด
การพิจารณาว่าจะเลือกดื่มนมชนิดไหน ขอให้ดูปัจจัยต่าง ๆ ประกอบกัน นมเป็นแหล่งโปรตีน แคลเซียม และฟอสฟอรัสที่ดี
การดื่มนมจึงมุ่งให้ได้สารอาหารดังกล่าว เป็นสำคัญ สำหรับเด็กไขมันในนมก็สำคัญ ด้วยเพราะเป็นแหล่งพลังงาน ดังนั้นควรเลือกผลิตภัณฑ์
ที่มีไขมันด้วย

นมพาสเจอร์ไรซ์ นมสเตอร์ไรซ์ นมกล่องยูเอชที นมข้นไม่หวาน และนมผง หากมีการใช้ถูกต้อง จะให้สารอาหารหลักที่กล่าวมาแล้ว ไม่แตกต่างกัน จึงขอให้เลือกตามกำลังทรัพย์ และความสะดวกที่มีอยู่ ถ้าทีปัญหาเรื่องน้ำตาลแลกโตส อาจต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อนมชนิดที่ ไม่มีแลกโตส แต่ถ้าอยากได้วิตามิน และสารที่ใช้เสริมเพิ่มเติม ก็ต้องเลือกชนิดที่ผู้ผลิตเติมเข้าไป ซึ่งราคาก็แพงขึ้นไปอีก แต่ผู้บริโภคไม่ต้อง
กังวลถ้าไม่ได้ดื่มผลิตภัณฑ์นมชนิดนั้น ๆ เพราะว่านมไม่ได้ให้สารอาหารทุกชนิดที่ร่างกายต้องการ เราจำเป็นต้องกินอาหารอื่น ๆ ให้หลากหลายด้วย ส่วนผู้ที่ดื่มนมไม่ได้ หรือไม่ชอบดื่มนม หรือดื่มนมแล้วไม่สบายท้อง อาจกินอาหารอื่นแทนเพื่อให้ได้แคลเซียม เช่น ปลาตัวเล็ก ทอดกรอบ ปลากระป๋อง ผักใบเขียวเข้ม หรือเต้าหู้แข็ง เป็นต้น

ที่มา :
( อาจารย์กันยา สุวรรณคีรีขันธ์ : คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ )

21.10.08

"ไขมันทรานซ์" ไขมันวายร้าย"


"ไขมันทรานซ์" ไขมันวายร้าย"

อาหารที่เราบริโภคมักมีไขมัน 4 ชนิดปะปนอยู่ในสัดส่วนที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำมันที่ใช้ทำอาหาร ได้แก่ ไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว ไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งซึ่งเป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพ ส่วนไขมันเลวได้แก่ ไขมันอิ่มตัว และไขมันทรานซ์ จากข้อมูลในปัจจุบันพบว่า ไขมันทรานซ์ร้ายกาจกว่าไขมันอิ่มตัวเสียอีก เพราะมีผลต่อการเพิ่มคอเลสเทอรอลในร่างกายยิ่งกว่าอาหารที่มีคอเลสเทอรอลสูง
ไขมันทรานซ์คืออะไร เกิดจากกระบวนการเติมไฮโดรเจนลงในน้ำมันพืชซึ่งเป็นของเหลว ทำให้น้ำมันเปลี่ยนไปเป็นของแข็ง เราเรียกกระบวนการนี้ว่า "ไฮโดรจีเนชั่น" (hydrogenation) ไขมันชนิดนี้มีมากที่สุดในมาจารีนชนิดแท่ง เนยขาว คุ้กกี้ เค้ก แคร็กเกอร์ เฟรนช์ฟรายส์ โดนัท อุตสาหกรรมการผลิตอาหารนิยมใช้ไขมันทรานซ์แทนไขมันอิ่มตัว เช่น เนย เพราะจะทำให้อาหารคงความแข็งตัวที่อุณหภูมิห้อง นอกจากนี้ไขมันทรานซ์ยังมีอายุการเก็บได้นาน และชะลอการเหม็นหืน โดยที่เนื้อสัมผัสของอาหารไม่แห้ง อาหารอบจะลอกเป็นชั้นได้และมีรสชาติดี
ไขมันทรานซ์ร้ายขนาดไหน? ไขมันทรานซ์เหมือนไขมันอิ่มตัวตรงที่เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ โดยการเพิ่มระดับคอเลสเทอรอลที่ไม่ดี (แอลดีแอลคอเลสเทอรอล) แต่งานวิจัยรายงานว่าไขมันทรานซ์ร้ายกว่า เพราะมีผลในการลดคอเลสเทอรอลที่ดี (เอชดีแอล) ด้วย เท่านั้นยังไม่พอ นักวิจัยพบว่า ไขมันทรานซ์ยังเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคอัลไซเมอร์ จอประสาทตาเสื่อม โรคนิ่วในถุงน้ำดีและการอักเสบ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคเรื้อรังไม่ติดต่อทั้งหลาย ล่าสุดในเดือนมกราคม 2007 มีรายงานว่า ไขมันทรานซ์อาจเพิ่มความเสี่ยงการท้องยากในผู้หญิง ไขมันทรานซ์บางชนิดยังพบในผลิตภัณฑ์จากสัตว์เล็กน้อย เช่น ผลิตภัณฑ์นมและเนื้อสัตว์ นักวิจัยพบว่าไขมันทรานซ์ในธรรมชาติไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายเหมือนไขมันทรานซ์ที่แปรรูป
กินอย่างไรให้ปลอดภัย สถาบันทางการแพทย์ของสหรัฐอเมริกา (Institute of Medicine) มีข้อแนะนำเมื่อปี 2005 ว่า ให้บริโภคไขมันทรานซ์น้อยกว่า 1% ของพลังงาน หรือ 2 กรัมต่อพลังงาน 1,800 กิโลแคลอรี/วัน ซึ่งเป็นปริมาณไขมันทรานซ์ที่คนเราได้รับจากการบริโภคเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นม สมาคมหัวใจและองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา ต่างก็แนะนำให้บริโภคไขมันรวมให้น้อยกว่า 35% ของพลังงาน โดยที่ไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 10% ถ้าคุณบริโภคอาหารที่มีพลังงาน 1,800 กิโลแคลอรี/วัน ก็จะได้ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานซ์ รวม 20 กรัม เฟรนช์ฟรายขนาดใหญ่มีไขมันทรานซ์ประมาณ 6 กรัม ปัจจุบันในประเทศสหรัฐอเมริกามีข้อบังคับให้ระบุปริมาณไขมันทรานซ์บนฉลากอาหาร โดยเริ่มตั้งแต่มกราคมปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้ผลิตหันมาใช้กรดไขมันอิ่มตัวแทน ซึ่งถ้าไม่อ่านฉลากให้ละเอียดเราอาจจะพลาดได้ แม้ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่ากรดไขมันอิ่มตัวจะเป็นอันตรายต่อร่างกายเพียงไหน แต่ทางที่ดีที่สุดคือ ควรจำกัดปริมาณไขมันรวมที่บริโภค จะช่วยให้จำกัดไขมันทุกชนิดไปในตัว
ปลอดไขมันทรานซ์จริงหรือ... ฉลากอาหารที่ระบุว่าไขมันทรานซ์เป็น "0" ไม่ได้หมายความว่าปลอดไขมันทรานซ์ 100 เปอร์เซ็นต์ ตามกฎระเบียบขององค์การอาหารและยาระบุว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันทรานซ์น้อยกว่า 0.5 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค สามารถระบุบนฉลากได้ว่า ไขมันทรานซ์เป็น "0" หรือไร้ไขมันทรานซ์ แม้ว่าปริมาณไขมันน้อยกว่า 0.5 กรัมนั้นเป็นปริมาณเพียงน้อยนิด แต่ถ้าบริโภคเป็นประจำ จำนวนน้อยนิดรวมกันทั้งวันและทุกวันก็กลายเป็นมากได้ ตัวอย่างเช่น อาหารที่มีไขมันทรานซ์ 0.4 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค แต่ถ้าบริโภค 5 หน่วยบริโภคก็จะได้ไขมันทรานซ์ 2 กรัม ฉะนั้นอ่านฉลากเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ ดังนั้นสิ่งที่ควรปฏิบัติเพิ่มขึ้นคือ
อ่านฉลากอาหารเพื่อดูปริมาณไขมันทรานซ์และเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกันที่ต่างยี่ห้อกัน เลือกชนิดที่เป็น "0"
อ่านองค์ประกอบของอาหาร ดูว่ามีไขมันทรานซ์ หรือข้อความ "partially hydrogenated oil" หมายถึงน้ำมันแปรรูปจากการเติมไฮโดรเจนบางส่วน หรือไม่
ระวังขนาดหรือปริมาณอาหารที่มีไขมันแปรรูป เพราะถ้าคุณกินมากกว่าหนึ่งหน่วยบริโภคคุณก็จะได้มากขึ้น ลองคิดถึงคุ้กกี้ มันฝรั่งทอดกรอบ แครกเกอร์ คุณจะได้ไขมันทรานซ์มากกว่าที่ระบุไว้เสมอ แม้ว่าในฉลากจะระบุว่าเป็น "0" ต่อหนึ่งหน่วยบริโภค
อย่าลดไขมันทรานซ์โดยกินไขมันอิ่มตัวแทน สิ่งที่ควรทำคือ เลือกอาหารที่มีไขมันทั้งสองชนิดต่ำไว้เสมอ
จำกัดขนมอบกรอบ มาจารีนชนิดแท่ง ฟาสต์ฟู้ด เฟรนช์ฟราย ทั้งหมดนี้มีผลต่อการเพิ่มปริมาณไขมันและน้ำหนักตัว
อย่าปล่อยให้คำว่า"ไร้ไขมันทรานซ์"เป็นไฟเขียวที่จะทำให้บริโภคอาหารนั้นเพิ่มขึ้น แม้ไร้ไขมันทรานซ์ไม่ได้หมายความว่าอาหารนั้นจะมีคุณค่าทางโภชนาการสูงเสมอไป

อันตรายจากสารกันชื้น

อันตรายจากสารกันชื้น

เชื่อกันว่าทุกคนคงรู้จักสารกันชื้นกันดี ก็คือซองที่อยู่ในขนมกรุบกรอบและขวดยา สารกันชื้นมีด้วยกันหลายชนิด แต่ที่นิยมใช้กันมากคือ ซิลิก้า เจล ซึ่งสกัดจากทรายขาวผสมกำมะถัน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ซิลิกอนไดออกไซด์ เป็นเม็ดกลมๆ มีหลายสี ส่วนสาเหตุที่ต้องใส่สารกันชื้นลงในผลิตภัณฑ์ ก็เพราะความชื้นทำให้คุณสมบัติของสินค้าเปลี่ยนไป เช่นถ้าเป็นยาก็มีคุณสมบัติไม่เหมือนเดิม เครื่องหนังเมื่อได้รับความชื้น รูปทรงจะเปลี่ยนและเกิดเชื้อราได้ง่าย ส่วนขนมกรุบกรอบถ้าโดนความชื้นก็จะเสียความกรอบไป
สารกันชื้นอาจไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใหญ่ แต่สำหรับเด็กที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้น ผู้ปกครองต้องระวังให้ดี เพราะล่าสุดผู้ปกครองรายหนึ่งได้ร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคว่า บุตรของตนวัยขวบเศษถูกเด็กแถวบ้านปาสารกันชื้นในถุงใส่ แล้วซองบรรจุสารกันชื้นแตก ทำให้ซิลิก้า เจลที่บรรจุอยู่กระเด็นเข้าตา เด็กร้องไห้และเจ็บนัยน์ตามาก แต่เมื่อไปพบแพทย์กลับไม่สามารถรักษาทัน เพราะสารทำปฏิกิริยากับดวงตาทำให้ตาบอด ดังนั้นสังคมควรจะเตือนภัยเรื่องนี้ให้รัดกุมกว่านี้
ระวังสารตะกั่วในเครื่องทำน้ำเย็น
เดี๋ยวนี้เครื่องทำน้ำเย็นไม่เพียงใช้กันในที่สาธารณะอย่างโรงเรียน โรงพยาบาล หรือที่ทำงานเท่านั้น บางบ้านยังมีใช้กันเลย กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เนื่องจากบ้านเราร้อนเหลือใจ แต่ทำเล่นไป เครื่องทำน้ำเย็นเป็นตัวปล่อยสารตะกั่วที่น่ากลัว เพราะภายในเครื่องทำน้ำเย็นมีการบัดกรีบริเวณมุมขอบภายในเครื่องด้วยตะกั่ว การเชื่อมถังน้ำดื่ม การขึ้นรูปเครื่อง การเชื่อมลูกลอยกับก้านส่วนที่สัมผัสกับน้ำดื่ม และการบัดกรีท่อจ่ายน้ำดื่ม ทั้งหมดล้วนเป็นโอกาสและสาเหตุที่ทำให้เกิดสารตะกั่วปนเปื้อนในน้ำดื่ม
ตะกั่วเป็นสารพิษที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้ และสะสมอยู่ในอวัยวะต่างๆ เช่น ตับ ไต หัวใจ สมอง กระเพาะอาหาร ไขกระดูก และบริเวณที่มีไขมันเป็นองค์ประกอบ พิษของตะกั่วจะทำลายระบบประสาทส่วนปลาย ทำให้นิ้วเท้าและมือเป็นอัมพาต ทำลายเซลล์สมอง หลอดเลือดฝอย ทำให้อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียและฉุนเฉียว ถ้าเป็นมากจะปวดศีรษะ ความรู้สึกสับสน ความจำเสื่อม ปวดกล้ามเนื้อ โลหิตจาง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เกิดการตกเลือด เพ้อ ชัก เป็นอัมพาต หมดสติถึงตายได้
ตอนนี้ทางหน่วยงานรัฐกำลังหามาตรการที่จะควบคุมมาตรฐานของเครื่องทำน้ำดื่มเพื่อไม่ให้เกิดสารตะกั่ว
ปนเปื้อนซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
ข้อมูลจากวารสารสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
สำหรับผู้ชอบใช้ไมโครเวฟต้มน้ำ
ขอสารภาพว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในนั้น คือต้มน้ำชงกาแฟทุกเช้า ด้วยการใส่น้ำในแก้วแล้วเอาเข้าไมโครเวฟ เพราะสะดวกดี แถมไม่มีกาต้มน้ำซึ่งต้องเสียบปลั๊กทิ้งไว้ตลอดด้วย
ล่าสุดอ่านเจอจากหนังสือพิมพ์มติชน เล่าเรื่องผู้ชายคนหนึ่งต้องการชงกาแฟโดยใช้ไมโครเวฟ เขาใส่น้ำเปล่าลงไปในถ้วยกาแฟและเอาเข้าไปต้ม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำประจำ แต่ครั้งนี้เขาต้มน้ำแล้วเห็นน้ำไม่เดือดก็เลยเปิดเตาไมโครเวฟ หยิบแก้วออกมา เขาเห็นว่าน้ำในแก้วไม่เดือดปุดเป็นไอ เลยก้มลงไปมอง ทันใดนั้นน้ำที่เดือดก็พุ่งใส่หน้า ต้องโยนถ้วยทิ้ง แต่น้ำได้ลวกทั้งใบหน้าจนพุพองไปหมดแล้ว เหตุการณ์ดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ หากใช้น้ำเปล่าต้มในไมโครเวฟ ควรใช้แท่งไม้สำหรับคนกาแฟ หรือถุงน้ำชา (ยกเว้นช้อนโลหะ) ใส่ลงไปในน้ำ เพื่อกระจายพลังงานเวลาต้มน้ำ และไม่ควรต้มเกิน 2 นาที และเมื่อครบเวลาควรรออีก 30 วินาที ก่อนนำออกจากไมโครเวฟหรือก่อนใส่อะไรลงไปในน้ำร้อน
เลยนำมาบอกต่อกัน เผื่อท่านใดทำเป็นประจำ จะได้เปลี่ยนวิธีการโดยด่วน
สาเหตุของโรคองค์การอนามัยโลกเผยต้นเหตุสำคัญที่ทำให้คนทั่วโลก รวมทั้งคนไทยด้วย เสียชีวิตจากโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และมะเร็งกันมาก ก็เพราะมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้อง สูบบุหรี่ ไม่ออกกำลังกาย และกินผักผลไม้น้อย เฉลี่ยแล้ววันละไม่ถึง 3 ขีด ซึ่งไม่เพียงพอต่อการป้องกันโรค
กระทรวงสาธารณสุขแถลงถึงรายงานที่ได้รับจากองค์การอนามัยโลกซึ่งระบุว่า ร้อยละ 58 ของเบาหวานทั่วโลก ร้อยละ 21 ของโรคหัวใจขาดเลือด และร้อยละ 8-42 ของมะเร็งบางชนิด มีสาเหตุมาจากความอ้วน และพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค คือสูบบุหรี่ ไม่ออกกำลังกาย และกินผักผลไม้น้อย ทำให้ร่างกายสะสมไขมัน โดยเฉพาะไขมันที่สะสมในช่องท้องหรือที่เรียกว่าอ้วนลงพุง อันตรายมาก ผู้ชายไม่ควรมีรอบเอวเกิน 90 ซม. ผู้หญิงไม่ควรเกิน 80 ซม.ผลการสำรวจล่าสุดพบว่าตอนนี้คนไทยมีเอวเกินมาตรฐาน 9 ล้านคน กลายเป็นโรคอ้วนลงพุงแล้วกว่า 6 ล้านคน รอบเอวที่เพิ่มขึ้นทุก 5 ซม.จะเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานมากขึ้น 3-5 เท่า หากอ้วนลงพุงแถมเป็นเบาหวานด้วยก็มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคหัวใจขาดเลือด 5 เท่า เสี่ยงเป็นโรคหยุดหายใจขณะหลับ 3 เท่า
ฝรั่งและฟักทอง
คนส่วนมากจะนิยมกินส้มกันมากเพราะเชื่อว่ามีวิตามินซีสูง แต่จริงๆแล้วฝรั่งมีวิตามินซีมากกว่าส้มถึง 5 เท่า และยังมีวิตามินเอ และบี กรดนิโคตินิก ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม เหล็ก โฟเลต ให้ปริมาณกากใยสูง มีไขมันต่ำ และให้พลังงานผลละ 25 แคลอรี่เท่านั้น ช่วยให้น้ำหนักลดสำหรับผู้หญิงที่คุมอาหาร
ผักอีกชนิดที่มีประโยชน์และทางเกาหลีค้นพบว่ามีสรรพคุณช่วยต้านโรคอ้วนก็คือ ฟักทอง โดยเฉพาะที่รากมีสารช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันสะสมในร่างกาย และช่วยละลายไขมันด้วย ทางเกาหลีกำลังสกัดเพื่อนำมาเป็น
ยาบำรุง ว่าแล้วก็หันมากินฝรั่งและฟักทองกันดีกว่า
คุยมือถือนานๆ ระวังหูหนวก
มีการเตือนจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมานานแล้วเรื่องโทษของการคุยโทรศัพท์มือถือวันละนานๆ แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไหร่ ล่าสุด วิทยาลัยทางการแพทย์ของอินเดียศึกษาและพบว่า ผู้ที่คุยมือวันละนานกว่าครึ่งชั่วโมง เป็นเวลา 4 ปีขึ้นไป มีโอกาสหูหนวกในที่สุด
แต่ถึงจะมีผลการศึกษาออกมา นักวิจัยนำข้อมูลออกประกาศเตือนประชาชนทั่วไป แต่ก็พบว่าประชาชนไม่ตื่นตัวและไม่ให้ความสนใจ ส่วนมากอ้างว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะคุยเรื่องงาน บางคนบอกว่าเคยเจ็บหูอยู่พักหนึ่งเช่นกัน แต่ในที่สุดก็หายไปเอง
จึงยังไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรม

20.10.08

อาหารเป็นยา

อาหารเป็นยา เป็นคำที่ทราบกันดีในหมู่นักบริโภคเพื่อสุขภาพทั้งหลายซึ่งเราขอยกมือสนับสนุนเต็มที่ค่ะ เพราะอาหารที่คุณคุ้นเคยหลายชนิดซึ่งนอกจากจะอร่อยลิ้นแล้ว ยังช่วยป้องกันการเกิดปัญหาทางสุขภาพและช่วยส่งเสริมสุขภาพของคุณด้วยค่ะ อันนี้นักวิจัยเขายืนยันมา และนี่ก็คือ 9 ยอดอาหารธรรมชาติที่ช่วยรักษาสุขภาพของคุณค่ะ
1. บร็อคโคลี่แชมเปี้ยนผักในตระกูลกะหล่ำที่เป็นที่นิยมของนักบริโภคทั่วโลกบร็อคโคลี่มีประโยชน์ดังนี้ค่ะ
- ช่วยป้องกันมะเร็ง
- อุดมด้วยวิตามินซี สารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ ในร่างกาย และยังช่วยให้ผนังเส้นเลือดแข็งแรงอีกด้วยค่ะ
- ประกอบด้วยสาร glutathione ซึ่งช่วยลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดไขข้ออักเสบ เบาหวาน และโรคหัวใจ และนอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ของร่างกาย ลดระดับคลอเลสเตอรอล และช่วยลดความดันโลหิตสูงค่ะ
- ป้องกันการเกิดต้อกระจก เนื่องจากบร็อคโคลี่ จะมีสารเบต้าแคโรทีนสูง โดยเฉพาะสาร lutein ค่ะ
ขนาดรับประทาน : บร็อคโคลี่ 1/2 ถ้วย ต่อสัปดาห์ ก็จะดีต่อสุขภาพของคุณ
2. กระเทียมช่วยลดคลอเลสเตอรอล มีฤทธิ์คล้ายกับยาแอสไพรินในการช่วยป้องกันการแข็งตัวและการอุดตันของหลอดเลือด มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคได้เหมือนกับยาเพ็นนิซิลิน โดยเฉพาะเวลาที่เจ็บคอ สามารถใช้กระเทียมรักษาได้ดีค่ะ และยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ในการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านมอีกด้วยค่ะ
ขนาดรับประทาน : การป้องกันโรคหัวใจรับประทานวันละ 1 กลีบ และโดยทั่วไป ก็แนะนำให้รับประทานกระเทียมเป็นประจำทุกวันแล้วแต่ปริมาณที่คุณชอบค่ะ
3.ถั่วแดงเป็นอาหารที่มีส่วนประกอบของเส้นใยอาหารสูงมากค่ะ ดังนั้นจึงช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล ป้องกันการเกิดภาวะเส้นเลือดในสมองแตก และมะเร็งลำไส้ใหญ่ค่ะ อุดมด้วยกรดโฟลิค ที่ช่วยบำรุงโลหิต ป้องกัน ความผิดปกติของทารกในครรภ์ นอกจากนี้ยังประกอบด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์ polyphenolics ที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ดีอีกด้วยค่ะ
ขนาดรับประทาน : ควรรับประทาน 1 ถ้วย / วัน ค่ะ
4. นมพร่องมันเนยเป็นแหล่งของแคลเซี่ยมสูงที่ปลอดไขมัน ซึ่งป้องกันภาวะกระดูกพรุนและยังประกอบด้วยสารโปรตัสเซี่ยมและแมกเนเซี่ยม ที่ออกฤทธิ์ช่วยลดความดันโลหิตสูงค่ะ
ขนาดรับประทาน : คนวัยหนุ่มสาวต้องการแคลเซี่ยมวันละ 1000 mg ค่ะ ส่วนวัยสูงอายุจะต้องการเพิ่มขึ้นเป็น 1500 mg /วัน จึงจะเพียงพอค่ะปัจจุบันมีนมพร่องมันเนยแคลเซี่ยมสูงจำหน่ายอยู่ทั่วไป เลือกดื่มได้ตามปริมาณที่แนะนำนะคะ
5. ส้มยอดผลไม้ที่มีปริมาณวิตามิน ซี สูง เส้นใยอาหารสูง รวมทั้งสารอาหารชนิดอื่นๆ ซึ่งช่วยป้องกันหวัด ลดระดับคลอเลสเตอรอล ช่วยในการสร้างกระดูก ป้องกันการเกิดนิ่วในไต ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ตลอดจนช่วยฟื้นฟูอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจอีกด้วยค่ะ นอกจากนี้สาร phytochemicals ในส้มยังช่วยต่อต้านมะเร็งเต้านมด้วยค่ะ
ขนาดรับประทาน : ควรรับประทานส้มวันละ 1-2 ผล เป็นประจำทุกวัน
6. ปลาแซลมอนมีปริมาณน้ำมันปลาที่เรียกว่า Omega-3s ค่อนข้างสูง ซึ่งช่วยป้องกันโรคหัวใจ และช่วยควบคุมอาการไขข้ออักเสบ นอกจากนี้น้ำมันปลายังช่วยลดอาการปวดรอบเดือน กลุ่มอาการก่อนมีรอบเดือนรวมทั้งช่วยระงับอาการซึมเศร้าได้ด้วยค่ะ
ขนาดรับประทาน : รับประทานสัปดาห์ละ 3 ออนซ์
7. เต้าหู้หนึ่งในอาหารชั้นเลิศที่ควรเลือกรับประทานค่ะ ช่วยลดระดับไขมัน คลอเลสเตอรอล อุดมด้วยสาร Isoflavone สารเอสโตรเจนธรรมชาติจากพืช ป้องกันกระดูกพรุน ป้องกันมะเร็งเต้านม และยังช่วยให้ไตทำงานได้ดีด้วยค่ะ
ขนาดรับประทาน : 30-50 mg ของ Isoflavone / วัน หรือเท่ากับปริมาณเต้าหู้ 1/2 ถ้วย/วัน ซึ่งมี Isoflavone 35 mg.
8. ซอสมะเขือเทศนอกจากจะสุดอร่อยแล้ว ยังมีประโยชน์มากมายค่ะ เช่น ป้องกันมะเร็ง ลำไส้ใหญ่ มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งกระเพาะอาหาร สาร lycopene ในมะเขือเทศเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ พบมากในเฉพาะมะเขือเทศเท่านั้น ในผักผลไม้ชนิดอื่นจะมีlycopene น้อยค่ะ สาร lycopene มีคุณสมบัติ กำจัดสารอนุมูลอิสระตัวอันตรายให้ออกไปจากร่างกายของคุณ ซึ่งนอกจากจะช่วยป้องกันมะเร็งแล้ว ยังช่วยให้คุณห่างไกลความร่วงโรยอีกด้วยละค่ะ น่าสนมั้ยละคะ...
ขนาดรับประทาน : รับประทานได้ตามใจชอบเป็นประจำทุกวันค่ะ
9. น้ำร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่ จึงจำเป็นที่คุณควรจะดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะน้ำคือยาอันมหัศจรรย์ทีเดียวค่ะ หากดื่มน้ำได้เพียงพอ จะช่วยป้องกันอาการอ่อนเพลีย ตะคริว รักษาระดับอุณหภูมิของร่างกาย ป้องกันการเกิดนิ่ว และยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสค่ะ ฉะนั้น ควรจะดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วและถ้าคุณสามารถดื่มได้มากกว่านี้ก็นับว่าเป็นกำไรของคุณค่ะ

กินอย่างไรจะห่างไกลโรคในวัยทอง

กินอย่างไรจะห่างไกลโรคในวัยทอง

การกินดี หมายถึง การกินอาหารให้ได้คุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน พอเพียงและพอดี อันจะนำมาซึ่งสุขภาพดีทั้งในปัจจุบันและอนาคต
การกินดีอยู่ดีมาตลอดตั้งแต่วัยเด็กจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ย่อมจะส่งผลดีต่อไปในอนาคตคือ เป็นผู้ใหญ่วัยทองที่แข็งแรง ปราศจากโรค สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ทำประโยชน์ให้กับครอบครัวและสังคมส่วนรวมได้ด้วย แต่ถ้าปฎิบัติตนไม่ถูกต้องทั้งในด้านการกิน การเสพ ผลก็คือเป็นผู้ใหญ่ที่แม้ว่าจะมีชีวิตยืนยาวก็ไม่สมบูรณ์ อาจมีโรคแห่งความเสื่อมรบกวน เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคกระดูกโปร่งบางหักง่าย โรคมะเร็ง ฯลฯ
การบริโภคอาหารด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อสุขภาพอันดีทั้งในปัจจุบันและอนาคต จำเป็นต้องอาศัยความรู้เรื่องคุณค่าของอาหาร ประกอบกับความตั้งใจแน่วแน่ที่จะบริโภคเพื่อสุขภาพมากกว่ารับประทานตามใจปาก โดยมีหลักปฏิบัติคือเลือกอาหารที่มีประโยชน์ มีคุณค่าทางโภชนาการดี เลือกอาหารที่ประหยัด คือ อาหารที่หาง่ายในท้องถิ่นหรือมีตามฤดูกาลและรับประทานอย่างคุ้มค่า ไม่เหลือทิ้ง เลือกอาหารที่ปลอดภัยจากสารพิษทั้งปวง เช่น สีสังเคราะห์ สารก่อมะเร็ง ฯลฯ
การเลือกอาหารให้มีความหลากหลายไม่จำเจในหมวดต่างๆ มีหลักดังนี้
หมวดข้าว ควรเป็นข้าวที่ไม่ขัดจนขาว ซึ่งจะได้รับใยอาหารและวิตามินที่ป้องกันโรคเหน็บชามากกว่าข้าวขาว
หมวดเนื้อสัตว์ แหล่งอาหารให้โปรตีนคุณภาพดีและมีไขมันน้อย เช่น เนื้อปลา ควรบริโภคทั้งปลาน้ำจืดซึ่งหาได้ง่ายในท้องถิ่น ปลาทะเลซึ่งให้ธาตุไอโอดีนป้องกันคอพอก และปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาทู ปลาโอ ปลาซาบะ ซึ่งมีกรดไขมันชนิดโอเมก้า 3 ที่ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดตีบ หรืออุดตันและจะทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด สมองขาดเลือดตามมา พร้อมกับบริโภคเนื้อสัตว์อื่นๆ ที่ไม่มีมัน เช่น สันในไก่ สันในหมู
หมวดนม เด็กต้องดื่มนมมากๆ เพื่อความเจริญของกระดูก กระดูกจะได้ยาว เด็กจะมีความสูงเพิ่มขึ้นตามวัย (จะสูงเต็มที่ต้องออกกำลังกายประกอบกับการดื่มนม) ขณะเดียวกันควรดื่มเพื่อเป็นทุนสำรองไว้ในกระดูกให้มาก เพราะเมื่อเข้าสู่วัยทอง แม้เกลือแร่จะออกจากกระดูกไปบ้างตามธรรมชาติ แต่กระดูกก็ยังมีเกลือแร่และความหนาแน่นมากพอที่จะป้องกันไม่ให้กระดูกเปราะหักและแตกง่าย (เวลาที่ผู้สูงอายุล้ม) ขณะเดียวกันในวัยผู้ใหญ่ก็ต้องดื่มนมเพื่อรักษาไว้ซึ่งความแน่นแข็งแกร่งของกระดูก จะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน เด็กดื่มนมกันมาก และคุณควรสนับสนุนให้ดื่มต่อไป ตลอดจนเข้าสู่ผู้ใหญ่และวัยสูงอายุ ถ้าปฏิบัติได้เช่นนี้ ผู้ใหญ่ยุคใหม่จะย่อยน้ำตาลในนมได้ (เพราะมีนมไปกระตุ้นให้มีเอนไซม์แลคเทสออกมาอยู่เรื่อยๆ) ไม่ต้องดื่มนมเปรี้ยวในวัยทองถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วเขียว มีใยอาหารมาก หญิงวัยหมดประจำเดือน ควรดื่มนมถั่วเหลืองวันละ 1-2 แก้ว เพราะนมถั่วเหลืองมีสารช่วยลดโคเลสเตอรอลและชะลอการเกิดโรคกระดูกโปร่งบางในวัยสูงอายุ
หมวดไขมัน เลือกไขมันที่ดีที่สุด ประหยัดที่สุดคือ น้ำมันถั่วเหลืองผสมน้ำมันรำ 1:1 ในการประกอบอาหาร เพื่อป้องกันโรคไขมันในเลือดสูง อันจะนำไปสู่ภาวะหัวใจหรือสมองขาดเลือด คุณควรบริโภคไขมันให้น้อยลง งดอาหารที่ทอดอมน้ำมัน แกงกะทิ ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ติดมัน หมูสามชั้น เนย เนยเทียม
หมวดผัก เลือกผักจำพวกใบและมีสีเขียวเข้ม เช่น ใบตำลึง ผักกาด กวางตุ้ง คะน้า ผักจำพวกผล หัว สีแสดเข้ม (มีเบต้าแคโรทีนสูง) เช่น มะเขือเทศสุกสุดสีแดงจัด หัวแครอท เลือกผักที่ทราบว่าไม่ต้องฉีดยาฆ่าแมลง เช่น ตำลึง ผักคะน้าต้นเล็กๆ ที่ยังอ่อน หรือคะน้าต้นโตที่มีรูพรุน อาหารจำพวกผักมีใยอาหารมาก ซึ่งจะช่วยป้องกันริดสีดวงทวารและมะเร็งลำไส้ใหญ่
หมวดผลไม้ จะได้ประโยชน์ด้านวิตามิน เกลือแร่และใยอาหาร โดยเฉพาะผลไม้สดสุกที่มีสีแสดส้ม เช่น มะละกอสุก หรือรับประทานผลไม้สดตามฤดูกาล เช่นส้ม สับปะรด ฝรั่ง ชมพู่ ฯลฯ การรับประทานผลไม้จะได้ประโยชน์มากกว่าการดื่มน้ำผลไม้ เพราะได้รับใยอาหารไปด้วยในคราวเดียวกัน
ดังนั้นทุกครั้งที่เลือกรับประทานอาหารหลักในแต่ละหมวด คุณต้องสำนึกอยู่เสมอว่า จะเลือกอาหารที่ดีสำหรับปัจจุบันและป้องกันอันตรายจากโรคแห่งความเสื่อมที่มักเกิดขึ้นในอนาคต
วิธีปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง
1. รับประทานอาหารที่สะอาดปราศจากการปนเปื้อน
2. หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจมีเชื้อรา เช่น ถั่วลิสง ข้าวสาร หัวหอม พริกแห้ง มะละกอสุก (ผิวเน่า) ถ้าพบว่ามีราสีดำให้ทิ้งได้ทันที
3. รับประทานผักผลไม้ที่สด สะอาดและปลอดสารพิษ จะช่วยให้ร่างกายได้รับใยอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระ
4. งดหรือลดอาหารปิ้ง ย่าง ทอด ด้วยไฟแรงจนมีควัน และอาหารไหม้เกรียม เช่น หมูไม้ ไก่ย่าง
5. งดหรือลดอาหารเนื้อสัตว์ที่ใส่ดินประสิว เช่น แหนม เนื้อหรือปลาแดดเดียว แฮม เบคอน ไส้กรอก กุนเชียง
6. หลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์หมัก เช่น กะปิ ปลาร้า หอยดอง หากจะรับประทานต้องใช้ความร้อนทำให้สุกก่อน
7. หลีกเลี่ยงอาหารเค็มจัดและมันจัด
8. อย่ารับประทานอาหารร้อนจัด
9. ควรปฏิบัติตนให้ถูกสุขปฏิบัติ - ระวังอย่าให้ท้องผูก- งดสูบบุหรี่- ทำจิตใจให้สบาย คลายความเครียด
วิธีปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงจากโรคความดันโลหิตสูง หลักสำคัญคือ ลดการบริโภคอาหารรสเค็ม ซึ่งจะช่วยป้องกันมะเร็งในกระเพาะอาหารด้วย
1. งดอาหารดองเค็ม เช่น ปลาเค็ม ไข่เค็ม ผักผลไม้ดองเค็มทุกชนิด
2. ลดการบริโภคอาหารที่มีเกลือมาก เช่น กะปิ เต้าเจี้ยว ไตปลา ปลาร้า เต้าหู้ยี้
3. งดสิ่งปรุงแต่งจำพวกซุปก้อน ซุปผง รวมทั้งผงชูรสต่างๆ หรือผงปรุงรสที่ใส่มาในซองบะหมี่สำเร็จรูป เมื่อปรุงรสอาหารด้วยเกลือ น้ำปลา ซอสที่มีรสเค็ม ควรใช้ในปริมาณน้อยๆ
วิธีปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงโรคกระดูกโปร่งบาง โรคกระดูกโปร่งบาง มักเกิดในหญิงวัยหมดประจำเดือน กระดูกสันหลังโค้งงอ และหักง่ายเมื่อล้มหรือถูกกระแทกอย่างแรง มีวิธีป้องกันดังนี้
1. ควรเริ่มดื่มนมและออกกำลังกายตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น ตลอดไปจนถึงวัยสูงอายุ
2. รับประทานอาหารครบถ้วนตามหลักโภชนาการ
3. ออกกำลังกายกลางแจ้งด้วยวิธีที่กระดูกรับน้ำหนัก เช่น การเดินเป็นประจำสม่ำเสมอ
จะเห็นได้ว่า การปฏิบัติตนในด้านการบริโภคเพื่อป้องกันโรคแห่งความเสื่อมในวัยสูงอายุ ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูง กระดูกโปร่งบางและมะเร็ง ก็คือการรู้จักเลือกอาหารหลัก 5 หมู่ให้ดีที่สุด ประกอบกับจิตสำนึกในการที่จะบริโภคเพื่อป้องกันโรคที่กล่าวมา คุณควรลงมือปฏิบัติตั้งแต่วันนี้และตลอดไปจนเข้าสู่วัยทอง อย่ารอให้ถึงวัยที่โรคแห่งความเสื่อมมาเยือน เพราะอาจจะสายเกินไป เราสามารถชะลอและป้องกันมิให้เกิดโรคได้

19.10.08

ผักรักษาโรค

ผักรักษาโรค

ปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตอย่างหนึ่ง คือ อาหารในแต่ละวันร่างกายต้องการอาหารครบ 5 หมู่ อาหารแต่ละชนิดให้คุณค่าแตกต่างกันไป อาหารพวก "ผัก" ไม่เพียงแต่รับประทานแล้วอร่อยและอิ่มท้องเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าทางยาแอบแฝงอยู่อีกด้วย
ในผักมีอะไร
ผักเป็นอาหารที่มีคุณค่ามากชนิดหนึ่ง เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ เช่น เกลือแร่ วิตามิน อยู่เป็นจำนวนมาก สารบางอย่างจะมีเฉพาะในผักเท่านั้น สิ่งสำคัญที่พบมากในผักทุกชนิดคือ "ใยพืช" (Fiber) ซึ่งเป็นส่วนที่ย่อยไม่ได้และไม่ให้พลังงาน นอกจากมีมากในผักแล้วยังพบได้ในถั่วต่าง ๆ เช่น ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา ข้าวซ้อมมือ ข้าวแดง เป็นต้น
ใยพืชมีประโยชน์อย่างไร
1. ให้พลังงานน้อย
2. ลดอัตราการดูดซึมของน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลภายหลังอาหารลดลง
3. ช่วยลดการดูดซึมไขมัน
4. กระตุ้นลำไส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก ป้องกันโรคริดสีดวงทวาร โรคมะเร็งลำไส้ เป็นต้น
มากินผักกันเถอะ
การรับประทานผักจำนวนมาก ๆ หลายชนิดเป็นประจำ นอกจากทำให้ร่างกายแข็งแรงและเจริญเติบโตแล้ว ยังสามารถป้องกันโรคบางชนิดได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
เห็ดหอม
เป็นเห็ดมีขายกันในรูปเห็ดตากแห้ง เห็ดหอมมีรสหวาน มีกลิ่นหอม สารเคมีที่พบมีเส้นใย ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็กและวิตามินบี มีการทดลองพบว่าเห็ดหอมมีฤทธิ์ลดโคเลสเตอรอลในเลือด ถ้ารับประทานเห็ดหอมเป็นยาบำรุงกำลังช่วยย่อย ลดอาการเบื่ออาหาร
งา
มีกลิ่นหอม มีน้ำมันมาก มีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรด วิตามินบี 1, บี 2, วิตามินอี และเกลือแร่หลายชนิด สรรพคุณบำรุงกำลัง แก้ท้องผูก ผมหงอกก่อนวัย ลดโคเลสเตอรอลในเลือด และเสริมภูมิต้านทานโรค ถ้ารับประทานเป็นประจำ ข้อระวังผู้มีท้องร่วงเรื้อรัง ไม่ควรรับประทาน
ถั่ว
ได้แก่ ถั่วลันเตา ถั่วแขก มีสารอาหารที่สำคัญคือ โปรตีน ไขมัน และเกลือแร่หลายชนิด มีคุณค่าอาหารครบถ้วน มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ลดอาการบวมน้ำได้
ขี้เหล็ก
ใช้ใบรับประทาน ใบขี้เหล็กมีวิตามินเอ วิตามินซี เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 และไนอาซิน
สรรพคุณทางยาของใบขี้เหล็กมีสารชนิดหนึ่งออกฤทธิ์ต่อประสาททำให้นอนหลับดี แก้ท้องผูกได้ดี และบำรุงร่างกาย
ตำลึง
เป็นไม้เถา ใช้ใบรับประทาน เป็นพืชมีคุณค่าสูงทั้งวิตามินเอ แคลเซียมช่วยบำรุงกระดูก ยังมีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรด ฟอสฟอรัส เหล็ก เหมาะเป็นอาหารบำรุง นอกจากนี้ตำลึงยังมีคุณสมบัติแก้แพ้ได้ดี โดยนำใบมาพอกบริเวณโดนสัตว์กัดต่อย
มะระ
เป็นผักจำพวกแตง มีรสขม เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ แก้กระหาย มีการทดลองกินมะระลดน้ำตาลในเลือดได้ (ส่วนเม็ดมะระจีนแก่จัดตากแห้งแกะเปลือกนอกออก นำมาบดให้ละเอียด ละลายน้ำร้อนกินวันละครั้งก่อนนอน จะแก้อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และกระตุ้นความรู้สึกทางเพศได้)
ผักกาด
ผักกาดมี 3 ชนิด ผักกาดขาว ผักกาดเขียว และผักกาดหอม ต่างมีสารอาหารเกลือแร่วิตามินครบบริบูรณ์ และมีเส้นใยอยู่จำนวนมาก การรับประทานเป็นประจำจะป้องกันอาการท้องผูก ลดการเป็นมะเร็งลำไส้ ส่วนผักกาดหอมสามารถป้องกันโรคความดันโลหิตสูง เพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด และวิตามินซีที่มีอยู่ในผักจะสร้างเสริมภูมิต้านทานโรค
มะเขือยาว
มะเขือมีอยู่ 3 ชนิด เปลือกสีเขียว สีม่วง และสีขาว พบว่าเปลือกสีม่วงและสีขาวมีคุณภาพดีกว่าสีเขียว ในมะเขือมีวิตามินบี 1 จำนวนมาก ซึ่งช่วยเสริมการทำงานของสมอง ช่วยความจำ ลดอาการอ่อนเปลี้ยของสมอง ในมะเขือยาวนี้มีโปรตีน แคลเซียม และวิตามินมากกว่ามะเขือเทศ การรับประทานเป็นประจำจะช่วยให้เส้นเลือดไม่เปราะ ป้องกันโรคความดันโลหิตสูงและโรคลักปิดลักเปิด
ปวยเล้ง
เป็นผักที่มีสีเขียวเข้มมีเส้นใย เกลือแร่ วิตามินซีจำนวนมาก และยังพบว่ามีกรดออกซาลิกอยู่มากเช่นกัน ซึ่งกรดนี้ถ้ารวมตัวกับแคลเซียมจะทำให้เกิดนิ่วได้ ก่อนบริโภค ควรลวกผักปวยเล้งให้สุกก่อนแล้วเทน้ำทิ้งไป จึงนำผักมาปรุงอาหารได้ ทำเช่นนี้กำจัดกรดออกซาลิกออกไป ปวยเล้งถ้ารับประทานเป็นประจำ จะยับยั้งการดำเนินของโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวานอีกด้วย
แค
รับประทานดอกมีชนิดสีแดงและสีขาว มีสรรพคุณลดไข้ ส่วนใบแครับประทานเป็นยาระบายได้
หัวปลี
เป็นส่วนดอกของต้นกล้วย ใบหัวปลีมีธาตุเหล็ก จึงบำรุงเลือด แก้โลหิตจาง และยังคงลดน้ำตาลในเลือด และแก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ การนำมาปรุงอาหารได้แก่ ยำหัวปลี หรือรับประทานสดก็ได้
เกร็ดเล็กน้อยในการปรุงอาหารผักให้ได้คุณค่า
1. การหั่นผักแล้วล้าง น้ำจะทำให้วิตามินซีในผักสูญเสียไป เพราะวิตามินซีสลายตัวได้ง่ายในน้ำ ดังนั้นจะต้องล้างผักก่อนแล้วจึงหั่น และเมื่อหั่นเสร็จแล้ว ควรปรุงทันที
2. หลังปรุงแล้วควรรับประทานทันที เพราะการทำทิ้งไว้นาน ๆ หลังปรุง จะทำให้สิ่งมีคุณค่าทางอาหารสูญเสียไปได้
3. วิธีการหุงต้มผักทุกชนิดล้วนมีผลต่อการสูญเสียวิตามินซี เนื่องจากวิตามินซีละลายน้ำได้ ดังนั้นการรับประทานผักต้ม จะต้องรับประทานน้ำแกงด้วย การต้มควรจะต้มในน้ำน้อย ๆ และใช้เวลาสั้น ๆ
4. การปรุงอาหารจำพวกผัก ถ้าเติมน้ำส้มสายชูลงไปเล็กน้อย จะช่วยเพิ่มรสชาติอาหาร และรักษาวิตามินซีไว้ด้วย
5. เครื่องครัวที่ใช้ผัดหรือต้มผัก ควรเป็นพวกเหล็ก เพราะจะทำให้วิตามินสูญเสียน้อยกว่าพวกทองแดง

เคล็ดลับชะลอความแก่ แบบสาวญี่ปุ่น

เคล็ดลับชะลอความแก่ แบบสาวญี่ปุ่น

สาวญี่ปุ่นพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะรักษาหุ่นให้ดูดีผอมเพรียว และนั่นเป็นความพยายามที่ไม่สูญเปล่า ว่ากันว่าถ้าคุณทานอาหารญี่ปุ่นทุกวัน ประโยชน์ก็จะตกอยู่กับร่างกายของคุณในไม่ชัา ทั้งนี้เพราะในอาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่ประกอบด้วยผัก และปลา ซึ่งมีไขมันต่ำมาก
องค์การอนามัยโลกระบุว่า สาวชาวญี่ปุ่นได้ชื่อว่า มีอายุยืนมากที่สุด และรักษาสุขภาพดีที่สุดในโลก หลายปีที่ผ่านมาพวกเธอไม่เคยป่วยเป็นโรคร้ายแรงหรือต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น เมื่อเปรียบเทียบกับผู้หญิงในภูมิภาคอื่น พวกเธอมีอัตราการเป็นมะเร็งเต้านมและโรคหัวใจต่ำ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ปัจจัยสำคัญเป็นเพราะอาหารการกินและรูปแบบการใช้ชีวิตของชาวญี่ปุ่น
เริ่มต้นเคล็ดลับแบบโตเกียวได้เสียแต่บัดนี้
1. การนำเสนอเป็นกุญแจสำคัญ เสิร์ฟอาหารแต่พอประมาณบนจานสวยๆ ใบเล็กๆ จะช่วยให้คุณประทับใจกับอาหาร ผู้หญิงญี่ปุ่นยังยึดสุภาษิตที่ว่า "ฮาราฮาชิ บันเม"ซึ่งหมายถึงทานให้อิ่มแค่ 80%
2. เน้นปลา ผัก ข้าว ถั่วเหลือ และผลไม้ คิดถึงผักเป็นอาหารจานหลัก ไม่ใช่แค่เครื่องเคียง
3. ทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง ข้าวกล้อง งดขนมปังขาว มัฟฟิน หรือขนมปังโรลต่างๆ
4. ใช้น้ำมันเรพสีดออยส์(rapeseed oil) ซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัวปรุงอาหาร เป็นน้ำมันปรุงอาหารยอดนิยมอันดับหนึ่งของชาวญี่ปุ่น
5. เปลี่ยนจากชาดั้งเดิมมาเป็นชาเขียว จากการศึกษาพบว่า ชาเขียวมีเคทชินโพลิฟีนอลส์ ซึ่งเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการเผาผลาญแคลอรี่ นอกจากนี้ชาเขียวยังอุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิเดนต์ ซึ่งช่วยชะลอความแก่...ดื่มซะ
6. เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง รูปแบบการใช้ชีวิตของชาวญี่ปุ่นมักไม่หยุดนิ่ง พวกเขาออกกำลังอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน ปั่นจักรยาน
ที่มา : นิตยสาร Health Plus

18.10.08

6 สุดยอดอาหารยืดชีวิตให้ยืนยาว

6 สุดยอดอาหารยืดชีวิตให้ยืนยาว

อาหารที่ดีต่อสุขภาพมีคุณสมบัติในการต่อต้านความร่วงโรยของวัย มันอาจไม่ทำให้คนตายฟื้นคืนได้ แต่จะทำให้ภูมิคุ้มกันของคุณแข็งแกร่งขึ้น ช่วยคุณต่อสู้โรคร้าย และทำให้คุณอายุยืนยาวขึ้นได้
1. คาโมมายล์คุณสมบัติ เป็นพืชในตระกูลเดซี่ และดอกของมันมีคุณสมบัติในการรักษาโรคประโยชน์ คาโมมายล์ทำหน้าที่คลายกล้ามเนื้อ ซึ่งช่วยลดความเครียดและอาการตึงตัว และเมื่อคุณครียดน้อย คุณก็มีโอกาสน้อยลงที่จะเกิดโรคหัวใจที่เนื่องมาจากความเครียด คาโมมายล์ยังช่วยล้างพิษในร่างกายด้วยการช่วยไตในการขับถ่ายของเสียกินอย่างไร การดื่มชาคาโมมายล์เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและได้ผลดี
2. ปลาเนื้อมันคุณสมบัติ ปลาเนื้อมันๆอย่างเช่น ปลาแซลมอนหรือแม็กเคอเรล (ปลาซาบะ) มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณสูงประโยชน์ ปลาชนิดนี้ช่วยลดระดับไขมันในเลือดและป้องกันเส้นเลือดอุดตัน และลมปัจจุบันกินอย่างไร จะกินดิบๆ (ซาซิมิหรือซูชิ) หรือนึ่ง ย่าง ทอด ก็ได้ทั้งนั้น
3. มะนาวคุณสมบัติ มะนาวอุดมด้วยวิตามินซีประโยชน์ มะนาวไม่เพียงแต่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อ แต่กรดในน้ำมะนาว ยังมีคุณสมบัติในการต่อสู้กับแบคทีเรียและช่วยป้องกันอาการเจ็บคอและแผลในปากได้อย่างดีกินอย่างไร การเติมน้ำมะนาวลงในอาหาร ไม่เพียงแต่จะทำให้ได้คุณประโยชน์ แต่ยังชูรสอาหารได้เกือบทุกอย่าง
4. หัวหอมคุณสมบัติ อุดมด้วยวิตามินซีและแอนตี้ออกซิเดนท์อย่างซัลเฟอร์และเควอซีตินประโยชน์ มันอาจทำให้ลมหายใจของคุณมีกลิ่น แต่ก็ช่วยป้องกันโรคที่เกี่ยวกับการหายใจได้หลายอย่าง เนื่องจากหัวหอมช่วยปกป้องร่างกายจากโรคหอบหืด และโรคที่เกิดจากการอักเสบอื่นๆและที่มากไปกว่านั้นก็คือ หัวหอมทำให้ระดับไขมันดีในร่างกายเพิ่มขึ้น และช่วยปกป้องมะเร็งด้วยกินอย่างไร ถึงแม้มันอาจทำให้ลมหายใจของคุณมีกลิน แต่วิธีที่ดีที่สุดในการได้รับคุณค่าจากหัวหอมก็คือ การกินดิบๆ
5. ข้าวโอ๊ตคุณสมบัติ ข้าวโอ๊ตอุดมด้วยแคลเซียม และเส้นใยอาหารแบบละลายในน้ำและไม่ละลายประโยชน์ ถ้าคุณต้องการมีฟันสวยแข็งแรงตลอดกาลข้าวโอ๊ตช่วยได้ นอกจากนี้ข้าวโอ๊ตยังช่วยให้กระดูกแข็งแรงและเส้นใยอาหารในข้าวโอ๊ตยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดความดันโลหิต และต่อสู้มะเร็งลำไส้กินอย่างไร ข้าวโอ๊ตสำเร็จรูปหรือโจ๊กข้าวโอ๊ต เป็นอาหารแสนอร่อยและได้คุณค่า
6. มะเขือเทศคุณสมบัติ มะเขือเทศมีไลโคปีนที่เป็นแอนตี้ออกซิเดนต์อันทรงอำนาจประโยชน์ มะเขือเทศทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแกร่ง ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งต่อมลูกหมาก ปอดและกระเพาะอาหารกินอย่างไร มะเขือเทศจะให้คุณค่าสูงสุดเมื่อปรุงให้สุกด้วยความร้อน เพราะจะมีไลโคปินเพิ่มขึ้นมากกว่ามะเขือเทศสดอย่างเช่น มะเขือเทศกระป๋องมีไลโคปินมากกว่ามะเขือเทศสดถึง 3 เท่า และซอสมะเขือเทศก็ให้ไลโคปินมากกว่าถึง 5 เท่าเลยทีเดียว
ที่มา: ลิซ่า

อาหารต้านมะเร็ง

อาหารต้านมะเร็ง

เราล้วนทราบกันอยู่แล้วว่าอาหารที่เรากินเข้าไปแต่ละวันเปรียบเสมือนเชื้อเพลิงสำคัญที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของคนเรามีพลังในการต่อสู้ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย โดยเฉพาะคนที่กำลังรักษาตัวจากมะเร็ง วิธีการรักษาแผนปัจจุบันอย่างเช่น การผ่าตัด รังสีรักษา หรือเคมีบำบัด มักจะส่งผลข้างเคียงให้ร่างกายอ่อนแอลงกว่าปกติหลายเท่า ส่วนที่ทำหน้าที่ซ่อมแซมร่างกายรวมทั้งภูมิคุ้มกันต่างๆ จึงยิ่งต้องทำงานหนักทวีคูณ การดูแลเรื่องอาหารการกินให้เหมาะสม จึงเป็นวิธีสำคัญที่จะช่วยเพิ่มกำลังให้ร่างกายเยียวยาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เมื่อร่างกายเรากำลังอ่อนแอ มันจึงต้องการพลังงานทดแทนเพื่อนำมาใช้ในการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันและขับเคลื่อนชีวิต ดังนั้นเราจึงควรกินอาหารที่ให้พลังงานอย่างเพียงพอตามที่ธรรมชาติของร่างกายจำเป็นต้องได้รับ
จากคำแนะนำชองคณะแพทย์จาก The Cleveland Clinic Urological Institute ได้ระบุไว้ว่าคนเป็นมะเร็งควรจะได้รับพลังงานประมาณ 33 แคลอรีต่อน้ำหนักตัว 1 กก.ต่อวัน เช่น หากน้ำหนักตัวปกติอยู่ที่ 50 กก. ก็จะต้องการพลังงานประมาณ 1,650 แคลอรีต่อวัน แต่หากน้ำหนักลดลงมากก็ควรกินอาหารที่ให้พลังงานเพิ่มอีกประมาณวันละ 500 แคลอรี
แพทย์มักจะแนะนำให้คนที่กำลังรักษามะเร็งกินอาหารที่มีโปรตีนสูงๆ (ประมาณวันละ 1.1- 1.32 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก.) เพื่อสร้างเสริมและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ในขณะที่บางแนวความคิดในการรักษามะเร็งก็ได้ระบุว่าบรรดาเนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อแดง ไข่ และผลิตภัณฑ์นม ยกเว้นเนย ซึ่งอุดมด้วยโปรตีนและไขมันอาจจะมีส่วนช่วยเร่งความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าวและกินให้ได้โปรตีนและพลังงานสูงเต็มที่จึงแนะนำให้คนที่เป็นมะเร็งหันมาเน้นกินอาหารที่ปรุงจากถั่วหรือเมล็ดพืชต่างๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ ทดแทนเนื้อสัตว์ ซึ่งยังช่วยเพิ่มแคลเซียมให้กับร่างกายด้วย
สารอาหารที่เป็นประโยชน์อีกกลุ่มหนึ่งคือวิตามินอย่างที่ ศ.นพ.ม.ร.ว.ธันยโสภาคย์ เกษมสันต์ เคยเขียนไว้ใน "ยุทธศาสตร์ศึกมะเร็ง” ว่าวิตามินเป็นสารอาหารที่ทำงานร่วมกับเอนไซม์ในการควบคุมกระบวนการเผาผลาญอาหารของร่างกาย ช่วยเปลี่ยนโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตให้เป็นพลังงาน เป็นตัวเร่งให้สมรรถภาพทางกายทำงานเต็มที่ ช่วยการเติบโต สร้างพลังชีวิต และทำให้แก่ช้า เราได้วิตามินจากอาหาร เพราะร่างกายผลิตวิตามินเองไม่ได้ แถมบางชนิดไม่สามารถเก็บไว้ใช้นานๆ โดยเฉพาะวิตามินพวกที่ละลายในน้ำได้ (วิตามินบี-คอมเพล็กซ์ และวิตามินซี) ส่วนวิตามินที่ละลายในน้ำมัน (เอ ดี อี เค) อาจเก็บสะสมไว้ได้บ้าง ถ้าร่างกายขาดวิตามินแม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็มีต่อสุขภาพร่างกายโดยรวม ทำให้เซลล์ค่อยๆ เสื่อมลงซึ่งหากไม่ได้พลังเสริมในที่สุดแล้วเซลล์ก็จะตาย
คนที่เป็นมะเร็งควรได้วิตามินมากๆ จากผักและผลไม้ที่ปลอดสารพิษ หรือล้างสะอาดแล้วก่อนกิน เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่จะเข้าไปรุกรานร่างกายซ้ำซ้อนขณะที่ร่างกายยังอ่อนแออยู่ นอกจากนี้ในผักและผลไม้ยังมีสารอาหารอื่นๆ อีก เช่น ผักใบเขียว เหลือง-แดง จะมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการเกิดอนุมูลอิสระจึงทำให้ชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ รวมทั้งธาตุเหล็ก โดยควรรับประทานผัก หรือผลไม้หลากหลายชนิดผสมผสานกันไป เพื่อให้ได้สารอาหารอื่นๆ ที่มีอยู่ในผักแต่ละชนิดมารวมๆ กัน ไม่ใช่มีบางอย่างมากไปหรือวิตามินเอ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญที่สุด สามารถปราบอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งได้ เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน เมื่อตกถึงลำไส้ก็ดูดซึมไปใช้ได้ทันทีโดยอาศัยน้ำดี วิตามินเอเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเซลล์น้ำเหลืองจากต่อมไทมัส(ทีเซลล์)ที่เป็นตัวพิฆาตมะเร็ง นอกจากนี้วิตามินเอยังช่วยเสริมผิวหนัง และเยื่อบุผิว ของทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร ฯลฯ ให้แข็งแรง ตามสถิติการเกิดมะเร็งพบว่ามะเร็งชอบเป็นกับเซลล์เยื่อบุผิวเหล่านี้ ซึ่งวิตามิน เอ เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้การเจริญของเซลล์เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง ควรรับประทานผักใบเขียว เนื้อปลา เนื้อไก่เพื่อให้ได้รับวิตามินเอสู่ร่างกาย
วิตามินบี-คอมเพล็กซ์ เป็นวิตามินชนิดละลายน้ำได้ที่ทำงานร่วมกันเป็นทีม ประกอบด้วย วิตามินบี-1 (ไทอะมีน) วิตามินบี-2 (ไรโบฟลาวิน) วิตามินบี-3 (ไนอาซิน หรือ กรดนิโคตินิคตินิค) วิตามินบี-6 (ไพริด็อกวิน) และ มีไบโอติน อินอสสิตอล กรดพาราอะโนมิค-เบนโซอิท (พาบา) วิตามินบี-12 (ไซอะโนบาลามีน) กรดแพนโตทีนิก และกรดโฟลิก เมื่อร่างกายได้รับวิตามินกลุ่มนี้จะไปช่วยบำรุงหัวใจ เร่ง และ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และบางตัวสามารถยับยั้งการขยายตัวของมะเร็งได้ มีมากในอาหารจำพวกถั่ว เนื้อปลา เนื้อเป็ดหรือไก่ต่างๆ
วิตามินซี เป็นวิตามินที่สำคัญมาก เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญ คอยทำลายเซลล์มะเร็งที่แบ่งตัวหมาดๆ ได้ดีมาก เป็นตัวปกป้องดีเอนเอไม่ให้ถูกทำลาย และเป็นตัวกระตุ้นสารอินเตอเฟอรอนซึ่งเป็นสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังระงับการเกิด สารไนโตรซามีนที่เป็นตัวก่อมะเร็งในกระเพาะอาหาร ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าวิตามินซีสามารถยับยั้งเอนไซม์ไฮอะลูโรนิเดส มีฤทธิ์ย่อยโปรตีน อันเป็นอาวุธร้ายของมะเร็ง ในการสลายแนวต้านทาน และแพร่กระจายไปรอบตัว มีมากในผลไม้หลายชนิดที่มีรสออกเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว รวมทั้ง ฝรั่ง สาลี่ แอปเปิ้ล
วิตามินอี ละลายในไขมันเหมือนวิตามินเอ เป็นสร้างต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง และเป็นตัวกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อใช้ผสมกับธาตุซีเลเนียม จะมีฤทธิ์เสริมกันในการต้านมะเร็ง นอกจากนั้นวิตามินอียังช่วยระงับการเกิดไนไตรซามีนในกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของมะเร็งได้ เราได้รับวิตามินอีได้จากการกินผักใบเขียว น้ำมันปลา น้ำมันรำข้าว และไข่แร่ธาตุต่างๆ มีส่วนช่วยเสริมฤทธิ์ของวิตามิน ทำให้ร่างกายสามารถย่อยอาหาร ดูดซึมสารอาหาร และรักษาสมดุลของร่างกายให้มีภาวะเป็นด่างมากกว่าเป็นกรด แร่ธาตุที่คนเป็นมะเร็งควรได้รับที่สำคัญ ได้แก่ ทองแดง แมกนีเซียม สังกะสี ซีเลเนียมที่เมื่อใช้ร่วมกับวิตามินจะช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อต้านมะเร็ง และยังช่วยชะลอความชราได้
อย่างไรก็ตาม หากต้องการได้รับวิตามินเสริมนอกเหนือจากอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวัน ควรให้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ประจำตัวจะดีกว่า คุณอาจปรึกษานักโภชนาการเพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดอาหารในแต่ละมื้อให้มีสารอาหารตามที่ร่างกายควรได้รับครบถ้วนและหลากหลาย และช่วยแก้ปัญหาถ้าหากระหว่างการรักษามะเร็งทำให้เกิดปัญหาผิดปกติในการกินอาหาร อย่างเช่น การที่รู้สึกอิ่มเร็วเกินควร กลืนลำบาก หรือการรับรสชาติที่เปลี่ยนไป รวมทั้งอาจแนะนำถึงอาหารเสริมอื่นๆ ที่ช่วยให้คุณได้รับพลังงานที่จำเป็นอย่างเพียงพอตามสมควร
ที่สำคัญนอกจากอาหารที่จะให้สารอาหารจำเป็นต่อการสู้รบกับมะเร็งแล้ว ต้องไม่ลืมที่จะดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือประมาณวันละครึ่งแกลลอน เพื่อช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำได้ ซึ่งนอกจากน้ำเปล่าแล้ว คุณอาจจะเลือกกินน้ำซุป ดื่มน้ำผลไม้ นมถั่วเหลือง ก็ได้ทั้งนั้น แต่ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มผสมคาเฟอีน โดยเฉพาะหากใครที่มีอาการข้างเคียงจากการรักษามะเร็ง อย่างเช่น อาเจียน ท้องเสีย ก็ยิ่งจำเป็นต้องดื่มน้ำเปล่าทดแทนให้มากยิ่งขึ้น

"วิตามินซี" เพื่อสุขภาพ"

"วิตามินซี" เพื่อสุขภาพ"

มาทำความรู้จักกับ “วิตามินซี” กับบทบาทสำคัญ ... คุณสมบัติที่โดดเด่นของวิตามินซี ก็คือ ความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) นั่นเอง โดยประโยชน์หลักๆ เมื่อร่างกายได้รับวิตามินซีเป็นประจำ คือ เพิ่มภูมิต้านทานแก่ร่างกาย ป้องกันการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง บำรุงผิวพรรณหรือชะลอความแก่ ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันหรือเหงือกอักเสบ
ในทางกลับกัน หากร่างกายเราขาด “วิตามินซี” หรือมีปริมาณวิตามินซีน้อยเกินไป อาจส่งผลทำให้เกิดอาหารเหล่านี้ได้
- เป็นหวัดง่าย ภูมิต้านทานโรคและความสามารถในการกำจัดพิษลดลง
- ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น เกิดจุดด่างดำ ฝ้า มีเลือดออกตามไรฟัน
- อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ประสาทสัมผัสด้อยลง
- มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะ ตับ และส่วนอื่นๆ
- ประสิทธิภาพของต่อมหมวกไตลดลง เป็นภูมิแพ้ได้ง่าย
- เป็นโรคโลหิตจาง หรือโรคต่างๆ ง่าย บาดแผลหายยาก หากขาดมากจะเป็นโรค โลหิตเป็นพิษ
- เกิดโรคลักปิดลักเปิด
สำหรับผู้ที่กำลังกลุ้มใจ เพราะไม่รู้ว่าจะหาวิตามินซีมาทานได้จากที่ไหน ... อยากจะบอกว่า ความจริงแล้วแหล่งของวิตามินซี เราสามารถหาได้จาก อาหารที่มีอยู่ในธรรมชาติทั่วไป แต่แหล่งที่มีมาก คือ ผักสดและผลไม้ต่างๆ โดยเทียบง่ายๆ จากประเภทของอาหาร (100 กรัม) และวิตามินซี (มิลลิกรัม)
ดังนี้ มะขามป้อม 276, ฝรั่ง 160, พุทรา 154, มะขามเทศ 133, มะปรางสุก 107, มะละกอสุก 73,แคนตาลูป 33, มะนาว 25 และมะยม 8
อย่างไรก็ตาม พึงตระหนักไว้ว่า “วิตามินซี” เป็นวิตามินที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับวิตามินอื่นๆ และร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นได้เอง ดังนั้น ทุกคนจึงควรบริโภควิตามินซี แต่จะมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องของแต่ละบุคคล

17.10.08

ชาเขียวดื่มเพื่อสุขภาพ

ชาเขียวดื่มเพื่อสุขภาพ

ถ้าจะถามว่า เครื่องดื่มที่คนนิยมดื่มกันมากที่สุดในปัจจุบันคืออะไร คนส่วนใหญ่คงนึกถึงกาแฟ แต่จริง ๆ แล้ว
เครื่องดื่มที่มีผู้ดื่มมากที่สุดในโลกรองจากน้ำเลยทีเดียว ก็คือ ชา
ชาเป็นเครื่องดื่มที่มีกลิ่นหอม คนจึงนิยมดื่มกันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นชาวเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น หรือชาวยุโรป ชาที่นิยมดื่มในปัจจุบันอาจแบ่งได้เป็น 3 ชนิดใหญ่ๆ คือ ชาจีน ชาเขียว และชาฝรั่ง ซึ่งชาแต่ละชนิดจะต่างกัน ตรงกรรมวิธีในการผลิต
แต่ชาที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากก็คือ ชาเขียว (geen tea)
ซึ่งเป็นชาที่ไม่ผ่านการหมัก ทำให้ไม่สูญเสียองค์ประกอบ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพไปในระหว่างการหมักเหมือนชาฝรั่ง ชาเขียวได้จากการทำใบชาให้แห้งที่อุณหภูมิสูงอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ใบชาแห้งยังคงมีสีเขียวและมีคุณภาพเช่นเดียวกับใบชาสด ซึ่งเมื่อชงน้ำร้อนแล้วจะได้น้ำชาสีเขียวหรือเหลืองอมเขียว ไม่มีกลิ่น มีรสฝาดกว่าชาจีน นิยมแต่งกลิ่นด้วยพืชหอม เช่น มะลิ บัวหลวง เป็นต้น ชาเขียวมี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ชาเขียวแบบญี่ปุ่นและชาเขียวแบบจีน ซึ่งแตกต่างกันตรงที่ ชาเขียวแบบจีนจะมีการคั่วด้วยกระทะร้อน แต่ชาเขียวแบบญี่ปุ่นไม่ต้องคั่ว
ใบชาเขียวมีสารอาหารพวกโปรตีน, น้ำตาลเล็กน้อย และมีวิตามินอีสูง แต่อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า วิตามินเอและวิตามินอีที่มีอยู่ในใบชา จะสูญเสียไปเกือบหมดถ้าใช้ระยะเวลาในการชงนานจนเกินไป ส่วนปริมาณของแคลเซียม เหล็ก และวิตามินซี จะสูญเสียไปประมาณครึ่งหนึ่ง
แต่ก็มีรายงานจากประเทศญี่ปุ่นว่า ถ้าเราสามารถรับประทาน ใบชาเขียวแห้ง 6 กรัมต่อวัน จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินอีและวิตามินเอ ถึงร้อยละ 50 และ 20 ของปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันตามลำดับ ในประเทศญี่ปุ่นจึงมีการผลิตชาเขียวในรูปผงสำเร็จบริโภคขึ้น ซึ่งสามารถเติมลงในอาหารหลายชนิด ตั้งแต่อาหารญี่ปุ่นจนถึงสเต๊ก แฮมเบอร์เกอร์ สปาเกตตี้ และสลัด
ใบชาเขียวมีสารสำคัญ 2 ชนิด
ชนิดแรกคือ กาเฟอีน (caffein)
ซึ่งมีอยู่ในชาเขียวประมาณร้อยละ 2.5 โดยน้ำหนัก ซึ่งสารชนิดนี้เองที่ทำให้น้ำชาสามารถกระตุ้น ให้สมองสดชื่นแจ่มใส หายง่วง เนื่องจากกาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท เพิ่มการเผาผลาญ เพิ่มการทำงานของหัวใจและไต แต่อย่างไรก็ตามเด็ก ๆ และผู้ป่วยโรคหัวใจก็ไม่ควรดื่มชา เนื่องจากกาเฟอีนมีคุณสมบัติในการกระตุ้นประสาทและบีบหัวใจ ถ้าต้องการดื่มจริง ๆควรดื่มชาที่สกัดกาเฟอีนออกแล้ว ในการชงชานั้นพบว่า 3 นาทีแรกจะได้กาเฟอีนออกมาในปริมาณสูง โดยทั่วไปในชาเขียว 1 ถ้วย (ประมาณ 6 ออนซ์) จะมีกาเฟอีนอยู่ 10-50 มิลลิกรัม สารที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับกาเฟอีนชนิดอื่น ๆ ยังช่วยในการขับปัสสาวะ โดยไปกระตุ้นไตให้ขับน้ำปัสสาวะมากขึ้น และช่วยขยายหลอดลมอีกด้วย
ชนิดที่สองคือ แทนนิน หรือ ฝาดชา (tea tannin)
ซึ่งมีอยู่หลายชนิด พบในใบชาแห้งประมาณร้อยละ 20-30 โดยน้ำหนัก เป็นสารที่มีรสฝาดที่ใช้บรรเทาอาการท้องเสียได้ ดังนั้นหากต้องการดื่มชาเขียวให้ได้รสชาติที่ดีจึงไม่ควรทิ้งใบชาค้างไว้ ในกานานเกินไป เพราะแทนนินจะละลายออกมามาก ทำให้ชาเขียวมีรสขม แต่ถ้าหากดื่มชาเขียวเพื่อจุดประสงค์ ในการบรรเทาอาการท้องเสียก็ควรต้มใบชานาน ๆ เพื่อให้มีปริมาณแทนนินออกมามากแทนนินยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ของกล้ามเนื้อหัวใจและขยายผนังหลอดเลือด จึงทำให้ชาเขียวเหมาะสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงด้วย นอกจากนี้ยังพบว่า สารแคซิทิน (catecihns) ซึ่งเป็นสารแทนนินชนิดหนึ่งในชาเขียว มีฤทธิ์เป็นสารต้านการเกิดมะเร็ง
โดยมีรายงานว่า แคซิทินมีส่วนช่วย ในการป้องกันมะเร็งในกระเพาะอาหาร โดยป้องกันการสร้างสารก่อมะเร็ง โดยทีมนักวิทยาศาสตร์จากศูนย์กลางการวิจัยโรคมะเร็ง ในบริติชโคลัมเบีย รายงานว่า ชาสามารถยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งรุนแรงได้ ซึ่งไนโตรซามีนนั้นเป็นสารที่เกิดจาก สารพวกดินประสิวในอาหารทำปฏิกิริยากับสารจำพวกโปรตีน ที่มีในเนื้อสัตว์และอาหารทะเลกลายเป็นไนโตรซามีนซึ่งก่อมะเร็งได้หลายชนิด ดังนั้นถ้านิยมบริโภคอาหารจำพวกเนื้อสัตว์มากก็ควรดื่มน้ำชาไปพร้อม ๆ กันด้วย ก็จะช่วยลดการสร้างสารก่อมะเร็งลง
มีรายงานการแพทย์ทั่วประเทศญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1982 และ 1987 พบว่าในแถบจังหวัดชิซูโอกะ ซึ่งเป็นท้องถิ่นที่มีการดื่มชาเขียวกันมาก มีอัตราการเกิดมะเร็งในกระเพาอาหารอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย นอกจากนี้นักวิจัยชาวญี่ปุ่นยังได้รายงานไว้ว่า สารแคซิทินในชา ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูได้ โดยทำให้หนูขับถ่ายไขมัน และคอเลสเตอรอลออกทางอุจจาระเพิ่มขึ้นแต่กลไกยังไม่ทราบแน่ชัด จากผลการ
วิจัยนี ้จึงเชื่อว่า สารชนิดนี้น่าจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้
โดยสรุปแล้วฤทธิ์ของชานั้นจะขึ้นกับสารสำคัญทั้งสองชนิดดังที่กล่าวมาแล้ว ข้างต้นสารเหล่านี้จะถูกดูดซึมสู่ทางเดินอาหารได้ถึงร้อยละ 90 แล้วแผ่กระจายไปยังเนื้อเยื่อต่างๆภายใน 5 นาทีและยังคงออกฤทธิ์อยู่ในช่วงเวลา 6-14 ชั่วโมง นอกจากนี้ในใบชายังมีปริมาณแร่ธาตุฟูลออไรด์สูง ซึ่งแร่ธาตุชนิดนี้เป็นส่วนในการเสริมสร้างกระดูกและฟัน ให้แข็งแรง นักวิจัยจากศูนย์ทันตกรรมฟอร์ซีธในบอสตัน ยังได้แนะนำว่า การดื่มชาตอนเช้าช่วยในการป้องกันฟันผุได้ โดยถ้าคุณแช่ถุงชาหรือใบชาไว้นาน 3 นาทีก่อนดื่ม ชาจะสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียซึ่งทำให้ฟันผุได้ถึงร้อยละ 95 จะเห็นได้ว่าการดื่มชาเขียวจึงน่าจะมีส่วนช่วยในการป้องกันฟันผุได้ แต่ทั้งนี้การดื่มชาเขียวก็มีข้อควรระมัดระวัง คือ การดื่มชาเขียว ในปริมาณสูงอาจมีผลในการลดการดูดซึมวิตามิน B1 และธาตุเหล็กได้
จากที่กล่าวมาทั้งหมดแล้วจะเห็นได้ว่า ชาเขียวมีคุณประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ ดังนั้นถ้าคุณคิดจะดื่มเครื่องดื่มสักชนิดหนึ่ง ชาเขียวก็น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่ง ซึ่งคุ้มค่ากับการลงทุนเพื่อสุขภาพที่ดีของคุณตลอดไปแต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การดื่มชาเขียวก็ควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสมจึงจะได้ ้คุณประโยชน์อย่างเต็มที่ สำหรับผู้ที่ไม่ชื่นชอบในการดื่มชาเขียว อาจบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารชนิดอื่น ๆ ที่ใช้ชาเขียวเป็นส่วนผสมในการปรุงแต่งกลิ่น รส ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ไอศกรีม หมากฝรั่ง(ดับ-กลิ่นปาก)และลูกอม เป็นต้น

น้ำผึ้ง

น้ำผึ้ง

น้ำผึ้งจัดเป็นอาหารที่มนุษย์รู้จักมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีสรรพคุณทางยาและคุณค่ามาก แม้แต่ในสมัยพุทธกาลมีการถวายข้าวมธุปายาส ซึ่งมีการผสมด้วยน้ำผึ้ง ทำให้พระวรกายของพระพุทธเจ้ากลับมาสมบูรณ์แข็งแรง นอกจากจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว น้ำผึ้งยังมีประโยชน์กับความสวยความงามด้วยค่ะ ก่อนที่เราจะมาติดตามนานาประโยชน์ของน้ำผึ้งเราควรจะมาทำความรู้จักกับน้ำผึ้งก่อนค่ะ
น้ำผึ้งเกิดจากการที่ผึ้งนำน้ำจากเกสรดอกไม้ที่เป็นน้ำหวานจากธรรมชาติมาแล้วใช้กรด Enzyme ในห้องผึ้งเปลี่ยนแปลงมาเป็นน้ำผึ้ง ซึ่งน้ำผึ้งที่ได้มานั้นย่อมขึ้นอยู่กับวัตถุดิบหรือชนิดของเกสรดอกไม้ที่ผึ้งได้ไป รวมถึงแหล่งของพืชและพื้นดินนั้น ๆ ที่ผึ้งเจริญเติบโตอยู่ เพราะฉะนั้นน้ำผึ้งที่ได้จากรังผึ้งในป่าใหญ่ จึงมีความสมบูรณ์และมีแร่ธาตุอาหารที่แตกต่างจากน้ำผึ้งเลี้ยง ส่วนน้ำผึ้งเลี้ยงจะมีการเติมน้ำหวานจากน้ำตาลและเกสรเทียมซึ่งทำให้คุณค่าลดน้อยลงไป

วิธีสังเกตว่าเป็นน้ำผึ้งแท้จากธรรมชาติทำได้โดยการนำน้ำผึ้งใส่ไว้ในขวด ตั้งทิ้งไว้สักพัก จะพบว่ามีเกสรดอกไม้ลอยอยู่ด้านบน ซึ่งเป็นลักษณะตามธรรมชาติของน้ำผึ้งป่านั่นเอง
มาดูถึงคุณประโยชน์ของน้ำผึ้งกันบ้าง จะพบว่าในน้ำผึ้งมีสารเอนติออกซิเดนท์ เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียวและยังมีวิตามินบี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ และกรดอะมิโน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพและช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ แร่ธาตุที่กล่าวมาล้วนมีความจำเป็นต่อร่างกายที่จะเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บำรุงโลหิต บอกเป็นภาษาโภชนาการมาพอสมควร ลองยกตัวอย่างที่เห็นง่าย ๆ ดีกว่า

ช่วยปรับสมดุลร่างกายและควบคุมน้ำหนัก ผู้ที่รักสุขภาพและผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือโรคอ้วน สามารถนำวิธีนี้ไปใช้ดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งได้มีการพิสูจน์และใช้กันมานานในอเมริกาและยุโรป โดยนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Honey) 3 ช้อนชา และน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ลไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Apple Cider Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอน และระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น

อาหารเช้าสำหรับสาวทำงานและผู้รักสุขภาพ เพียงนำผลไม้ต่าง ๆ มาหั่น เช่น มะละกอ กล้วย ส้ม ตามชอบ ราดด้วยโยเกิร์ต ลูกเกด และน้ำผึ้ง ไปผ่านความร้อน คุณก็จะได้อาหารเช้าที่มีประโยชน์ อร่อย อุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุอาหาร เอนไซน์ และโปรตีนที่ย่อยง่าย
ผู้ที่นอนไม่ค่อยหลับ ผสมน้ำผึ้งกับน้ำผุ่นหรือนมร้อนจะช่วยให้คุณหลับสบาย แต่ถ้าได้ร่วมกับการนั่งสมาธิซัก 5 นาทีก่อนนอน เพื่อให้ท่านได้หยุดพักความคิดและปล่อยวางลงบ้าง จะยิ่งทำให้คืนนั้นเป็นคืนที่คุณได้พักผ่อนเต็มที่

สำหรับผิวหน้าสดใส ผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยนหรือต้องการบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ มีวิธีง่าย ๆ ดังนี้ หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและเช็ดให้แห้งแล้ว นำกล้วยหอม 1/2 ลูก นำมาบดผสมกับน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน แล้วนำมาทาบนหน้า ทิ้งไว้ซัก 10-15 นาที แล้วล้างออก น้ำผึ้งไม่ผานความร้อนจะมีเอ็นไซน์ ซึ่งทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นและนุ่มนวลขึ้น

เพื่อผมเงางาม หลังสระผมเสร็จนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อนผสมกับน้ำมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ นำมาชโลมผมแล้วทิ้งไว้ซัก 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามตามธรรมชาติปราศจากสารเคมีใด ๆ

จะเห็นได้ว่า "น้ำผึ้ง" มีคุณประโยชน์มากมายต่อร่างกายอย่างมาก ซึ่งตั้งแต่สมัยโบราณหมอชาวบ้านหรือแพทย์แผนโบราณจะนำน้ำผึ้งเดือน 5 หรือน้ำผึ้งแท้มาเป็นส่วนผสมในการปรุงยา หรือเป็นตัวประสานในยา เช่น นำมาปั่นเป็นลูกกลอน เป็นน้ำกระสายละลายผงยา และน้ำผึ้งจัดเป็นตัวยาสมุนไพรสำคัญอย่างหนึ่งทีเดียวในการเอามาทำยาอายุวัฒนะในทุก ๆ ครั้ง นั่นก็เป็นเพราะคุณค่าอันมีประโยชน์อย่างมากมายที่ทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงอายุยืนยาวมากกว่าปกติ
รู้คุณค่าอย่างนี้แล้ว เราน่าจะหาน้ำผึ้งป่าแท้ ๆ ไว้รับประทานเป็นประจำที่บ้านสักขวด เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของตัวเราเองและคนใกล้ชิด

เมนูอาหาร เพื่อผิวผ่อง

เมนูอาหาร เพื่อผิวผ่อง

อาหารที่ดีกับผิวพรรณ เนื้อปลา เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรม และยังมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้าน อนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความชราและความเสื่อมของร่างกาย

น้ำมันมะกอก น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูงก็จริง แต่มีข้อดีคือ มีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง และเป็นไขมันชั้นดี ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอ และอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ทำให้ผิวดูอ่อนวัยคงความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม
เมล็ดข้าวและธัญพืช ไม่ว่าจะเป็นข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ด ข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ งา
นอกจากจะมีวิตามินบีสูงแล้ว ยังมีวิตามินอี ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ซึ่งจะช่วยสร้างและรักษาความแข็งแรงของเซลล์
มีงานวิจัยระบุว่าวิตามินอี ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และช่วยปกป้องความเสียหายที่เกิดจากมลภาวะให้แก่ผิว ผลไม้และผักสด ผักสด มีวิตามินเอ ช่วยทำให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ และยังมีวิตามินซีซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเส้นใย
คอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ผิวพรรณของใบหน้าดูเต่งตึง มีความยืดหยุ่น ผักสดและผลไม้ จึงควรเป็นอาหารที่คุณควรบรรจุไว้ในเมนู
อาหารทุกมื้อของคุณ ผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก ได้แก่ ส้ม มะนาว มะเขือเทศสับปะรด ฝรั่ง ส่วนผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอมาก ได้แก่ กล้วย มะละกอ ฟักทอง แครอท
น้ำเปล่า น้ำทำหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับทุกระบบภายในร่างกาย และหากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส
การดื่มน้ำวันละ6-8 แก้วโต ๆ เป็นวิธีที่ทำให้ผิวผ่อง แบบไม่ต้องลงทุนมาก เพราะน้ำจะช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และยังป้องกันผิวหย่อนยานจากการลดน้ำหนักอย่างอวบฮาบอีกด้วย
ตัวอย่างเมนูอาหารเพื่อผิวผ่อง
มื้อเช้า : สลัดผลไม้ราดด้วยโยเกิร์ตหรือสลัดผักสดกับน้ำสลัดใส
มื้อเที่ยง : ปลาจาระเม็ดนึ่ง แกงเลียง ข้าวกล้อง
มื้อว่าง : นมถั่วเหลือง หรือน้ำผลไม้คั้นสด ๆ
มื้อเย็น : ลาบเห็ด ซุบเต้าหู้ ข้าวกล้อง

16.10.08

อาหารสุขภาพที่คุณควรระวัง

อาหารสุขภาพที่คุณควรระวัง

ถึงฉลากจะบอกว่าดีสำหรับคุณ แต่ข้อความที่ติดอยู่ข้างบรรจุภัณฑ์ก็ไม่จำเป็นต้องหมายความอย่างนั้นเสมอไป อย่าลืมว่าแผนการตลาด ‘ไขมันต่ำ’ และ ‘คุณค่าทางอาหารสูง’ อาจจะทำให้คุณเขวเหมือนกับหลายคนที่หลงกลกับเรื่องง่ายๆ เพราะฉะนั้น สิ่งที่คุณควรทำทุกครั้งก่อนเลือกซื้ออาหารสุขภาพคือ คำนวณคุณประโยชน์จริงๆ มากกว่าเชื่อในหน้าตาอาหารที่เห็นหรือเฉพาะข้อความโฆษณา และต่อไปนี้คือ 5 รายการอาหารสุขภาพที่คุณควรจะหันมาพิจารณา ทุกครั้งก่อนที่จะเลือกซื้อหรือรับประทาน * โยเกิร์ตผสมเนื้อผลไม้ : ในด้านหนึ่ง ดูยังไงโยเกิร์ตและผลไม้ก็เป็นอาหารที่มuประโยชน์ ในมุมมอง
ของผู้ชายที่เข้าฟิตเนสและรักสุขภาพร่างกาย แต่ในอีกด้านหนึ่ง น้ำเชื่อมที่อยู่ในโยเกิร์ต ผสมเนื้อผลไม้นั้นไม่ใช่ ทั้งโยเกิร์ตและผลไม้ล้วนมีความหวานในตัวอยู่แล้ว น้ำเชื่อมเป็นความหวานเกินพอดีจากน้ำตาลที่เพิ่มเข้าไป คุณจึงควรเลือกที่จะหลีกเลี่ยงความหวานเกินจำเป็นที่ว่า ด้วยการกินโยเกิร์ตควบคุมน้ำตาล หรือมีน้ำตาลต่ำกว่าโยเกิร์ตที่กินเป็นประจำ
* แคลิฟอร์เนีย โรล : ภาพที่เห็นคือสาหร่ายที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสารอาหารห่อข้าว มีไอโอดีน เซเลเนียม แคลเซียม และโอเมก้าที่ช่วยบำรุงสมองเป็นส่วนประกอบ แน่นอน, คุณรู้ว่ามันให้ประโยชน์มากแค่ไหน แล้วภายใต้ชั้นสาหร่ายนั้นล่ะ ลองมาดูกันหน่อยว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้นประกอบด้วยอะไร ถ้าไม่ใช่น้ำตาลที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในการหุงข้าวญี่ปุ่น (หุงด้วยน้ำตาลและน้ำส้มสายชู) และเนื้อปูอัดอีกนิดหน่อย รวมๆ แล้วแคลิฟอร์เนีย โรลคำใหญ่จึงมีแต่แป้ง น้ำตาล และเกือบจะไม่มีโปรตีนเลย ทางออก ก็คือ การกินซูชิ

ที่ทำจากทูน่าหรือแซลมอน ความหลากหลายของโปรตีนในซูชิจะให้ปริมาณโปรตีนแบบเต็มๆ เยอะกว่ามาก และมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตน้อย ถ้ายังไม่พอใจคุณจะสั่งเมนูซาชิมิ เลี่ยงข้าว รับโปรตีนไปเต็มๆ เลยก็ยังไหว รับรองได้ว่าอร่อยและปลอดภัยจากน้ำตาลแน่นอน

* น้ำสลัดไขมันต่ำ : ดูเหมือนว่าน้ำสลัดไขมันต่ำจะช่วยลดไขมันและลดแคลอรี แต่ที่จริงแล้ว คุณรู้ไหมว่าน้ำตาลถูกเพิ่มเข้าไปแทนที่เพื่อให้ได้รสชาติที่ดี และที่แย่กว่านั้นก็คือความจริงที่ว่าไขมันที่ซึมซับวิตามินได้ถูกแยกออกไป เนื่องจากนักวิจัยมหาวิทยาลัยโอไฮโอค้นพบว่า ร่างกายของคนที่กินผักกับน้ำสลัดธรรมดาดูดซึมเบตาแคโรทีนซึ่งมีคุณสมบัติของแอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยป้องกันการก่อมะเร็งได้มากกว่าถึง 15 เท่า และดูดซึมลูเทียน (Lutein) สารสีเหลืองซึ่งมีส่วนช่วยในการสกัดกั้นการอุดตันของเส้นเลือดในปริมาณที่มากกว่า น้ำสลัดไขมันต่ำจึงอาจไม่ใช่ทางออกของอาหารสุขภาพที่คุณกำลังมองหา ในเวลาเดียวกันคุณสามารถกินน้ำสลัดทั่วไปได้แต่ในปริมาณน้อย หรือเลือกกินน้ำสลัดที่ทำจากน้ำมันมะกอกและน้ำมันดอกคาโนลา (Canola Oil ) ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้


ที่มา : นิตยสาร GM

รักษาอาการท้องเสียด้วยฝรั่ง

รักษาอาการท้องเสียด้วยฝรั่ง

ใครที่มีอาการท้องเสียบ่อย ๆ วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีรักษาอาการท้องเสียด้วยฝรั่งมาบอกกัน....
วิธีทำ
- นำใบฝรั่งมาล้างน้ำให้สะอาด ประมาณ 10-15 ใบ แล้วโขลกพอแหลก ใส่น้ำ 1 แก้วใหญ่ นำไปต้มใส่เกลือ พอเดือดยกลงนำมาดื่มแทนชา ได้ผลดี
- นำผลฝรั่งอ่อน ๆ มาฝานเอาแต่เปลือกกับเนื้อเท่านั้น เมล็ดทิ้งไป ใส่เกลือเล็กน้อย แล้วกินรวมกัน หรือจะใช้ต้มดื่มเป็นน้ำฝรั่งก็ได้
- นำใบฝรั่งสดที่ไม่อ่อน และไม่แก่เกินไป มาตัดหัวตัดท้าย แล้วนำไปแช่น้ำทิ้งไว้สักครู่ ตักน้ำที่ได้จากการแช่ใบฝรั่ง มาจิบทีละนิด อย่าจิบมากจะทำให้ท้องผูกได้
ถ้าไม่อยากท้องเสีย ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติกันได้.

ที่มา : Dailynews

ผิวสวย หน้าใส ด้วยมะพร้าว

ผิวสวย หน้าใส ด้วยมะพร้าว

ทราบหรือไม่ว่า มะพร้าวก็สามารถทำให้ผิวสวย หน้าใส ได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...
- อุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด
น้ำมะพร้าวถือเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ (Natural Mineral Drink) เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบี แถมยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานได้ทันทีอีกด้วย
- ชะลออาการอัลไซเมอร์
การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของ ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูง ซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่ม น้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวันยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย
- ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง
น้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอก เพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ และในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี แถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย (คล้ายๆ กับการดีท็อกซ์) จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูง ทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก
- สปอร์ตดริ๊งค์จากธรรมชาติ
เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียเนื่องจากอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้ จึงจัดเป็นสปอร์ตดริ๊งค์ (Sport Drink) สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย นอกจากนี้ ในประเทศไต้หวันและประเทศจีน ยังนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย
รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากมีผิวสวย หน้าใส ก็ดื่มน้ำมะพร้าวกันดูได้.


ที่มา เดลินิวส์

15.10.08

ทำอย่างไรเมื่อแพ้เครื่องสำอางค์

ทำอย่างไรเมื่อแพ้เครื่องสำอางค์

เรื่อง: นพ.ชูชัย ตั้งเลิศสัมพันธ์

ปัญหายอดฮิตอันดับหนึ่งที่คุณผู้หญิงมาพบแพทย์ผิวหนังเห็นจะเป็น "การแพ้เครื่องสำอาง" หลายคนจึงเลือกยอมลงทุนซื้อเครื่องสำอางราคาแพง ถึงแพงมากๆ มาใช้ ด้วยคาดหวังว่าจะหลบเลี่ยงการแพ้ไปได้ เพราะมั่นใจว่าอย่างน้อยคุณภาพน่าจะสมราคา แต่เรื่องอย่างนี้มิอาจคาดเดาได้ครับ เพราะผิวของแต่ละคนแตกต่างกัน ซึ่งอาจแพ้สารประกอบไม่เหมือนกันก็ได้ บางคนใช้เครื่องสำอางราคาแพง เกิดอาการแพ้ พอลองใช้ที่ราคาถูกลงอาจจะดีกว่าก็เป็นได้ครับ

ปัญหาจากเครื่องสำอางจริงๆแล้วส่วนมากเป็นการระคายเคืองมากกว่าการแพ้ แต่การที่แพทย์ผิวหนังจะให้การวินิจฉัยว่าเป็นการระคายเคืองหรือไม่นั้นต้องอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และการทดสอบภูมิแพ้โดยการปิดบนผิวหนัง (patch test) แล้วดูว่าเป็นการแพ้หรือเปล่าเสียก่อน เพราะเหตุว่าการทดสอบการระคายเคืองทางตรงยังไม่มีครับ
คุณผู้หญิงที่มีปัญหาผิวเพราะเครื่องสำอางจนต้องมาพบแพทย์ผิวหนัง จากประสบการณ์ผมที่พบเป็นประจำ มีอยู่สองลักษณะ คือ เข้ามาหาหมอพร้อมกับเครื่องสำอาง 1 ชิ้น / กล่อง หรือเป็นตระกร้า(จริงๆ ครับ) แล้วมาบอกว่ามีผื่นแดงขึ้น คัน ที่หน้า หรือตามร่างกาย ที่สำคัญเธอมักจะบอกว่าไม่ทราบว่าเป็นมาจากชิ้นไหนจนต้องมาพึ่งแพทย์ให้ช่วยพิสูจน์ว่าเป็นตัวใดกันแน่อีกแบบคือมาพร้อมกับผื่นที่หน้าหรือร่างกายเป็นเครื่องยืนยัน ซึ่งผมสงสัยว่าจะเกิดจากเครื่องสำอาง แต่ถ้าตอนแรกลองถามว่าใช้เครื่องสำอางหรือเปล่า ก็มักจะตอบว่าเปล่า แต่ถ้าถามว่าใช้ไนท์ครีม เดย์ครีม ครีมกันแดด แป้งรองพื้น ฯลฯ หรือเปล่า เธอก็จะตอบว่า "ใช้ค่ะ ใช้ค่ะ ใช้ค่ะ" จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถามตอนแรกถึงบอกว่าไม่ใช้ เธอก็ตอบว่า "ไม่คิดว่ามันเป็นเครื่องสำอาง คิดว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นค่ะ" ผมก็เลยถึงบางอ้อเลยครับ

ผมว่าก่อนอื่นเรามาดูความหมายของ “เครื่องสำอาง” กันดีกว่าครับ ตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอางปี 2535 ให้หมายความไว้ว่า

“วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบ หรือกระทำด้วยวิธีอื่นใดต่อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่ายกายเพื่อความสะอาดความสวยงาม หรือส่งเสริมให้เกิดความสวยงาม และรวมตลอดทั้งเครื่องประทินผิวต่างๆ ด้วย แต่ไม่รวมถึงเครื่องประดับ และเครื่องแต่งตัวเป็นอุปกรณ์ภายนอกร่างกาย“

คุณจะเห็นว่าความหมายกว้างมากครับตั้งแต่ เครื่องแต่งหน้า ที่ผู้หญิงใช้ไปจนถึง สบู่ ยาสีฟัน แชมพูต่างๆ ด้วย แทบจะพูดได้ว่าทุกคนไม่ว่า เด็ก ผู้ใหญ่ ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย และคนชราก็ต้องใช้เครื่องสำอางกันทั้งนั้นครับ

แท้ที่จริงแล้วปฏิกริยาต่อผิวหนังจากการใช้เครื่องสำอางพบได้บ่อยพอสมควร แต่ส่วนมากคนที่ใช้แล้วอาจมีปัญหาเพียงเล็กน้อย ก็จะใช้วิธีเปลี่ยนเครื่องสำอาง โดยไม่ได้ไปพบแพทย์ มีการประมาณการณ์กันว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมีอยู่ราว 0.21 % (หรือ 1 ใน 5,000 คน) การเกิดปัญหาอาจเกิดได้เพียงครั้งแรกที่ใช้เครื่องสำอาง หรืออาจใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปีแล้วจึงเกิดปัญหาก็ย่อมได้เช่นกัน

ถ้าผิวมีปัญหาจากเครื่องสำอางควรทำอย่างไร
ถ้าสงสัยว่าเป็นเครื่องสำอางชิ้นใด เช่น เพิ่งซื้อมาใหม่ ก็ให้หยุดใช้ชิ้นนั้นแล้วกลับไปใช้ยี่ห้อเก่าที่เคยใช้แล้วไม่เป็นอะไร เครื่องสำอางยี่ห้อเดียวกันชนิดเดียวกันเมื่อเปลี่ยนขวดใหม่ก็อาจเกิดปัญหาได้ เพราะผู้ผลิตอาจเปลี่ยนสูตร หรือคุณภาพของส่วนผสมไม่เหมือนเดิม
ถ้าไม่ทราบว่าเป็นชิ้นใดก็ให้หยุดทุกชนิด แล้วไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการทดสอบภูมิแพ้โดยการปิดบนผิวหนัง (patch test)และควรนำเครื่องสำอางทุกชนิด พร้อมกล่อง (ถ้ามี) มาด้วย

ถ้าคาดว่าจะแพ้จากเครื่องสำอางที่ใช้ทาผิวหน้า คุณยังอาจใช้ลิปสติก ดินสอเขียนคิ้วได้ถ้าไม่เกิดผื่นบริเวณนั้นๆ หรืออาจเลือกใช้เครื่องสำอางบางชนิด (ที่เคยใช้แล้วไม่มีปัญหา)เช่น แป้งฝุ่น สบู่ หรือครีมบำรุงผิวที่ไม่มีน้ำหอมเป็นส่วนผสมได้

ค้นหาสาเหตุการที่แพทย์จะบอกได้ว่าคุณแพ้สารอะไรนั้นจำเป็นต้องมีการทดสอบภูมิแพ้โดยการปิดบนผิวหนัง (patch test ) โดยมีขั้นตอนอย่างย่อๆ ดังนี้ครับ
แพทย์จะปิดพลาสเตอร์ที่มีสารภูมิแพ้ (allergen) ไว้ที่หลังของผู้ป่วย (สมมติว่าวันจันทร์)
แพทย์จะนัดมาแกะพลาสเตอร์ออกพร้อมอ่านผลครั้งที่ 1 (วันพุธ) และอ่านครั้งที่ 2 (วันศุกร์)
ในระหว่างการทดสอบผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงภาวะที่มีเหงื่อออกมาก เช่น วิ่ง เล่นกีฬา หรือถูกแสงแดดมากๆ
ถ้าคุณกำลังตั้งครรภ์ ก็ไม่ควรทำการทดสอบชนิดนี้
ถ้าคุณได้รับยากลุ่มสเตียรอยด์ (ยารับประทานหรือยาฉีด) จะต้องหยุดยาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์

นอกจากนี้แพทย์ยังอาจให้ทดสอบผลิตภัณฑ์นั้นโดยตรง(ยกเว้นบางอย่างที่จะเกิดการระคายเคืองได้ง่ายเช่นสบู่ )ซึ่งเรียกว่า ROAT (Repeat Open Application Test ) โดยการทาผลิตภัณฑ์นั้นบน ท้องแขน ข้อพับแขน วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ถ้ามีผื่นเกิดขึ้นก็แสดงว่าแพ้จริง (การทดสอบนี้อาจทดสอบกับผลิตภัณฑ์ที่สงสัยเองก็ได้)

สาเหตุสำคัญของการแพ้สาเหตุที่ทำให้เกิดการแพ้มีหลายชนิด แต่ผมขอพูดถึงเพียงแค่ 2 ตัวที่พบบ่อยคือ

น้ำหอม (fragrance) ในปัจจุบันมีมากกว่า 5,000 ชนิด ที่ใช้ในเครื่องสำอางคำว่า "น้ำหอม" นี้ไม่ใช่หมายความถึงแค่ น้ำหอมที่เป็นสเปรย์ฉีดเท่านั้นนะครับ แต่ยังหมายรวมถึงน้ำหอมที่ใส่ลงไปในครีมบำรุงผิว สบู่ แชมพู ต่างๆ ด้วย เพื่อให้ผลิตภัณฑ์นั้นมีกลิ่นหอมน่าใช้ คนที่แพ้น้ำหอมควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็น "fragrance-free" หรือ "without perfume" ไม่ควรใช้ชนิด "unscented" เพราะยังอาจมีน้ำหอมอยู่เล็กน้อยได้ นอกจากนี้น้ำหอมบางชนิดยังอาจทำให้ผิวเกิดการแพ้ได้เวลาโดนแสงแดดเท่านั้น แต่ถ้าไม่โดนแดดก็ไม่เป็นไร

สารกันบูด (preservatives) เป็นสารที่พบบ่อยอีกตัวหนึ่งที่ทำให้เกิดการแพ้ สารดังกล่าวใส่เพื่อไม่ให้เครื่องสำอางเสีย ซึ่งในความเป็นจริงจึงเป็นไปได้ยากที่เครื่องสำอางจะไม่ใช้สารกันบูด เช่น บริษัทบางแห่งโฆษณาว่า เครื่องสำอางของตนเป็นชนิด preservative-free แต่เมื่อดูรายละเอียดพบว่าผสม วิตามินอี ซึ่งเขาบอกว่าเป็นสารที่ช่วยบำรุงผิวแต่โดยความจริงแล้ว วิตามินอีก็ทำหน้าที่เป็นสารกันบูดชนิดหนึ่งด้วย (antioxidant)

ส่วนคำว่า "hypoallergic" หรือ "แพ้น้อย" นั้นปัจจุบันผมถือว่าเป็นภาษาทางการตลาด(marketing)เพราะแทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย ผลิตภัณฑ์บางอย่างที่เขียนว่า hypoallergic ผมหยิบขึ้นมาดมดูกลิ่นน้ำหอมแรงมาก?!? ดังนั้นคุณๆ ผู้บริโภคในโลกปัจจุบันคงต้องมีความรู้เท่าทันพอสมควรโดยเฉพาะคนไทย เพราะเวลาซื้อเครื่องสำอางแล้วไม่พอใจไม่สามารถเปลี่ยนได้บางชนิดบอกว่าเปลี่ยนได้ แต่กว่าจะยอมก็ซักถามอย่างกับเราเป็นจำเลย เสียทั้งเวลา เสียทั้งอารมณ์ ไม่คุ้มเหนื่อยครับ แต่สมัยที่ผมไปเรียนต่อที่ อเมริกาเราสามารถเปลี่ยนได้เลยโดยคนขายจะไม่ซักถามมากมาย ผมมีคนไข้สิงคโปร์เล่าว่าที่สิงคโปร์ก็เหมือนเมืองไทยที่ยังเปลี่ยนไม่ได้ " We're still Asian "

จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันเครื่องสำอางเป็นส่วนประกอบในชีวิตประจำวันของเราทุกคน โดยเฉลี่ยแล้วผู้ใหญ่ 1 คน จะใช้เครื่องสำอางประมาณ 7 ชนิดต่อวัน ลองนับดูซิครับจะพบว่าส่วนมากเกิน 7 ชนิดโดยเฉพาะคุณผู้หญิง ปัญหาจากการใช้เครื่องสำอางอาจมีเพียงเล็กน้อยจนถึงเป็นอันตรายมากได้ ถ้าปัญหาที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย ก็ลองใช้คำแนะนำที่ผมให้ดู แต่ถ้าไม่ดีขึ้นก็ควรไปพบแพทย์ผิวหนังดีกว่าครับ เพราะบางอย่างอาจฝากรอยจารึกไว้บนใบหน้าคุณยากลบเลือน เสียดแทงใจไปนานวันก็ได้…แล้วอย่าลืมหิ้วถุงหรือตระกร้า เครื่องสำอางไปด้วยนะครับ !! ที่มา :นิตยสาร Health Today