17.11.09

เรียวขาเกลี้ยงเกลาไร้ขน

เรียวขาเกลี้ยงเกลาไร้ขน
เพราะ ขาที่มีขนหน้าแข้งตรึม จะทำให้คุณดูแมนเกินหญิง ถ้าขืนปล่อยไว้คงไม่ดีแน่ ก็ต้องหาทางกำจัดออกเสียบ้างแต่จะแบบไหนดีก็ต้องลองเลือกดูนะคะ

แบบแรก ใช้แว๊กซ์อุ่นๆ
วิธีนี้รวดเร็วทันใจดี ด้วยการนำแว๊กซ์สำหรับการขจัดขนโดยเฉพาะ มาอุ่นให้ข้นเหนียว จากนั้นนำมาทาบนผิวส่วนที่ต้องการจะกำจัดแล้วปะทับอีกทีด้วยแผ่นผ้า (อุปกรณ์ทุกอย่างจะเตรียมไว้ให้พร้อมสรรพในแพ็คเกจ) พอรู้สึกว่าแว๊กซ์เย็นตัวลงและเริ่มแห้งก็จัดการดึงแผ่นผ้าที่แปะทับแว๊กซ์ ดังกล่าวออก โดยลอกไปในทิศทางตรงกันข้ามกับทิศทางการงอกของขน เท่านี้ขนทั้งแถบก็จะติดออกมากับแผ่นผ้า การกำจัดขนด้วยวิธีการนี้อาจทำให้เจ็บเล็กน้อย แต่กว่าขนใหม่จะงอกขึ้นมารบกวนสายตาอีกครั้งก็นานหลายสัปดาห์

แบบที่สอง โกนแบบเปียกๆ
อ่อนโยนต่อผิวกว่าวิธีการแว๊กซ์ขน แต่สะดวกรวด เร็วไม่แพ้กัน ก่อนลงมือโกนควรชโลมผิวด้วยครีมหรือโฟมหล่อลื่นให้ทั่ว โดยครีมหรือโฟมดังกล่าวนอกจากจะช่วยให้โกนได้ลื่นขึ้นแล้ว ยังทำให้เส้นขนนุ่มลงด้วย แต่หลังจากนั้นอีกสองสามวันขนที่ขึ้นมาใหม่ก็จะแข็งและอาจทำให้รุ้สึกระคาย เคืองผิวได้ เพราะการโกนไม่ได้เป็นการกำจัดขนแบบถอนรากถอนโคน

แบบที่สาม ใช้เครื่องมือถอนขนไฟฟ้า
ไฮเทคขึ้นมาอีกหน่อยด้วยเครื่องมือถอนขนที่สามารถจะช่วยดึงขนออกจากรากได้ ภายในพริบตา เพียงแค่ไถเครื่องมือนี้ไปบนผิว แต่มีข้อแม้ว่าเส้นขนดังกล่าวจะต้องยาวอย่างน้อยครึ่งเซนติเมตรขึ้นไป ระหว่างถอนอาจทำให้รู้สึกเจ็บบ้างเล็กน้อย แต่กว่าขนใหม่จะขึ้นมาให้ถอนอีกทีก็อีกตั้ง 4 สัปดาห์

เนียนใสไร้จุดด่างดำทั่วเรียวขา
เพื่อ ขจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพที่หยาบกร้านและกระดำกระด่างออกไปให้คงเหลือไว้แต่ ผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัส มีวิธีการเดียวก็คือการขัดผิว ซึ่งอาจจะใช้แปรงขนนุ่มๆ ฟองน้ำนิ่มๆ ถุงมือ ผ้าฝ้าย หรือใยบวบ ร่วมกับสบู่ เจลหรือครีมอาบน้ำที่คุณชื่นชอบ เท่านี้ก็จะสามารถช่วยขัดเซลล์ผิวที่ไม่ต้องการดังกล่าวออกไปได้อย่างอ่อน โยน ซึ่งหากหมั่นทำอยู่เป็นประจำทุกๆครั้งที่อาบน้ำผิวของคุณก็จะเนียนใสขึ้น

ขานุ่มชุ่มชื้นต้องการบำรุง
หาก ไม่ต้องการให้ผิวเรียวขาแห้งกร้าน หรือแตกเป็นขุยเหมือนผิวขาดความนุ่มชุ่มชื้น ต้องหมั่นนวดและลูบไล้ผิวด้วยออยล์ โลชั่น หรือครีมบำรุง ทั้งนี้เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้ผิวเก็บความชุ่มชื้นได้เป็นอย่างดี นอกเหนือจากความชุ่มชื่นที่ผิวของคุณจะได้รับแล้ว การนวดและลูบไล้ยังช่วยกระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียนมาหล่อเลี้ยงผิวมากขึ้น และเปิดรับครีมบำรุงได้ดียิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้คุณจึงได้ผิวที่แข็งแรงกระชับและยืดหยุ่นตัวดีเป็นผลพลอยได้

ใส่ใจดูแลเท้าให้น่าพิศมัย
เริ่มต้นด้วยการแช่เท้า
เพื่อ ความสะอาดสดชื่นของเท้า คุณควรจะแช่เท้าสัก 10 นาทีในน้ำอุ่นที่ผสมด้วยน้ำมันหอมระเหยกลิ่นส้ม มะนาวหรือมะกรูด พร้อมกับหั่นผลไม้ดังกล่าวเป็นแว่นๆใส่ลงไปด้วยสักสองสามแว่น แต่ถ้าชอบลองอะไรสนุกๆก็ต้องเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อการชำระเท้าโดยเฉพาะ ซึ่งมีลักษณะเป็นเม็ดแบบยาเม็ดขนาดโตหน่อยพอใส่ลงไปในน้ำ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวก็จะแตกตัวพร้อมกับทำให้น้ำเกิดฟองอากาศปุดๆขึ้นเต็มไปหมด เวลาที่คุณแช่เท้าอยู่ในนั้น ก็จะรู้สึกเสมือหนึ่งแช่เท้าอยู่ในอ่างน้ำวน (หากสนใจผลิตภัณฑ์นี้อาจต้องลองเสาะแสวงหาตามแผนกเครื่องสำอางนำเข้าจากต่าง ประเทศ)

ลาก่อนส้นเท้าแห้งหยาบ
หลังจากที่คุณนั่งแช่เท้าจนผิวหนังหยาบๆที่ฝ่าเท้าเริ่มนิ่มแล้ว ให้ใช้หินขัดเท้า หรือตะไบขัดเท้าที่สามารถโดนน้ำได้มาขัดถูไปมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงบริเวณ ส้นเท้าที่มักจะมีผิวหนังหยาบๆอยู่ เท่านี้คุณก็จะสามารถผลัดเซลล์ผิวส่วนนั้นให้ออกไปได้อย่างง่ายดาย ส่วนตรงบริเวณนิ้วและเล็บเท้าคงต้องใช้แปรงขัดเท้าขัดสิ่งสกปรกที่ซ่อนอยู่ ตามซอกต่างๆ

ตบท้ายด้วยการลงครีมบำรุง
หลังจากขจัดเซลล์ผิวเก่าออกไปเซลล์ผิวใหม่ก็ขึ้นมาแทนที่ วนเวียนอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นเพื่อถนอมและยืดอายุเซลล์ผิวใหม่ให้นุ่มนวลและอยู่ได้นานขึ้น จึงจำเป็นต้องทาครีมบำรุงอย่างสม่ำเสมอ

เล็บเท้าสวยสะดุดตา
การ ทำเล็บเท้าให้สวยเข้ารูปและมีสีสัน จะช่วยให้เรียวเท้าของคุณดูเตะตามากยิ่งขึ้น แถมยังช่วยให้เท้าดูสวยงามเวลาสวมใส่รองเท้าแบบเปลือยๆที่มีเส้นสายเล็กๆ ด้วยเหตุนี้ผู้หญิงหลายคนจึงชอบไปทำเล็บตามร้านกันมาก แต่ความจริงการทำเล็บเองก็ไม่ใช่เรื่องยาก หากไม่ได้ต้องการเพ้นต์เล็บแบบวิจิตรพิสดารนัก คุณก็สามารถทำเองได้ หลังจากที่คุณทำความสะอาดเล็บเท้า ตัดเล็บ หลังจากที่คุณทำความสะอาดเล็บเท้า ตัดเล็บ แลหนังเล็บ พร้อมกับตะไบเล็บได้รูปดีแล้ว ต่อจากนั้นก็ทาน้ำมันบำรุงผิวเล็บ เพื่อให้เล็บเป็นมันเงางาม แล้วทาตามด้วยสีทาเล็บที่คุณชอบ


ปัญหารักแร้ดำ

ปัญหากวนใจใต้วงแขน
รักแร้ เป็นผิวหนังที่บอบบาง ประกอบด้วยต่อมเหงื่อและรูขุมขนจำนวนมาก ซึ่งต่อมเหงื่อของคนเรามี 2 ประเภท คือต่อม Eccrine ที่มีอยู่ทั่วร่างกายทำหน้าที่ผลิตเหงื่อ ลดอุณหภูมิของร่างกาย และต่อม Apocrine ซึ่งพบในพื้นที่เฉพาะเช่นรักแร้ ราวนม(ในบางคน) บริเวณอวัยวะเพศ และขาหนีบ เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น (อายุ11-12 ปี) ต่อม Apocrine จะสร้างสารเคมีที่มีกลิ่นเฉพาะตัวเรียกว่า "กลิ่นตัวหรือกลิ่นกาย" บอกถึงความเป็นหนุ่มสาว เป็นเสน่ห์ แต่ละคนมีต่อม Apocrine ไม่เท่ากัน หากมีมากเหงื่อบริเวณรักแร้จะมากตามไปด้วย ประกอบกับว่าบริเวณนี้มีเชื้อ แบคทีเรียอาศัยอยู่ กลิ่นกายจึงอาจเปลี่ยนเป็นกลิ่นตัวได้ค่ะ

โดย ทั่วไปแล้วเราสามารถแก้ปัญหากลิ่นตัวได้ง่ายๆ โดยกำจัดเชื้อแบคทีเรียให้มาก ที่สุด เช่น อาบน้ำบ่อยๆ ชำระล้างเหงื่อออก ใช้สบู่ฆ่าเชื้อทำความสะอาด ใช้ยาระงับกลิ่นกาย ขจัดขน รักแร้ออกให้หมดเพื่อลดการสะสมของเหงื่อ และกำจัดที่อยู่ของเชื้อแบคทีเรีย แต่ในคนที่มีปัญหามาก อาจต้องขอคำแนะนำจากแพทย์ผิวหนังเพื่อใช้ยาปฏิชีวนะ แบบครีม ทาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่น นีโอมัยซิน หรือ เจนต้ามัยซินครีม และถึงแม้ว่ายาทั้งสองแบบจะมีขายตามร้านขายทั่วไป แต่ก็ ไม่ควรซื้อมาใช้เองเพราะอาจเกิดอาการแพ้ยาได้ นอกจากนี้ยังมีการฉีดโบท็อก ที่รักแร้ เพื่อลดเหงื่อให้น้อยลงและแห้งสนิทภายใน 7 วัน โดยการฉีด 1 ครั้ง สามารถลดเหงื่อได้ 4-6 เดือน เมื่อยาหมดฤทธิ์เหงื่อจะไหลอีก ซึ่งต้องอาศัยการฉีดซ้ำ ค่ารักษาประมาณครั้งละ 10,000 - 12,000 บาท

โรลออนกับสารก่อมะเร็ง
แม้ จะเคยมีข่าวว่าสารอลูมิเนียมในโรลออนอาจทำให้ผู้หญิงเป็นมะเร็งเต้านม แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าเป็นจริง และโดยปกติสารอลูมิเนียมไม่สามารถซึม เข้าร่างกายได้เหมือนสารปรอทและตะกั่ว จึงไม่น่าทำอันตรายต่อร่างกายได้ ยกเว้นผู้มีอาการแพ้สารอลูมิเนียมในบางคน ที่อาจเกิดรอยดำหรืออักเสบ ควรแก้ไขด้วยการเปลี่ยนโรลออนที่ใช้สารอื่นแทน

สารส้ม (Alum) หรือเกลือเชิงซ้อนที่มีสารอลูมิเนียมและซัลเฟตเป็นส่วนประกอบหลัก เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจค่ะ คนไทยโบราณรู้จักใช้มานานแล้ว สารส้มไม่ มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่เปื้อนเสื้อผ้า และปลอดภัยกับร่างกายเพราะไม่อุดตันรูขุมขน ใช้ได้กับทุกส่วนของร่าง กาย ทั้งใต้วงแขน เท้า ช่วยระงับกลิ่นได้ดี และด้วยคุณสมบัติความเป็นด่างในตัว เมื่อมาเจอกับความเป็นกรดของเหงื่อจึง หักล้างกันทำให้กลิ่นตัวหมดไป และสารส้มยังสามารถใช้ทาส้นเท้าป้องกันและ รักษาส้นเท้าแตก หรือทาแก้คันตามผิวหนังเมื่อยุงกัดหรือคันจากสาเหตุอื่นได้ อีกด้วย

ปัจจุบันมีผู้นำสารส้มมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นทั้งรูป แบบของโรลออน สเปรย์ แป้ง กันหลายยี่ห้อ ได้รับความนิยมมากในต่างประเทศ เพราะปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียงใดๆ

รักแร้ดำ ทำไงดี
ตาม ปกติแล้วผิวใต้วงแขนจะมีสีคล้ำกว่าผิวส่วนอื่นๆ เล็กน้อยเพราะเป็นส่วนที่ผิวย่นมารวมกันเหมือนคอ หรือบริเวณขาหนีบ แต่หากผิวส่วนนี้ดำคล้ำกว่าสีผิวส่วนอื่นอาจเป็นไปได้ว่า เกิดความผิดปกติขึ้น ควรพิจารณาหาสาเหตุและรักษาอย่างเร่งด่วน

ปัญหา รักแร้ดำเกิดได้จากหลายสาเหตุ ที่สำคัญคือ การสัมผัสสารเคมีอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดการระคายเคืองและรอยดำ จากน้ำหอม สารกันเสีย หรือยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่น Triclosan, Triclocarban, Irgosan ในยาระงับกลิ่นกาย การรักษาจึงต้องแก้ไขตามอาการ หากเป็นการแพ้น้ำ หอม ควรเปลี่ยนไปใช้โรลออนชนิดที่ไม่มีสารสร้างกลิ่นหอมที่ระบุว่า "Fragrance-Free" โดยสังเกตส่วนประกอบสำคัญบนฉลาก หากมีชื่อสารที่แพ้ควรหลีกเลี่ยงไปใช้ยาระงับกลิ่นแบบอื่นแทน

ความ อ้วนและการเสียดสีก็เป็นอีกสาเหตุของรักแร้ดำได้ การแก้ไขจึงควรลดน้ำหนัก และใช้ยาลดรอยดำ หรือไวท์เทนนิ่งทาควบคู่กัน แต่ไม่ควรใช้กลุ่มที่มีกรดผล ไม้ ไม่ว่า AHA หรือ BHA เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองยิ่งขึ้น แต่ถ้ารักแร้ดำและนูนเหมือน กำมะหยี่ (มักพบในคนเป็นโรคเบาหวาน) ควรพบแพทย์ทันทีค่ะ

อย่างไรก็ ตามการรักษาปัญหารักแร้ดำควรให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเป็นผู้ วิเคราะห์สาเหตุเพื่อให้ได้ผลตรงกับอาการและรักษาได้ถูกวิธีที่สุด เพราะหาก ซื้อยามาใช้เองอาจทำให้ปัญหาลุกลามมากขึ้น

ทำไมจึงเป็นหนังไก่
ปัญหา หนังไก่บริเวณรักแร้เกิดจาก 2 สาเหตุ คือ การถอนขนรักแร้และขนคุด รักแร้เป็นส่วนที่มีเส้นขนปกคลุมเพื่อลดการเสียดสี ของผิวหนังใต้วงแขน แต่การกำจัดขนด้วยการถอนอย่างรุนแรงหรือการแว็กซ์บ่อย ครั้งจะทำให้รูขุมขนเด่นชัดขึ้น ดูคล้ายหนังไก่ ทั้งยังจำกัดทางขึ้นของขน เส้นใหม่ กลายเป็นขนคุดอยู่ภายใน มองเห็นเป็นหนังไก่ได้เช่นกัน การรักษาหนังไก่จึงควรเปลี่ยนวิธีการกำจัดขน อย่าถอนขนรุนแรง เมื่อผ่านไปสักระยะรูขุมขนจะยุบตัวลงเช่นเดิม ปัญหาหนังไก่ ก็จะหมดไปค่ะ

นานาวิธีกำจัดขน
การกำจัดขนรักแร้เดี๋ยวนี้ทำได้ไม่ยุ่งยากและมีหลายวิธีได้แก่
การโกน เป็น วิธีที่ง่าย เร็ว สะดวก แต่ขนที่ขึ้นใหม่แข็งและหยาบขึ้น เพราะขนที่ขึ้นใหม่ปลายจะตรง ปัญหาของการโกนคือ ขนที่ขึ้นใหม่จะเป็นตอ หากขูดผิวมากๆ อาจเกิดการอักเสบ ติดเชื้อ และต้องทำบ่อย
การถอน เป็นวิธีที่สะดวก ทำให้ขนถูกถอนออกมาทั้งเส้นแต่ปัญหาคือยุ่งยากเสียเวลาและอาจทำให้เกิดปัญหาขนคุดและหนังไก่ได้
การใช้ครีมกำจัดขน อาจ ทำโดยแว็กซ์ขี้ผึ้งร้อน หรือเย็นแปะผ้าลงไปแล้วดึงย้อนขึ้น ไม่ยุ่งเกี่ยวกับรูขุมขน การแว็กซ์มีข้อดีคือทิ้งช่วงได้นานถึง 6 สัปดาห์ เพราะขนขึ้นช้าทำให้ไม่ต้องทำบ่อยๆ และขนใหม่อ่อนนุ่มขึ้น แต่มีข้อเสียคือ หากกระตุกแรงอาจมีรากขนขาดเกิดเป็นขนคุดอยู่ข้างใน หรืออาจเกิดการระคายเคืองในบางคน
การทำลายขนกึ่งถาวร เป็นการถอนขนด้วยเลเซอร์ เช่น ชนิดเอ็น ดี แยค (Nd: YAG Laser) หรือใช้แสงทำลายตำแหน่งสร้างขนโดยตรงที่เรียกว่า "Aestilight" การใช้แสงเลเซอร์กำจัดขนต้องเลือกใช้เครื่องที่มีความยาวคลื่นเหมาะกับการ กำจัดขน เช่น 1064 นาโนเมตร ซึ่งเป็นระดับที่ใช้กำจัดขนได้ดีมีผลข้างเคียงน้อย ทำได้ดีในคนผิวสีเพราะ ไม่ทิ้งรอยดำ แต่หากเป็นคลื่นที่สั้นหรือยาวเกินไปอาจทิ้งรอยดำได้ การกำจัด ขนรักแร้ด้วยเลเซอร์ต้องทำ 4ครั้งขึ้นไป ค่าใช้จ่ายประมาณ 15,000-18,000 บาท โดยผลการรักษาจะอยู่ที่ประมาณ 6 ปี


12.8.09

เคล็ดลับหน้าใสด้วย 4 สูตร

เคล็ดลับหน้าใสที่ผู้หญิงทุกคนอยากจะมี วันนี้มี 4 สูตรหน้าใสมาฝากเป็นเกร็ดความรู้และเคล็ดลับให้ลองทำ
1. สูตรเพิ่มความสดชื่นเปล่งปลั่งให้กับผิวหน้า ให้ท่านล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจนสะอาด จากนั้นนำแอปเปิ้ลที่ยังไม่ปลอกเปลือกครึ่งผลมาปั่นพอละเอียด แล้วนำมาพอกหน้าเว้นเปลือกตา ทิ้งไว้ประมาณ 25 นาที แล้วล้างออก

2. สูตรลดริ้วรอย ทำให้หน้านวลใส ให้นำแอปเปิ้ลครึ่งผลมาปั่นพอละเอียด จากนั้นก็มะนาวมาคั้นเอาแต่น้ำประมาณ 1 ช้อนชาใส่ลงไป แล้วผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำมาพอกให้ทั่วหน้า เว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออก

3. สูตรหน้าเด้ง ไม่หยาบกร้าน นำโยเกิร์ต 3 ช้อนโต๊ะมาผสมกับมะเขือเทศลูกเล็ก ๆ ประมาณ 3 ลูก ปั่นโยเกิร์ตกับมะเขือเทศพอละเอียด แล้วนำมาพอกหน้าให้ทั่ว โดยเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก

4. สูตรขัดหน้าขาว และลดริ้วรอยหมองคล้ำ นำโยเกิร์ต 1 ถ้วย แล้วผสมกับเกลือป่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะผสมให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า แล้วขัด ๆ ถู ๆ ให้ทั่ว ขัด 5 นาที ทิ้งไว้อีก 5 นาที แล้วล้างออก ทำเดือนละครั้งกำลังดี คล้ายๆ กับการสครับหน้านั้นเอง

เพียงแค่ 4 สูตรง่ายคุณก็มีผิวหน้าใส สวยสมใจแล้วค่ะ


ที่มา : ThaiHealth

6.8.09

แต่งหน้าเทรนด์สีทองเจิดจ้าเป็นประกาย

แต่งหน้าเทรนด์สีทองเจิดจ้าเป็นประกาย

กระแสสีทองวาววับกำลังมาแรง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า หรือเครื่องประดับ แล้วสาวๆจะพลาดเทรนด์แต่งหน้าสไตล์นี้ไปได้อย่างไร


Simply Elegance

* ลงอายแชโดว์สีทองให้ทั่วเปลือกตา จากนั้นใช้ดินสอเขียนขอบตาโทนเขียวเขียนให้ชิดขอบตาบนและล่าง ใช้แปรงไล่สีขอบตาให้ฟุ้งจนดูกลมกลืน

* ปัดบลัชออนสีส้มที่บริเวณโหนกแก้มเฉียงไปทางขมับ หรือใช้แป้งบรอนเซอร์สีน้ำตาลส้มปัดแก้มเบาๆจะได้สีดูแทนนิดๆ ดูหรูไปอีกแบบ

* ใช้พู่กันแตะลิปสติกเนื้อแวววาวสีชมพูอมเทาลงตรงกลางปากบนและล่างให้เข้ม แล้วค่อยเกลี่ยออกด้านข้างให้จางลง

TIP: เพื่อความหรูหราควรเลือกลิปสติกเนื้อกลอสโทนสีช็อกโกแลตหรือสีอมเทา และเข้ากันได้ดีกับเปลือกตาสีทอง

Strategic Liners

* สาวหมวยตาเล็กหรือชั้นตาไม่ชัด แนะนำให้ใช้พู่กันเล็กๆเขียนอายไลเนอร์เส้นใหญ่ที่ขอบตาบนและล่าง เพื่อให้ดวงตาดูกลมโตมีมิติ

* เพิ่มสีสันให้เปลือกตาด้วยอายแชโดว์สีทองอมเหลืองเกลี่ยให้เป็นละอองจางๆเหนือเส้นอายไลเนอร์ และเติมสีให้เข้มขึ้นอีกนิดบริเวณหัวตา เพื่อขับให้ดวงตาดูสดใสยิ่งขึ้น

* ทาลิปกลอสสีทองอมส้มให้ทั่วริมฝีปาก จากนั้นปัดแก้มด้วยบลัชออนสีส้มอมชมพู เพื่อให้ไม่ดูดุจนเกินไป


TIP: ใช้พู่กันเขียนอายไลเนอร์เขียนขอบตาบนโดยเว้นช่วงหัวตาเล็กน้อย แล้วค่อยๆลากเส้นเฉียงขึ้นจากนั้นลากปลายเส้นกลับมาให้เป็นรูปตัววี ส่วนขอบตาล่างเขียนให้เป็นเส้นใหญ่กว่าปกตินิดหน่อยก็พอB. ถ้าไม่มั่นใจว่าควรเขียนอายไลเนอร์เส้นใหญ่แค่ไหน ให้ลองลืมตาขึ้นหลังจากเขียนเสร็จ แค่เห็นเส้นเล็กน้อยก็เป็นอันใช้ได้ อย่าลืมตวัดเส้นที่หางตาให้ดวงตาโดดเด่นและเข้ากับเทรนด์ตอนนี้ด้วย

ที่มา : สุดสัปดาห์

3.8.09

ดูแลผิวหน้าสำหรับสาวผิวมัน

ดูแลผิวหน้าสำหรับสาวผิวมัน

ผิวมัน เป็นปัญหาหนึ่งที่สาวไทยประสบได้ค่อนข้างบ่อยค่ะ อาจเนื่องจากปัจจัยจากตัวเราเอง และปัจจัยจากภายนอก เช่น สภาวะอากาศของบ้านเราค่อนข้างร้อนถึงร้อนมาก ๆ สาว ๆ ที่มีผิวหน้ามันทั้งหลายค่อนข้างจะวิตกกังวลอันเนื่องมาจากผิวมัน ทำให้ดูหน้าเลอะเทอะ ไม่น่าจับต้อง แต่งหน้าแต่ละทีแป้งก็ติดไม่ทน ทำให้ไม่สวยเอาได้ง่าย ๆ อีกทั้ง ความเชื่อเดิม ๆ ที่ว่าคนผิวมันมักจะเป็นคนที่เป็นสิวได้ง่าย แต่ความเป็นจริงแล้ว คนผิวมันก็มีข้อได้เปรียบนะคะ เนื่องจากคนผิวมัน จะมีน้ำมาเคลือบบนผิวเซลล์เกือบตลอดเวลา ทำให้ผิวของคนผิวมันมักดูไม่เหี่ยวย่นได้ง่ายเมื่อเทียบกับคนผิวแห้ง นอกจากนี้เรายังพบอีกว่า ไม่ใช่แต่เพียงคนผิวมันที่เป็นสิวนะคะ จริง ๆ แล้วคนที่ผิวแห้งมาก ๆ หรือมีปัจจัยใดๆ ก็ตามมารบกวนผิว มักจะกระตุ้นให้เกิดสิวและมีสิทธิ์ไม่สวยได้เช่นกันค่ะ

การดูแลผิวสำหรับคนที่มีผิวมันนั้น ในปัจจุบันมียาจำพวกวิตามินเอสังเคราะห์ เช่น Isotretinoin หรือการใช้ยาในกลุ่ม aldactone ซึ่งจะมีฤทธิ์ข้างเคียงของยาทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังลดจำนวน และขนาดลง มีผลให้ผิวเราแห้งขึ้น แต่การใช้ยาเหล่านี้มีข้อเสียอื่นๆ ด้วยค่ะ จึงควรอยู่ในความควบคุมของแพทย์เท่านั้นนะคะ คนที่ผิวมันจริง ๆ อย่าเพิ่งน้อยใจนะคะ ปัจจุบันนี้มีสินค้าต่าง ๆ มากมายมาใช้ควบคุมความมันบนใบหน้า แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำให้ คนไข้ที่มีปัญหาผิวมัน ซับหน้าด้วยกระดาษซับมันระหว่างวันและอาจใช้เครื่องสำอางที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน (Oil Free, Oil Control) และไม่ควรกังวลมากเกินไปพยายามเสริมสร้างความมั่นใจให้กับตนเองสาวผิวมันทั้งหลาย ก็จะสวยได้อย่างสาวผิวอื่น ๆ เช่นกันค่ะ

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

31.7.09

5 วิธีเพื่อเท้าสวย

5 วิธีเพื่อเท้าสวย

เท้าก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เรารู้ถึงความเอาใจใส่ดูแลตัวเองมากแค่ไหน ถ้าอยากมีเล็บเท้าสวยๆไว้อวดตอนใส่รองเท้าเปลือยๆ ต้องทำตามวิธีนี้
1. หาน้ำอุ่นมาแช่เท้าสัก 2 นาที ใส่เกลือสำหรับอาบน้ำลงไปด้วย แล้วใช้หินขัดผิวที่หยาบกร้านบริเวณส้นเท้านิ้วเท้า
2. ดูแลตัดเล็บเท้าให้เป็นแนวตรงอยู่เสมอ และใช้ตะไบเล็มเล็บตามส่วนริมด้วย
3. เล็บสวยแล้วหนังแข็งๆบริเวณริมขอบเล็บก็อย่าลืมตัดให้เรียบร้อยด้วยนะคะ
4. นวดเท้าของคุณด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ชนิดเข้มข้น หรือจะเป็นครีมสำหรับทาเท้าโดยเฉพาะก็ได้
5. เพื่อให้เล็บแข็งแรงคงทน สวยนานควรทาเคลือบเล็บด้วยผลิตภัณฑ์เคลือบเล็บเป็นขั้นตอนสุดท้ายรับรองว่าทำตามขั้นตอนทั้ง 5 นี้แล้วคุณจะมีเล็บเท้าสวยน่ามอง.....

ที่มา : Nail Collection by Hair&Beauty Studio

29.7.09

ลดต้นขา...ให้ได้ผลดี

ลดต้นขา...ให้ได้ผลดี

ปัญหาไขมันส่วนเกิน ที่แสนหนักอกหนักใจของสาวๆ ก็คือ การลดต้นขา ค่ะ เจ้าส่วนนี้เป็นส่วนที่ลดยากเสียเหลือเกิน ลองสังเกตสาวๆ บางคนที่ผ่านกรรมวิธีไดเอ็ตโดยการอดอาหารดูสิคะ พวกหล่อนจะลดจนเอวบางร่างน้อย ...แต่ เอ๊ะ เอ๊ะ... ดูช่วงล่างจากต้นขาลงไปยังหลงเหลือความเป็น ขาใหญ่ให้เห็นอยู่ดี เพราะยังขาดการบริหารให้กระชับการออกกำลัง และบริหารร่างกายเพื่อกระชับสัดส่วน ต้องทำให้ถูกวิธีนะคะมิฉะนั้น ผลที่ออกมา อาจจะไม่เป็น อย่างที่คุณตั้งใจนักแทนที่ขาจะเรียวงามกลับกลายเป็นกล้ามขานักกีฬา

ดิฉันขอแนะนำวิธีกระชับขาให้เรียวงาม ซึ่งมีหลายวิธีให้คุณเลือกใช้ (แล้วแต่ความสะดวกค่ะ)
1. วิธีออกกำลังกาย ..ที่ดีที่สุดคือ การว่ายน้ำ และในการว่ายน้ำนั้น คุณก็สามารถบริหารขาในน้ำไปด้วย คือ- ขณะที่คุณอยู่ในสระน้ำ ให้ใช้แขนทั้ง 2 ข้างจับขอบสระ คว่ำหน้า ยืดขาให้ลอยตัว เหยียดให้ตรงพร้อมกับตีขา ทำไปเรื่อยจนรู้สึกเหนื่อย ให้หยุดสักครู่ แล้วทำต่อ ประมาณ 10-15 ครั้ง- ยืนในน้ำ หันข้างให้ขอบสระ ใช้มือหนึ่งจับขอบสระ อีกข้างหนึ่งท้าวสะเอว เหยียดขาตรง เหวี่ยงขาข้างเดียวกับมือที่ท้าวสะเอว ไปข้างหน้า แล้วเหวี่ยงกลับไปข้างหลัง ทำ 20 ครั้ง แล้วเปลี่ยนมาทำอีกข้างหนึ่งอีก 20 ครั้ง ทำแบบนี้ซ้ำประมาณ 10-15 ครั้ง

2. วิธีบริหารขาก่อนเข้านอน ทำง่ายๆ คือ หากางเกงสำหรับกระชับสัดส่วนมาใส่ก่อนนอนสัก 2 ชั่วโมง คุณสมบัติของกางเกงนี้คือ จะอบร่างกายจนเกิดเหงื่อ และระหว่างนี้คุณก็บริหารขาไปด้วย จะได้ผลเร็วขึ้น ลองทำตามขั้นตอนนี้นะคะ
1. นอนหงายกับพื้น หาหมอนรองก้นไว้กันเจ็บ
2. ยกขาทั้งสองขึ้น เหยียดให้ตรง ค้างไว้ 2 นาที
3. ยังตกขาอยู่ แยกขาออกจากกัน แล้วหุบขาชิด ทำไปมา 20 ครั้ง
4. ปั่นจักรยานกลางอากาศสัก 100 ครั้ง
5. เปลี่ยนท่า นั่งกับพื้น เหยียดขา จากนั้นตีขาไปมากับพื้น 100 ครั้ง(เสียงอาจจะดังนะคะวิธีนี้)
ทำได้ทุกวันจะดีมากค่ะ

3. วิธีเผาผลาญไขมันส่วนเกินขณะนอนหลับ คือ การทำให้ร่างกายเกิดเหงื่อในขณะที่กำลังนอนหลับอยู่ วิธีง่ายๆ ได้แก่ การใส่กางเกงกระชับสัดส่วนขณะนอนด้วยและจะให้ได้ผลเร็ว คือคุณต้องไม่เปิดเครื่องปรับอากาศ เรียกว่า "นอนทนร้อนเพื่อความสวย" ไงคะแต่ต้องขอเตือนว่า วิธีนี้เหมาะกับสาวที่มีความพยายามสูงและอดทนได้เท่านั้นแต่ดิฉันไม่แนะนำให้ทำค่ะเพราะเวลานอนนั้น ร่างกายควรได้พักผ่อนให้สบายที่สุด ถ้านอนร้อนๆ อาจทำให้นอนไม่หลับ หรือหลับไม่เต็มตื่นเช้าวันต่อไปของคุณก็จะไม่สดใสเท่าที่ควร

ที่มา : thaihealth

27.7.09

4 เคล็ดลับ สวยแบบประหยัดใครที่อยากสวย

4 เคล็ดลับ สวยแบบประหยัดใครที่อยากสวย แต่ไม่อยากเสียเงินแพง ๆ วันนี้เรามีเคล็ดลับในการสวยแบบประหยัดมาฝาก

ผลไม้มาร์คหน้า


การนำผลไม้ที่รับประทานเป็นประจำมามาร์คหน้า คือการประหยัดและยังช่วยในการดูแลผิวแบบธรรมชาติ ผลไม้หลาย ๆ ประเภท จะมีสารสกัดที่ดีต่อผิว เช่น ผลไม้ไม้เปรี้ยว ๆ อย่าง สับปะรด, มะม่วงสุก, มะเฟือง, ส้ม ฯลฯ ที่มีกรดผลไม้ที่ดีต่อการทำให้ผิวขาวใส เรียบเนียน ขอแนะนำว่าควรผสมอย่างอื่นเพื่อลดความเป็นกรดลงด้วย เช่น โยเกิร์ตหรือน้ำผึ้ง

สครับริมฝีปาก

ริมฝีปากที่นุ่ม ชุ่มชื่นทำให้ดูดีขึ้น วิธีประหยัด คือ การนำกระวานป่น 1 ช้อนชา มาขัดริมฝีปากหลังล้างหน้า ถึงแม้จะมีรสเผ็ด แต่ได้ผลดีต่อริมฝีปาก จากนั้นล้างออกแล้วบำรุงด้วยลิปบาล์มอีกครั้ง

อบไอน้ำสมุนไพร

อบไอน้ำแบบประหยัด คือ นำใบมะกรูด ข่า ขิง มะนาว มาต้มในหม้อให้พออุ่น จากนั้นวางพักในจุดที่พอก้มหน้าให้ไอร้อนสัมผัสผิวได้อ่อน ๆ หรืออาจนำผ้ามาคลุมศีรษะและหม้อน้ำให้ไอน้ำไม่ระเหยเร็วก็ได้ ความร้อนและสมุนไพร จะช่วยเปิดรูขุมขนและดีท็อกซ์ให้ผิวหน้าให้สะอาดสดใส จากนั้นล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเพื่อกระชับผิวอีกรอบ

ผลไม้เพื่อผมสวย

ลองนำ กล้วยน้ำว้า แตงโม น้ำส้ม และน้ำมะกรูด มาบดผสมรวมกัน แล้วนำมาหมักเส้นผมทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก จะทำให้เส้นผมมีได้กลิ่นหอม ๆ จากผลไม้แล้ว ยังทำให้เส้นผมได้รับคุณค่าบำรุงใหม่ ๆ อีกด้วย

ถ้าอยากสวยแบบประหยัด ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้

ที่มา : เดลินิวส์

25.7.09

เรียวขา ดูแลให้งาม และน่ามอง

เรียวขา ดูแลให้งาม และน่ามอง

• อยากลบรอยดำขาหนีบ คุณผู้หญิงที่แอบกังวลใจเพราะมีรอยดำที่ขาหนีบ ซึ่งยังคงสงสัยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ต้นเหตุมีหลายอย่าง เช่น จากการเสียดสี ไม่ว่าจะเป็นการเสียดสีของกางเกง สวมใส่กางเกงชั้นในคับเกินไป หรือการเสียดสีจากต้นขา ฯลฯ วิธีป้องกันไม่ให้รอยดำเพิ่มมากขึ้นคือ การหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ว่ามาทั้งหมด ส่วนการแก้ปัญหารอยดำ อาจช่วยได้ด้วยการขัดผิว ใช้สครับขัดผิว อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และบำรุงผิวด้วยโลชั่นที่มีส่วนผสมของสาร AHA และ ไวท์เทนนิ่ง เพื่อทำให้รอยดำค่อยๆ จางลง ขยันขึ้นสักนิดอาจจะมีต้นขาที่ขาวสวยขึ้นกว่าเดิมก็ได้+ นอนท่าไหนดีที่สุด

จริงอยู่ค่ะ ที่การพักผ่อนดีที่สุดก็คือ การนอนหลับ มนุษย์ใช้เวลาไปกับการนอนหลับถึง 1 ใน 3 ของอายุขัย ฉะนั้นท่านอนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะส่งผลให้นอนหลับสนิทตลอดคืนและตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นสดใส

• ท่านอนมาตรฐาน คือ การนอนหงาย แต่อย่างไรถึงจะเหมาะสมก็คือ ควรใช้หมอนต่ำและต้นคอควรอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว เพื่อไม่ให้ปวดคอ อย่างไรก็ตาม ท่านอนหงายอาจไม่เหมาะกับคนที่มีอาการโรคปอดและโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกะบังลมจะกดทับปอดทำให้หายใจไม่สะดวก

• ท่านอนที่ดีที่สุด คือ ท่านอนตะแคงขวา เพราะจะช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก และอาหารจากกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี

• ท่านอนตะแคงซ้าย จะช่วยลดอาการปวดหลังได้ แต่ควรกอดหมอนข้าง และพาดขาเอาไว้ เพื่อป้องกันอาการชาที่ขาซ้ายจากการนอนทับเป็นเวลานาน+ ลดต้นขา ด้วยสองท่าทีเด็ด

ใครขาอวบหรือกำลังเป็นกังวลกับต้นขาของตัวเอง รีบอ่านแล้วนำไปใช้ด่วน! เรามี 2 ท่าทีเด็ดมาฝาก ให้คุณสาวๆ ได้หมั่นขยันทำกายบริหารกันดู ก่อนนอนหรือตอนตื่นเช้าก็ได้ การขยับแข้งขยับขาด้วยลีลาเซ็กซี่อวดสายตาหวานใจ เขาจะดูเหมือนเราเป็นสาวใส่ใจสุขภาพ และผลที่ได้รับยังอาจช่วยลดความอวบของต้นขาอีกด้วยค่ะ

• ท่าแรก ยกเวทด้วยขา อุปกรณ์มีแค่เวท 1 กิโลกรัม โดยนอนราบกับพื้น ผูกเวทติดไว้กับขาแล้วยกให้สูงจากพื้น 45 องศา ค้างไว้ โดยนับ 1-5 ในใจช้าๆ ค่อยๆ ทำ พอร่างกายเริ่มชินกับน้ำหนักของเวทแล้ว ก็เริ่มยกขึ้น-ลงให้เร็วขึ้นโดยทำทีละข้างๆ ข้างละเท่าๆ กัน ถ้ามีเวท 2 อันก็อาจยกขึ้นลงสลับกันก็ได้ เมื่อชำนาญแล้วอาจยกให้สูงขึ้นกว่าเดิมอีก เน้นให้ต้นขาได้ขยับเขยื้อน ทำเช่นนี้ 3 เซต เซตละ 10 ครั้ง พยายามให้ได้อาทิตย์ละ 2-3 ครั้งก็จะดี

• ท่าสอง ลดต้นขาด้านใน โดยการนอนราบลงบนพื้น ไขว้ข้อเท้าไว้ด้วยกัน งอเข่าเข้ามาให้ชิดตัวแล้วค่อยๆ ยืดออก จากนั้นให้คลายเท้าทั้งสองออกจากกันกลับมาสู่ท่าเดิมแล้วเริ่มทำใหม่ ทำสักประมาณ 24 ครั้งต่อวัน ต้นขาด้านในของคุณจะดูเล็กลง

ที่มา : Woman Plus

23.7.09

รักแร้เนียนๆเกลี้ยงเกลาไร้ขน

การกำจัดขนรักแร้ในปัจจุบันมีให้เลือกหลายวิธีตามความชอบ ความสะดวก และงบประมาณ แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียให้ชั่งใจก่อนทำ ดังต่อไปนี้

โกน ข้อดี : ง่าย สะดวก กำจัดขนรวดเร็วข้อเสีย : เนื่องจากรากขนยังอยู่ ขนจึงงอกเร็ว แข็งและเป็นตอ นอกจากนี้การโกนจะเกิดขูดบริเวณผิวหนังทำให้อักเสบและติดเชื้อขึ้น

ถอน ข้อดี : กำจัดขนได้แบบถอนรากออกมาด้วย ทำให้ขนที่งอกใหม่ใช้เวลานานกว่าจะขึ้นอีกครั้งข้อเสีย : ใช้ระยะเวลานานกว่าจะถอนออกหมดและทำให้เกิดตุ่ม ลักษณะเหมือนหนังไก่ เนื่องจากขนคุดได้

แวกซ์ ข้อดี : เหมาะกับคนที่มีขนยาว และหนา วิธีนี้รวดเร็วกว่าการถอน ขนที่ขึ้นใหม่จะนุ่มและงอกช้าประมาณ 6 สัปดาห์ ข้อเสีย : ค่อนข้างเจ็บ ทำให้เกิดตุ่มหรือการแสบแดงได้ และทำให้รูขุมขนใหญ่ขึ้น

เลเซอร์ ข้อดี : เป็นการทำลายรากขน ทำให้ขนไม่งอกขึ้นมาใหม่อีกข้อเสีย : ต้องทำซ้ำประมาณ 4-6 ครั้ง และเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด 15,000 บาทขึ้นไป

จี้ด้วยไฟฟ้าข้อดี : กำจัดขนได้ถาวรประมาณ 15-20เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนขนที่จี้ไฟฟ้าในแต่ละครั้งข้อเสีย : อาจเกิดแผล รอยไหม้ หรือการระคายเคือง ต้องใช้เวลานาน และเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 3,000-5,000 บาทต่อครั้ง

หลังกำจัดขนอาจใช้ผ้าชุบน้ำแข็งโปะเพื่อกระชับรูขุมขน และควรหลีกเลี่ยงการใช้ สารเคมี เช่น โลชั่น น้ำยาดับกลิ่นเหงื่อ ฯลฯ เพราะอาจทำให้เกิดการอุดตัน และอักเสบขึ้น

ที่มาจาก variety.mcot.net

22.7.09

นวดสลายเซลลูไลท์ ละลายไขมันสะสม

นวดสลายเซลลูไลท์ ละลายไขมันสะสมคุณสาวๆ รู้ไหมว่า… ตามปกติเซลล์ไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังจะถูกประคองด้วยเซลล์ร่างแหบางๆ (คล้ายตาข่าย) ที่เรียกว่า “เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน” ทำหน้าที่ยึดระหว่างผิวหนังกับกล้ามเนื้อ กั้นกลุ่มไขมันไว้เป็นช่องๆ แต่เมื่อเกิดเซลลูไลท์ เซลล์ไขมันในช่องพวกนี้จะขยายขึ้น ในขณะที่เนื้อเยื่อเกี่ยวพันไม่ขยายตาม ทำให้เบียดทั้งทางเดินน้ำเหลืองและระบบหมุนเวียนหลอดเลือดเล็กๆ ใต้ผิวหนัง จนการไหลเวียนของระบบเลือดบริเวณนั้นลดประสิทธิภาพลง เกิดการคั่งของน้ำเหลืองเป็นพังผืดดึงผิวด้านบนให้ย่นลงมาเป็นรอยบุ๋มเป็นช่วงๆ จึงเป็นที่มาของการเรียกเซลลูไลท์ว่า “ผิวเปลือกส้ม”

นอกจากเซลลูไลท์จะสร้างปัญหาด้านความงาม รบกวนจิตใจของคุณผู้หญิงแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดโรคจากการที่ร่างกายสะสมไขมันมากเกินไปด้วย เช่น ไขมันอุดตันในเส้นเลือด และหากการไหลเวียนของน้ำเหลืองมีประสิทธิภาพลดลง จะส่งผลกระทบต่อระบบการไหลเวียนของเส้นเลือดดำ ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดและเท้าบวมตามมา ประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ ของผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 20 ปี มักเริ่มมีเซลลูไลท์และเมื่ออายุมากกว่า 50 จะมีผิวเซลลูไลท์ให้เห็นมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับพันธุกรรม เชื้อชาติเผ่าพันธุ์

ทีนี้เรามาดูประเภทของ “เซลลูไลท์” กัน… Hard Cellulite: พบได้บ่อยในผู้หญิงที่อายุน้อย (20-40 ปี) และมีการออกกำลังกายเป็นประจำ ลักษณะที่พบ คือ เมื่อบีบตามร่างกายจะเป็นก้อนแข็งเล็กๆ พบบ่อยบริเวณสะโพก และบั้นท้าย

Flaccid Cellulite: พบได้ในผู้หญิงอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย มีลักษณะเป็นก้อนไขมันนุ่มๆ มีการหย่อนคล้อย กล้ามเนื้ออ่อนเหลว พบบ่อยบริเวณท้องแขน คาง รอบเอว และหน้าท้องEdematous Cellulite: เกิดจากการไหลเวียนโลหิตไม่ดี มีการคั่งของน้ำเหลือง ทำให้ลักษณะเหมือนบวมน้ำ กดแล้วบุ๋ม พบบ่อยที่ต้นขา สะโพก พบว่าผิวหนังดูบอบบางเห็นเส้นเลือดและบวม

Mixed Cellulite: พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งในหนึ่งคนอาจพบเซลลูไลท์ทุกแบบ ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

พัฒนาการของ… เซลลูไลท์ตัวร้าย ระยะที่ 0: เป็นระยะที่เริ่มมีพังผืดเกิดขึ้น แต่ไม่มาก ไม่สามารถสังเกตได้ทั้งจากการยืน หรือการนอนจะไม่เห็นเป็นผิวเปลือกส้มแต่อย่างใด แต่เมื่อทดลองหยิบเนื้อบริเวณนั้นขึ้นมาจะปรากฏเป็นรอยบุ๋มเกิดขึ้น

ะยะที่ 1: ยังไม่สามารถเห็นรอยบุ๋มได้เช่นเดียวกับระยะที่ 0 แต่เมื่อทดลองหยิบเนื้อขึ้นมาพบว่ามีรอยบุ๋มเพิ่มมากขึ้น

ระยะที่ 2: สามารถเห็นรอยของเซลลูไลท์ได้ชัดเจนในขณะยืนโดยไม่จำเป็นต้องจับขึ้นมาดู แต่ในขณะนอนจะยังไม่สามารถเห็นได้

ระยะที่ 3: ไม่ว่าจะยืนหรือนอนจะสามารถเห็นเป็นผิวเปลือกส้มได้ทั้งหมด เป็นระยะที่รักษายากที่สุดเพราะเกิดการสะสมของเซลลูไลท์มาในระยะเวลานานมาก

ทั้งนี้ ระยะการก่อตัวของเซลลูไลท์จะขึ้นอยู่กับกิจกรรมของแต่ละบุคคล ประกอบกับการกินอาหาร เช่น คาร์โบไฮเดรท ไขมัน และน้ำตาลที่มากเกินไป เป็นต้น

เทคนิคใหม่สลายเซลลูไลท์

ปัจจุบันแม้เราจะยังไม่มีวิธีขจัดเซลลูไลท์ที่ได้ผล 100% แต่เทคโนโลยีใหม่ๆ ก็มีส่วนสำคัญในการสลายเซลลูไลท์ที่เห็นผลอย่างชัดเจน ซึ่งวิธีสลายเซลลูไลท์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่…

เมโซเธอราปี (Mesotherapy)
สลายไขมันเฉพาะส่วนด้วยการฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังชั้นเมโซเดิร์ม (Mesoderm) ทำให้กระบวนการเกิดไขมันถูกขัดขวาง ทำให้ไขมันสลายตัวในที่สุด ทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 8 - 10 ครั้ง ค่าใช้จ่ายครั้งละ 2,000 - 3,000 บาทขึ้นไป

คาร์บ็อกซี เธอราปี (Carboxy Therapy, Carbondioxide Therapy)

สลายไขมันเฉพาะส่วน ด้วยการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เข้าสู่ชั้นไขมันใต้ผิวหนังเพื่อสลายเซลลูไลท์ และไขมันทำให้เกิดกระบวนการเผาผลาญไขมันมากขึ้น และสลายเซลลูไลท์สลายตัวไปในที่สุด ขึ้นอยู่กับน้ำหนักและไขมันของผู้ต้องการลดเซลลูไลท์เป็นสำคัญ โดยเฉลี่ย ไม่เกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ค่าใช้จ่ายครั้งละประมาณ 3,000 ขึ้นไป

การนวดด้วยเครื่องอัลตร้าซาวน์ (Ultrasonic Massage)

การนวดผิว ด้วยคลื่นอัลตร้าซาวน์ (Ultrasound) โดยทายาสลายไขมันไว้ตามร่างกายส่วนที่ต้องการลดและใช้เครื่องนวดไปตามบริเวณนั้นๆ เพื่อให้ยาซึมลงไปใต้ผิวหนังได้ลึกขึ้นและช่วยสลายเซลลูไลท์ ขึ้นอยู่กับน้ำหนักและเซลลูไลท์ที่ต้องการลดค่าใช้จ่าย แล้วแต่สถานบริการ มีตั้งแต่ 1,000-3,000 บาทขึ้นไป


การนวดแบบเอนเดอร์โมโลยี (Endermologie)

การนวดกำจัดเซลลูไลท์เฉพาะส่วน ด้วยเครื่องสูญญากาศ โดยส่วนหัวของเครื่องจะมีท่อสุญญากาศอยู่ตรงกลางและด้านข้างเป็นลูกกลิ้งคู่ขนาน เมื่อต้องการใช้งาน ท่อสุญญากาศจะทำหน้าที่ดูดผิวบริเวณที่ต้องการขึ้นมา และลูกกลิ้งด้านข้างจะทำหน้าที่นวดเนื้อบริเวณนั้น ทำติดต่อกัน 14 ครั้ง โดย 7 ครั้งแรก ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง และลดลงเหลือสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือตามแต่ผู้เชี่ยวชาญจะวินิจฉัย ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับสถานบริการ ครั้งละประมาณ 2,000 - 5,000 บาทขึ้นไป

การออกกำลังด้วยเครื่องโฮบอดี้ ไวเบรชั่น (Whole body Vibration Exercise)

เป็นเสมือนการออกกำลังกาย หลักการทำงานคือเมื่อยืนอยู่บนเครื่องไวเบชั่น เครื่องจะเกิดการสั่นสะเทือนทำให้ร่างกายสั่นสะเทือนตามให้ผลเหมือนการนวดตัว และสลายเซลลูไลท์ในเวลาเดียวกัน ทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ใช้เวลาประมาณ 10 - 20 นาทีตามขนาดของร่างกายและปริมาณไขมัน ครั้งละ 500 บาท

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีต่างๆ ที่ช่วยสลายไขมันนี้สามารถคงทนอยู่ประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี การออกกำลังกาย และการควบคุมอาหารจึงเป็นวิธีที่ช่วยให้เซลลูไลท์ก่อตัวช้าขึ้น นอกจากนี้ การตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีเพื่อลดเซลลูไลท์ ควรได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ประจำสถาบันต่างๆ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์หรือวิธีการที่มีความเหมาะสมมากที่สุด เพราะผู้ที่มีน้ำหนักมากหรือมีโรคประจำตัวบางประเภทอาจไม่เหมาะสมกับบางวิธี หรือบางคนอาจต้องใช้หลายๆ วิธีประกอบกัน

และวันนี้ เราก็มีวิธีการนวดสลายเซลลูไลท์ด้วยตนเอง แบบง่ายๆ มาฝากคุณสาวๆ กันด้วยค่ะ

บริเวณหน้าท้อง
• บีบเนื้อครีมบริเวณหน้าท้องประมาณ 8 - 9 เซนติเมตร
• ลูบไล้เนื้อครีมโดยการวางมือทั้งสองบนหน้าท้อง หมุนวนเป็นเกลียวตามเข็มนาฬิกา เริ่มจากสะโพกวนเข้ายังสะดือ
• นวดต่อจากบริเวณสะดือ โดยนวดหมุนวนขึ้นสู่หัวใจบริเวณใต้ทรวงอก เพื่อช่วยขับของเสีย และยกกระชับกล้ามเนื้อให้เต่งตึงขึ้น

บริเวณสะโพก
• บีบเนื้อครีมบริเวณหน้าท้องประมาณ 9 - 10 เซนติเมตร วางมือทั้ง 2 ข้าง ลงบนสะโพกส่วนล่างทั้งซ้ายและขวา นวดกดคลึงหมุนวนตามเข็มนาฬิกา โดยนวดวนขึ้นสู่สะโพกส่วนบนเข้าสู่หัวใจ

บริเวณต้นขา
• บีบเนื้อครีมบริเวณท้องต้นขาประมาณ 5 - 6 เซนติเมตร โดยยกขาให้ตั้งฉากกับลำตัว จากนั้นนวดไล่หมุนวนขึ้น

บริเวณก้น
• บีบเนื้อครีมบริเวณก้นประมาณ 9 - 10 เซนติเมตร จากนั้นนวดวนขึ้นสู่หัวใจ โดยไล่ยกขึ้นมาทางสะโพก

16.7.09

ล้างพิษลำไส้ใหญ่ กากใยอาหารจากธรรมชาติช่วยคุณได้

ล้างพิษลำไส้ใหญ่ กากใยอาหารจากธรรมชาติช่วยคุณได้
ธรรมชาติได้สร้างให้ร่างกายมนุษย์มีระบบล้างพิษตามธรรมชาติที่ดีที่สุด


ปัจจุบันคำว่า ล้างพิษ กลายเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนติดตามและสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากสภาพแวดล้อม ทำให้พฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปจึงพยายามหาแนวทางที่จะคืนความสดชื่นและการมีสุขภาพที่ดีให้แก่ร่างกายให้เร็วที่สุด อันเป็นที่มาของกระแสการล้างพิษ ที่แบ่งออกเป็นวิธีล้างพิษแบบธรรมชาติโดยการกินผักและผลไม้เพื่อให้ได้กากใยมากๆ และวิธีล้างพิษแบบฝืนธรรมชาติอย่างการกินยาระบายหรือสวนล้างลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นวิธีที่ยังไม่มีการยืนยันทางการแพทย์ว่าปลอดภัย และได้ประโยชน์ต่อสุขภาพจริงๆ

จากกระบวนการทำงานของตับ ไตและลำไส้ โดยเฉพาะลำไส้ใหญ่ที่มีหน้าที่กำจัดของเสียจากอาหารที่เรากินเข้าไปด้วยการขับถ่ายอุจจาระทุกวัน และสิ่งสำคัญที่จะเสริมให้การล้างพิษตามธรรมชาติของลำไส้ใหญ่มีประสิทธิภาพคือ เส้นใยอาหาร ที่ร่างกายได้รับจากการกินอาหารประเภทข้าวกล้อง ธัญพืช โฮลวีท ข้าวโอ๊ต ถั่ว ผักและผลไม้ เป็นต้น

แต่ในความเป็นจริง หลายคนอาจกินไม่ได้ตามที่ร่างกายต้องการทุกวัน ทำให้เกิดปัญหาท้องผูก เกิดของเสียหมักหมมในลำไส้ใหญ่ และถ้าเป็นเรื้อรัง ก็เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ทั้งนี้เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว หลายคนพึ่งวิธีการกินยาระบายและการสวนล้างลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาจจะเป็นการทำลายจุลินทรีย์ชนิดดีที่อยู่ในผนังลำไส้ใหญ่ ที่ทำหน้าที่คุ้มครองและช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ชนิดที่ก่อให้เกิดโรค ดังนั้นหากสวนล้างลำไส้ใหญ่บ่อยเกินไปเท่ากับว่า เรากำจัดจุลินทรีย์ชนิดดีนั้นออกไปด้วย ผลก็คือ จะทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น และทำให้สูญเสียสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย สรุปว่าอาจเป็นทางเลือกที่เร็วและเห็นผลทันที แต่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว

ดังนั้นการล้างพิษด้วยการกินเส้นใยอาหารจากผักและผลไม้ หรือสำหรับคนที่มีปัญหาการกินผักและผลไม้ อาจเลือกผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารธรรมชาติที่มีการแปรรูปและสะดวกต่อการกิน ยกตัวอย่างเช่น เส้นใยอาหารที่ได้จากเมล็ดและเปลือกแพลนตาโก้ ในรูปแกรนูลซึ่งสามารถพองตัวในลำไส้ใหญ่ได้ถึง 7 เท่า เพิ่มปริมาณกากอาหารเป็นก้อนในลำไส้ใหญ่ ทำให้ลำไส้ใหญ่เคลื่อนไหว เพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ ลดปริมาณสิ่งหมักหมมในลำไส้ใหญ่ เป็นการล้างพิษลำไส้ใหญ่โดยวิธีธรรมชาติ จะส่งผลดีต่อสุขภาพองค์รวมมากกว่า เพราะได้เส้นใยอาหารที่มีประโยชน์ถึง 2 ชนิด นั่นคือ เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ (water insoluble fiber) และเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำ (water soluble fiber) ซึ่งควรได้รับอัตราส่วนที่เหมาะสมคือ 60:40 เนื่องจาก...

เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ จะพองตัวและอุ้มน้ำไว้ได้มากกว่าปริมาตรของตัวเองหลายเท่า ช่วยเพิ่มปริมาตรกากอาหารในลำไส้ ไม่ให้อุจจาระแห้งและแข็ง ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายและสบายขึ้น ไม่มีสิ่งหมักหมมค้างในลำไส้ใหญ่

เส้นใยอาหารที่ละลายน้ำ จะถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่อย่างช้าๆ ทำให้เกิดกรดไขมันชนิดสายสั้น (Short-chain fatty acid) ได้แก่ อะซิเตท โพรพิโอเนท และบิวทีเรท ซึ่งสารบิวทีเรทจะทำให้ค่า pH ในลำไส้ลดลงต่ำ มีผลในการยับยั้งการเจริญเติบโตของ จุลินทรีย์ชนิดที่ก่อให้เกิดโรคและลดโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่

สรุปแล้ว การล้างพิษที่ดีที่สุด คือ การล้างพิษตามธรรมชาติจากการกินอาหารที่สด ปรุงสะอาดมีกากใยสูงและมีคุณค่าต่อร่างกาย ควบคู่กับการดื่มน้ำ 6-8 แก้วต่อวัน การออกกำลังกาย การนอนหลับพักผ่อนและทำจิตใจแจ่มใส และอาจใช้ผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารธรรมชาติเสริม ในกรณีที่รับประทานอาหารที่มีเส้นใยน้อย

ที่มา: นิตยสาร Health Today

10.7.09

สวยใสจากภายใน ด้วย 4 อาหารผิว

สวยใสจากภายใน ด้วย 4 อาหารผิว
Antiaging Medicine หรือ การรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านริ้วรอย ชะลอวัย กำลังมาแรง


Antiaging Medicine หรือ การรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านริ้วรอย ชะลอวัย กำลังมาแรง ทั้งในประเทศอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ส่วนใหญ่สารอาหาร ดังกล่าวจะคัดสรร สกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติ การเลือกรับประทานผัก ผลไม้ และอาหารเสริม ที่มีส่วนผสมของสารต่อต้านความชราจึงเป็นอีกทางเลือกของความสวยที่เราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ไม่มีคำว่าช้าเกินไป แต่ใครเริ่มเร็วกว่าก็ยิ่งยืดความอ่อนเยาว์ให้ตัวเองได้ยาวนานกว่า และนี่คือสารอาหารที่จะช่วยคงความงามแห่งผิวพรรณจากภายใน สู่ภายนอก ที่เราขอแนะนำ


Niacin / Vitamin B3
ไนอาซินหรือวิตามินบี 3 เป็นวิตามินตัวเดียวที่ร่างกายสังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโน ช่วยบำรุงสมองและประสาท รักษาสุขภาพของผิวหนัง ลิ้น และเนื้อเยื่อของระบบย่อยอาหาร จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศ และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ไนอาซินมีในอาหารทั่วไปที่ได้จากสัตว์และพืช แหล่งที่มีมากคือ เนื้อสัตว์, เนื้อปลา, ถั่ว, ข้าว, เครื่องในสัตว์ แหล่งที่มีปานกลางได้แก่ มันฝรั่ง, ธัญพืช, แหล่งที่มีน้อยคือ น้ำนม, ไข่, ผัก และผลไม้


วิตามินเอ
วิตามินเอ มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ เรตินอยด์ (Retinoids) และแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) วิตามินเอเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหนัง การซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป นอกจากนี้วิตามินเอยังมีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนัง และเป็นสารสำคัญที่ช่วยทำให้ผิวหนังมีการทำงานอย่างปกติ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งและเสริมสุขภาพตา แหล่งอาหารที่พบคือ ไข่, นม, เนย, ปลาแซลมอน, ปลา Halibut, ผักใบเขียว เช่น บร็อกโคลี, ผักโขม, แอสพารากัส, มะละกอ, แคนตาลูป, มะเขือเทศ, ฟักทอง



วิตามินบี-คอมเพล็กซ์
วิตามินในกลุ่มนี้ มีความสำคัญต่อสุขภาพผิวหนังเป็นอย่างมาก ช่วยในกระบวนการผลิตพลังงานภายในเซลล์ เช่น วิตามินบี 2 ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ วิตามินบี 3 ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และทำให้ผิวหนังไม่ซีด วิตามินบี 12 ช่วยในการแบ่งเซลล์ วิตามินบี 9 ช่วยในเรื่องการแบ่งและเจริญเติบโตของเซลล์ นอกจากนี้ กรดโฟลิกยังช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง แหล่งอาหารที่พบมากคือ บร็อกโคลี, มันฝรั่ง, เห็ด, แครอท, มะเขือเทศ, กะหล่ำปลี, ผักโขม, กล้วย, แอปเปิ้ล, มะเขือ, ผลไม้ในกลุ่มส้ม, ไข่, เนื้อไก่, เนื้อปลาแซลมอน และปลาทูน่า


Vitamin C
วิตามินซีเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการสังเคราะห์และช่วยกระตุ้น การสร้างคอลลาเจน ทั้งนี้คอลลาเจนจะไม่สามารถทำงานได้หากขาดวิตามินซี นอกจากนี้วิตามินซียังมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว และชะลอการเกิดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ


การใส่ใจดูแลตัวเองด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่สม่ำเสมอ นับเป็นหนึ่งในเคล็ดลับความงามที่พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ WP ก็เชื่อว่า ถ้าเรามีความตั้งใจจริงก็สามารถสร้างสรรค์ตัวเองให้ดูสวยอ่อนเยาว์ได้โดยไม่ต้องพึ่งเทคนิคศัลยกรรม ยิ่งโดยเฉพาะในยุคนี้ มีอาหารเสริมวิตามินรสชาติอร่อยมากมายมาให้เลือกเป็นทางลัดด้วยแล้ว ยิ่งสบาย งั้นเรามาเริ่มกันและดื่มเพื่อผิวพรรณกันตั้งแต่นี้เลย...ดีไหม

3.7.09

สวยใสจากภายใน ด้วย 4 อาหารผิว

สวยใสจากภายใน ด้วย 4 อาหารผิว
Antiaging Medicine หรือ การรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านริ้วรอย ชะลอวัย กำลังมาแรง

Antiaging Medicine หรือ การรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านริ้วรอย ชะลอวัย กำลังมาแรง ทั้งในประเทศอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ส่วนใหญ่สารอาหาร ดังกล่าวจะคัดสรร สกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติ การเลือกรับประทานผัก ผลไม้ และอาหารเสริม ที่มีส่วนผสมของสารต่อต้านความชราจึงเป็นอีกทางเลือกของความสวยที่เราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ไม่มีคำว่าช้าเกินไป แต่ใครเริ่มเร็วกว่าก็ยิ่งยืดความอ่อนเยาว์ให้ตัวเองได้ยาวนานกว่า และนี่คือสารอาหารที่จะช่วยคงความงามแห่งผิวพรรณจากภายใน สู่ภายนอก ที่เราขอแนะนำ

Niacin / Vitamin B3
ไนอาซินหรือวิตามินบี 3 เป็นวิตามินตัวเดียวที่ร่างกายสังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโน ช่วยบำรุงสมองและประสาท รักษาสุขภาพของผิวหนัง ลิ้น และเนื้อเยื่อของระบบย่อยอาหาร จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศ และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ไนอาซินมีในอาหารทั่วไปที่ได้จากสัตว์และพืช แหล่งที่มีมากคือ เนื้อสัตว์, เนื้อปลา, ถั่ว, ข้าว, เครื่องในสัตว์ แหล่งที่มีปานกลางได้แก่ มันฝรั่ง, ธัญพืช, แหล่งที่มีน้อยคือ น้ำนม, ไข่, ผัก และผลไม้


วิตามินเอ
วิตามินเอ มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ เรตินอยด์ (Retinoids) และแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) วิตามินเอเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหนัง การซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป นอกจากนี้วิตามินเอยังมีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนัง และเป็นสารสำคัญที่ช่วยทำให้ผิวหนังมีการทำงานอย่างปกติ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งและเสริมสุขภาพตา แหล่งอาหารที่พบคือ ไข่, นม, เนย, ปลาแซลมอน, ปลา Halibut, ผักใบเขียว เช่น บร็อกโคลี, ผักโขม, แอสพารากัส, มะละกอ, แคนตาลูป, มะเขือเทศ, ฟักทอง

วิตามินบี-คอมเพล็กซ์
วิตามินในกลุ่มนี้ มีความสำคัญต่อสุขภาพผิวหนังเป็นอย่างมาก ช่วยในกระบวนการผลิตพลังงานภายในเซลล์ เช่น วิตามินบี 2 ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ วิตามินบี 3 ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และทำให้ผิวหนังไม่ซีด วิตามินบี 12 ช่วยในการแบ่งเซลล์ วิตามินบี 9 ช่วยในเรื่องการแบ่งและเจริญเติบโตของเซลล์ นอกจากนี้ กรดโฟลิกยังช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง แหล่งอาหารที่พบมากคือ บร็อกโคลี, มันฝรั่ง, เห็ด, แครอท, มะเขือเทศ, กะหล่ำปลี, ผักโขม, กล้วย, แอปเปิ้ล, มะเขือ, ผลไม้ในกลุ่มส้ม, ไข่, เนื้อไก่, เนื้อปลาแซลมอน และปลาทูน่า

Vitamin C
วิตามินซีเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการสังเคราะห์และช่วยกระตุ้น การสร้างคอลลาเจน ทั้งนี้คอลลาเจนจะไม่สามารถทำงานได้หากขาดวิตามินซี นอกจากนี้วิตามินซียังมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว และชะลอการเกิดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การใส่ใจดูแลตัวเองด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่สม่ำเสมอ นับเป็นหนึ่งในเคล็ดลับความงามที่พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ WP ก็เชื่อว่า ถ้าเรามีความตั้งใจจริงก็สามารถสร้างสรรค์ตัวเองให้ดูสวยอ่อนเยาว์ได้โดยไม่ต้องพึ่งเทคนิคศัลยกรรม ยิ่งโดยเฉพาะในยุคนี้ มีอาหารเสริมวิตามินรสชาติอร่อยมากมายมาให้เลือกเป็นทางลัดด้วยแล้ว ยิ่งสบาย งั้นเรามาเริ่มกแนและดื่มเพื่อผิวพรรณกันตั้งแต่นี้เลย...ดีไหม

ที่มา : นิตยสาร Women Plus

18.6.09

ล้างพิษลำไส้ใหญ่ กากใยอาหารจากธรรมชาติช่วยคุณได้

ล้างพิษลำไส้ใหญ่ กากใยอาหารจากธรรมชาติช่วยคุณได้
ธรรมชาติได้สร้างให้ร่างกายมนุษย์มีระบบล้างพิษตามธรรมชาติที่ดีที่สุด


ปัจจุบันคำว่า ล้างพิษ กลายเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนติดตามและสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากสภาพแวดล้อม ทำให้พฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปจึงพยายามหาแนวทางที่จะคืนความสดชื่นและการมีสุขภาพที่ดีให้แก่ร่างกายให้เร็วที่สุด อันเป็นที่มาของกระแสการล้างพิษ ที่แบ่งออกเป็นวิธีล้างพิษแบบธรรมชาติโดยการกินผักและผลไม้เพื่อให้ได้กากใยมากๆ และวิธีล้างพิษแบบฝืนธรรมชาติอย่างการกินยาระบายหรือสวนล้างลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นวิธีที่ยังไม่มีการยืนยันทางการแพทย์ว่าปลอดภัย และได้ประโยชน์ต่อสุขภาพจริงๆ

จากกระบวนการทำงานของตับ ไตและลำไส้ โดยเฉพาะลำไส้ใหญ่ที่มีหน้าที่กำจัดของเสียจากอาหารที่เรากินเข้าไปด้วยการขับถ่ายอุจจาระทุกวัน และสิ่งสำคัญที่จะเสริมให้การล้างพิษตามธรรมชาติของลำไส้ใหญ่มีประสิทธิภาพคือ เส้นใยอาหาร ที่ร่างกายได้รับจากการกินอาหารประเภทข้าวกล้อง ธัญพืช โฮลวีท ข้าวโอ๊ต ถั่ว ผักและผลไม้ เป็นต้น

แต่ในความเป็นจริง หลายคนอาจกินไม่ได้ตามที่ร่างกายต้องการทุกวัน ทำให้เกิดปัญหาท้องผูก เกิดของเสียหมักหมมในลำไส้ใหญ่ และถ้าเป็นเรื้อรัง ก็เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ทั้งนี้เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว หลายคนพึ่งวิธีการกินยาระบายและการสวนล้างลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาจจะเป็นการทำลายจุลินทรีย์ชนิดดีที่อยู่ในผนังลำไส้ใหญ่ ที่ทำหน้าที่คุ้มครองและช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ชนิดที่ก่อให้เกิดโรค ดังนั้นหากสวนล้างลำไส้ใหญ่บ่อยเกินไปเท่ากับว่า เรากำจัดจุลินทรีย์ชนิดดีนั้นออกไปด้วย ผลก็คือ จะทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น และทำให้สูญเสียสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย สรุปว่าอาจเป็นทางเลือกที่เร็วและเห็นผลทันที แต่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว

ดังนั้นการล้างพิษด้วยการกินเส้นใยอาหารจากผักและผลไม้ หรือสำหรับคนที่มีปัญหาการกินผักและผลไม้ อาจเลือกผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารธรรมชาติที่มีการแปรรูปและสะดวกต่อการกิน ยกตัวอย่างเช่น เส้นใยอาหารที่ได้จากเมล็ดและเปลือกแพลนตาโก้ ในรูปแกรนูลซึ่งสามารถพองตัวในลำไส้ใหญ่ได้ถึง 7 เท่า เพิ่มปริมาณกากอาหารเป็นก้อนในลำไส้ใหญ่ ทำให้ลำไส้ใหญ่เคลื่อนไหว เพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ ลดปริมาณสิ่งหมักหมมในลำไส้ใหญ่ เป็นการล้างพิษลำไส้ใหญ่โดยวิธีธรรมชาติ จะส่งผลดีต่อสุขภาพองค์รวมมากกว่า เพราะได้เส้นใยอาหารที่มีประโยชน์ถึง 2 ชนิด นั่นคือ เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ (water insoluble fiber) และเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำ (water soluble fiber) ซึ่งควรได้รับอัตราส่วนที่เหมาะสมคือ 60:40

เนื่องจาก...
เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ จะพองตัวและอุ้มน้ำไว้ได้มากกว่าปริมาตรของตัวเองหลายเท่า ช่วยเพิ่มปริมาตรกากอาหารในลำไส้ ไม่ให้อุจจาระแห้งและแข็ง ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายและสบายขึ้น ไม่มีสิ่งหมักหมมค้างในลำไส้ใหญ่

เส้นใยอาหารที่ละลายน้ำ จะถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่อย่างช้าๆ ทำให้เกิดกรดไขมันชนิดสายสั้น (Short-chain fatty acid) ได้แก่ อะซิเตท โพรพิโอเนท และบิวทีเรท ซึ่งสารบิวทีเรทจะทำให้ค่า pH ในลำไส้ลดลงต่ำ มีผลในการยับยั้งการเจริญเติบโตของ จุลินทรีย์ชนิดที่ก่อให้เกิดโรคและลดโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่

สรุปแล้ว การล้างพิษที่ดีที่สุด คือ การล้างพิษตามธรรมชาติจากการกินอาหารที่สด ปรุงสะอาดมีกากใยสูงและมีคุณค่าต่อร่างกาย ควบคู่กับการดื่มน้ำ 6-8 แก้วต่อวัน การออกกำลังกาย การนอนหลับพักผ่อนและทำจิตใจแจ่มใส และอาจใช้ผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารธรรมชาติเสริม ในกรณีที่รับประทานอาหารที่มีเส้นใยน้อย

ที่มา : นิตยสาร Health Today

2.6.09

ไฮไลท์ หรือ ทำร้าย เส้นผม

ไฮไลท์ หรือ ทำร้าย เส้นผม ?!?

ผิวผมจะถูกทำลาย ทำให้ผมไม่เรียบ หยาบ เมื่อสัมผัส ความลื่น ความเงาจะหมดไป
เส้นผมเป็นส่วนที่ไม่มีชีวิต เจ้าของผมจะเหมือนไร้ชีวิตเมื่อเส้นผมไม่อยู่ในสภาพ ที่ใจคิด ในปัจจุบันการเปลี่ยนสีผมเป็นผมหงอกขาวตามวัยเป็นสิ่งที่หลายคนทำใจไม่ได้ แต่การเปลี่ยนสีตามกระแสนิยมกลับทำให้เจ้าของผม พึงพอใจ รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เส้นผมเป็นสิ่งพิเศษของชีวิตที่ต้องดูแลหลายขั้นตอน ต้องสระให้สะอาด สลวย เงางาม ตัด ดัดและจัดทรงผมให้รับกับใบหน้า


แต่เมื่อมีการชี้นำของธุรกิจแฟชั่นเส้นผม การจัดแต่งเส้นผมจึงเปลี่ยนไปตามกระแส จากผมเรียบสลวย สยาย กลายเป็นผมยุ่งเหยิง ชี้ตั้ง อย่างไร้ทิศทาง เส้นผมของวัยรุ่นและวัยทำงานเกือบทุกคนกำลังถูกทำทารุณกรรมอย่างหนัก ด้วยการฟอกกัดสีผม ภาษาทันสมัย คือ การทำ ไฮไลต์ เป็นการสร้างจุดเด่นจากการเปลี่ยนสีผม ซึ่งอาจทำเป็นสีเดียวหรือหลายระดับสีก็ได้ สีของเส้นผมสร้างจากเซลล์สร้างเม็ดสี ส่งสีเข้าในแกนผม โดย เม็ดสีมี 2 ชนิด คือ ยูเมลานิน เม็ดสีดำ และฟิโอเมลานิน สีจะกระจายอยู่ในใยผม จำนวนและการกระจายของสีทั้งสองแตกต่างกันตามพันธุกรรม ในคนเอเชียผมดำมีเม็ดสียูเมลานินกระจาย แน่นกลบเม็ดสีแดง ของฟิโอเมลานิน ส่วนคนผิวขาวผมสีทองมีเม็ดสียูเมลานินน้อยจึงเห็นสีของฟิโอเมลานินซึ่งมีสีแดง ในคนผมหงอก

การย้อมผมจะทำได้ง่ายหลายท่านย้อมเองใช้เวลาเพียง 30 นาทีผมก็จะดำ คุณภาพผมก็ยังคงเดิม ส่วนการทำไฮไลต์ กระบวนการจะแตกต่างกับการย้อมผม ต้องฟอกสียูเมลานินออกให้หมด จึงเห็นสีแดงของเม็ดสีฟิโอเมลานิน สีผมจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและสีทอง ขบวนการฟอกสีเป็นปฏิกิริยาเคมีแบบออกซิเดชั่นเกิดภายในแกนผม สารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์จะซึมผ่านผิวผมซึ่งเกิดช่องว่างจากสภาพด่างของน้ำแอมโมเนีย จะปล่อยประจุออกซิเจนให้ยูเมลานินเป็นออกซียูเมลานินซึ่งไม่มีสี รศ.พญ.พรทิพย์ กล่าวว่า สีผมมี 10 ระดับสี คือ ดำ น้ำตาล น้ำตาลแดงเข้ม น้ำตาลแดง น้ำตาลแดงอ่อน สีทองเข้ม สีทอง สีทองอ่อน สีทองอ่อนมาก และสีทองอ่อนที่สุด การฟอกสีผมจะค่อยเปลี่ยนไล่ลดสีลงตามระดับ สารฟอกสีผม คือ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์มีจำหน่ายเพื่อให้ใช้เอง จะมีปริมาณไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ร้อยละ 3 ร้อยละ 6 หรือ 12 สามารถลดระดับสีได้ 2-3 ระดับ ถ้าใช้ตามคำแนะนำจะปลอดภัย แต่ในร้านทำผมอาจใช้ปริมาณไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ในความเข้มข้นสูงมาก

เมื่อลูกค้าต้องการลดสีผมให้อ่อนลงหลายระดับในการฟอกกัดสีผมครั้งเดียวจึงเกิดปัญหาผมเสีย ตามมา เพราะใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ในความ เข้มข้นสูงมาก และการ แช่ผมในน้ำแอมโมเนีย นาน ๆ จะทำลายพันธะไดซัลไฟด์ของโปรตีนผิวผมและใยผม หลังไฮไลต์นอกจากสีผมจะเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือสีทอง ไฟฟ้าสถิตบนผิวผมเพิ่มขึ้น ผมจึงฟูเมื่อแห้งและพันกันเมื่อเปียกน้ำ และการทำลายของใยผมทำให้เส้นผมเปราะขาดง่ายโดยเฉพาะเมื่อผมเปียก เส้นผมซึ่งสูญเสียโปรตีนไปจะอมน้ำมากและแห้งช้า แต่ผมไม่สามารถเก็บกักความชื้นได้จึงแห้ง กรอบ และหัก การฟอกกัดสีผมต้องทำโดยผู้ชำนาญทำด้วยความระมัดระวังไม่ทำลายเส้นผม กรณีผมดำต้องการผมเป็นสีทอง การฟอกสีต้องทำเป็นขั้นตอนค่อยเป็นค่อยไป อาจต้องทำ 3 ครั้ง ครั้งแรกฟอกสีดำเป็นสีน้ำตาลแดง ครั้งที่ 2 ฟอกผมสีน้ำตาลแดงให้เป็นสีทองประกายส้ม และครั้งที่ 3 ฟอกผมสีทองประกายส้มเป็นสีเหลืองทอง เพราะถ้าทำในครั้งเดียวเส้นผมจะไม่สามารถทนต่อไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หรือสารออกซิไดซ์ อื่นได้.

นวพรรษ บุญชาญ : รายงาน

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

30.5.09

สารเอ็นโดฟินส์กับความรัก

สารเอ็นโดฟินส์กับความรัก

ในสมองของคนเรามีกลไกการทำงานที่ซับซ้อนมากมายและมีการหลั่งสารเคมีหลายชนิดเมื่อเรากำลังมีความรัก หนึ่งในสารเคมีเหล่านั้นคือสาร เอ็นโดฟินส์ ( ENDORPHINES) หรือ สารแห่งความสุข หรือ สารสุข

เรื่อง: พญ.เรขา กลลดาเรืองไกร
ความรักไม่ให้สิ่งอื่นใดนอกจากตนเองและก็ไม่รับเอาสิ่งใดนอกจากตนเองความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมถูกครอบครองเพราะความรักนั้นพอเพียงแล้วสำหรับตอบความรักคาลิล ยิบราน

ถึงแม้ว่าจะผ่านวันแห่งความรักมานานแล้ว แต่เราก็ยังคงสัมผัสกับความรักอยู่เสมอไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ความรักเป็นสิ่งจรรโลงใจให้กับมนุษย์มานานแสนนาน อาจสังเกตได้จากบทเพลง บทกวี นวนิยาย ละคร หรืออุปรากรต่างๆ ก็มักวนเวียนอยู่กับเรื่องของความรัก

ความรักของแต่ละคนก็มีนิยามแตกต่างกัน บางคนมีความรักที่หมายถึงความรู้สึกอยากอยู่ใกล้ คิดถึงเมื่ออยู่ห่างไกล ต้องการทำสิ่งที่ดีให้เพื่อเอาใจ บางคนความรักหมายถึงการอยากใช้ชีวิตด้วย อยากมีครอบครัวด้วยกัน อยากแก่ไปด้วยกัน

บางครั้งความรักก็นำความทุกข์มาให้แก่คนเรา แต่หลายๆ ครั้งที่ความรักนำความสุข ความอิ่มใจ ปลื้มปิติมาให้ทั้งแก่ผู้รักและผู้ถูกรัก

หลายท่านอาจเคยมีประสบการณ์ยามเมื่อแรกรักใหม่ๆ ถึงแม้จะเป็นการแอบชอบ แอบรักใครสักคนก็ตาม ก็มักรู้สึกว่าช่วงนั้นพิเศษกว่าปกติ สามารถนั่งอมยิ้มได้คนเดียวเมื่อนึกถึง มองอะไรๆ สดชื่นไปหมด อยากรู้ความเป็นไปของคนที่เรารักทุกอย่าง บ่อยครั้งก็มองเห็นแต่ข้อดีของคนที่เราชอบ เรารัก ต่อมาเมื่อคบกันนานเข้า ก็ต้องมีการปรับตัวเข้าหากัน เมื่อคนที่รักกันอยู่ด้วยกันนานๆ ก็มักจะมี ความผูกพัน กัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เพิ่มขึ้นมานอกเหนือจากความรู้สึกรักใคร่ในช่วงแรก

สารเอ็นโดฟินส์เป็นสารเคมีจำพวกเดียวกับฝิ่น (opioid) ซึ่งผลิตขึ้นภายในร่างกาย โดยสมองส่วนไฮโปธารามัส (Hypothalamus) และต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) อันเนื่องมาจากเป็นสารเคมีจำพวกเดียวกับฝิ่นจึงมีฤทธิ์บรรเทาอาการปวด (Analgesia) และทำให้รู้สึกสุขสบาย (Sense of well-being)หรืออีกนัยหนึ่ง สารเอ็นโดฟินส์ก็คือ ยาแก้ปวดแบบธรรมชาติ นั่นเอง

สารเอ็นโดฟินส์นี้ถูกค้นพบครั้งแรกโดย John Hughs และ Hans Kosterlitz ในปี ค.ศ.1975 โดยพบในสมองของสุกร ในขณะนั้นเขาได้ให้ชื่อว่าสาร Enkephalins (ในภาษากรีก egkephalos มีความหมายว่า ภายในกะโหลกศีรษะ) และต่อมาได้มีการค้นพบสารเอ็นโดฟินส์อีกหลายชนิดในมนุษย์ โดยคำว่า Endophine นั้นมีที่มาจากคำว่า Endogenous Morphine ซึ่งหมายถึงสารมอร์ฟีนที่ถูกผลิตขึ้นภายในร่างกายโดยธรรมชาติซึ่งไม่ก่อผลเสียต่อร่างกาย

เมื่อเรามีความสุขหรืออยู่ในสภาวะที่สุขสบาย (Pleasure experience) ไม่ว่าจะเป็นการจินตนาการหรือความรู้สึกจากประสาทรับสัมผัสทั้ง 5 เช่น การเล่นคลอเคลียกันสัตว์เลี้ยงแสนรัก การฟังดนตรีเพราะๆ การอ่านหนังสือที่ถูกใจ การดูภาพยนตร์ การออกกำลังกาย (ในบางตำรากล่าวว่าต้องเป็นการออกกำลังกายที่หนักๆ) การทำสมาธิ หรือการที่มีความรู้สึกรัก การได้พูดคุยกับคนที่เรารัก การได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่เรารัก การได้สัมผัสถ่ายทอดความรักซึ่งกันและกัน กระทั่งการได้ร่วมรักกับคนที่เรารัก ขั้นตอนการเล้าโลม เหล่านี้เป็นการกระตุ้นให้สมองเกิดการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์ขึ้น(โดยพบว่ามีการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์อย่างมากในช่วง orgasm)

เมื่อสารเอ็นโดฟินส์ที่หลั่งออกมานี้จะไปจับกับตัวรับ(receptor) ชนิด Opioid ในสมอง ก็จะมีผลโดยรวมทำให้เกิดการหลั่งของสารโดปามีน(Dopamine) มากขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดผลดีต่อร่างกายต่างๆ เช่น บรรเทาความเจ็บปวด เกี่ยวข้องกับสมดุล ความหิว การนอนหลับ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบหายใจ ระบบควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย นอกจากนี้ยังมีผลต่อการควบคุมการสร้างฮอร์โมนเพศ (sex hormones) และที่สำคัญสารเอ็นโดฟินส์สามารถส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Immune system) โดยมีการศึกษาและรายงานถึงผลของการหัวเราะว่าทำให้เกิดการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์ในสมองมากขึ้น จะเกิดการกดการทำงานของ Stress hormone หรือฮอร์โมนที่หลั่งเมื่อร่างกายเผชิญกับสภาวะที่เครียด เช่น Adrenaline มีผลทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ ผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้อาการปวดบรรเทาลง และมีผลทำให้หลอดเลือดขยายตัวได้ดีขึ้น ทำให้เม็ดเลือดขาวเดินทางเข้าไปฆ่าเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น โอกาสเจ็บป่วยก็จะลดลง คือทำให้สุขภาพแข็งแรงขึ้นนั่นเอง ดังนั้นการที่มีกิจกรรมใดก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกเป็นสุขมีการหลั่งสารเอ็นเอ็นโดฟินส์ย่อมมีส่วนเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกายได้เสมอ

เนื่องจากร่างกายกับจิตใจมีความเชื่อมประสานกันอย่างแยกไม่ได้ ในบางครั้งอาจเคยสังเกตว่าเวลาไม่สบายกาย จิตใจก็มักหงุดหงิดหรือหดหู่ไปด้วย หรือเวลาที่ไม่สบายใจ ร่างกายก็พลอยเบื่ออาหาร นอนไม่หลับไปด้วย ดังนั้นเวลาที่คนเราไม่สบาย นอกจากการรับประทานยาตามแพทย์สั่งแล้ว การอยู่ในสภาวะที่มีความสบายกาย และสบายใจ หรือมีความสุขใจ ก็มีผลดีต่ออาการเจ็บป่วยทางร่างกาย การมีความรัก มีคนรักคอยเอาใจใส่ดูแลอยู่ใกล้ๆ การได้รับสัมผัสการกอด จูบ การลูบหัว จับมือจากคนรัก ซึ่งจะทำให้รู้สึกอบอุ่นใจ สบายใจขึ้นทันที เป็นสิ่งที่ทำให้เกิด Pleasure experience เมื่อมีการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์แล้ว คนรักที่กำลังไม่สบายก็จะรู้สึกเจ็บปวดน้อยลง การทำงานของเม็ดเลือดขาวและระบบภูมิคุ้มกันโรคก็แข็งแรงขึ้น มีผลให้หายเจ็บป่วยได้ไวขึ้นเช่นกัน ดังจะเห็นได้ว่าความรักนั้น นอกจากจะทำให้สุขใจแล้ว ยังทำให้สุขกายได้อีกด้วย

ในผู้ที่ติดสารเสพติดนั้น เหตุผลของการใช้สารเสพติดมักเกี่ยวข้องกับความต้องการคลายเครียด คลายความทุกข์ใจ อยากรู้สึกสนุกหรือมีความสุขมากขึ้น ฯลฯ ซึ่งจะพบว่า ถ้าครอบครัว และสังคม มีความรัก ความอบอุ่นให้แก่กันเพียงพอ และรู้จักการหาความสุขจากกิจกรรมที่สร้างสรรค์ ก็จะเกิดการหลั่งของ Endogenous Morphine หรือ Endorphine ทำให้รู้สึกสุขสบาย ไม่ต้องหาสารสุขจากภายนอก เชื่อว่าจะช่วยลดปัญหาการใช้สารเสพติดลงได้เป็นอย่างยิ่ง

ที่มา : นิตยสาร Health Today

29.5.09

ผมแห้งเสียกลับนุ่มสวย

ผมแห้งเสียกลับนุ่มสวย

ผมแห้งแตกปลายมากจากการทำสีมาหลายครั้ง และไปดัดผมมาด้วยยิ่งทำให้แห้งไปใหญ่ อบไอน้ำและทำทรีตเม้นท์แต่ก็ไม่ดีขึ้นเลย จะบำรุงอย่างไรดีคะ
บำรุงล้ำลึกยาวนาน
Q: มีอาชีพเป็นพริตตี้ทำให้ต้องเกล้าและยีผมบ่อยครั้ง รู้สึกว่าผมแห้งและหยาบกระด้างมาก ทำรีบอนดิ้งมาพักหนึ่งแล้วพอจะมีการบำรุงอย่างไรบ้างที่จะทำให้ผมกลับมามีสุขภาพดีเหมือนเดิม (สุมาลี สุขเกษมสันต์/นครปฐม)
A: สำหรับการทำรีบอนดิ้งนั้นมีผลทำให้เส้นผมแห้งจากการโดนสารเคมีโดยตรงอย่างแรง ยิ่งทำผมหลากหลายทรงบ่อยครั้งทำให้รากผมเกิดการดึงและผมฉีกขาดได้ การบำรุงรักษาควรใช้แชมพูและครีมนวดเฉพาะสำหรับผมทำเคมี และหมั่นที่จะคอยทำทรีตเม้นท์ให้เส้นผมอาทิตย์ละ 2 ครั้งเพื่อคืนความชุ่มชื่นให้กับเส้นผม และหลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนกับเส้นผม (เทพชัย สนธยานนท์/เทคนิเชี่ยนจาก Schwarzkopf Professional)
ผมแห้งเสียกลับนุ่มสวย
Q: ผมแห้งแตกปลายมากจากการทำสีมาหลายครั้งและไปดัดผมมาด้วยยิ่งทำให้แห้งไปใหญ่ อบไอน้ำและทำทรีตเม้นท์แต่ก็ไม่ดีขึ้นเลย จะบำรุงอย่างไรดีคะ (อุไรวรรณ มั่งมีศรี/ชุมพร)
A: การทำเคมีบ่อยครั้งทำให้ผมเสียความชุ่มชื่นอย่างมากเพราะสารเคมีจะทำปฏิกิริยากับโครงสร้างผมทำให้ผมแห้งและกรอบ ขาดง่าย ดังนั้นจึงควรหมั่นเล็มปลายผมและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพของเส้นผมทั้งแชมพูและครีมนวด และลองเปลี่ยนการทำทรีตเม้นท์มาเป็นการหมักผมโดยไม่ใช้ความร้อน หรือใช้มาสก์แทนการใช้ครีมนวดทุกครั้งหลังสระผมก็จะช่วยให้เส้นผมมีความชุ่มชื่นขึ้น (กิตติมา บุญจันทร์/เทคนิเชี่ยนจาก Dcash Professional)
ฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน
Q: อยากเปลี่ยนสีผมแต่ผมค่อนข้างดำมากช่างแนะนำว่าให้ฟอกสีผมก่อนแล้วค่อยลงสีพอทำแล้วผมแห้ง และร่วงมาก ไม่ทราบพอจะมีวิธีรักษาอย่างไรบ้างที่จะทำให้ผมกลับมาสุขภาพดีเหมือนเดิม (วิจิตร ศรีสมบูรณ์/สุราษฎร์ธานี)
A: การฟอกสีผมทำให้สีผมที่เข้มอ่อนลง แต่เป็นการทำให้เส้นผมเปราะบาง เพราะน้ำมันและเกล็ดที่เคลือบเส้นผมอยู่หลุดไปทำให้ผมไม่มีเกราะป้องกัน เป็นเหตุให้เส้นผมอ่อนแอควรหมั่นบำรุงทั้งการอบไอน้ำและทำทรีตเม้นท์ควบคู่กันไป ถ้าจะให้ดีควรทำสปาให้กับเส้นผมด้วยเพื่อเป็นการฟื้นฟูเส้นผม และใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลผมทำสีโดยเฉพาะ (ไกรษร อธิมา/เทคนิเชี่ยนจาก Wella Professional)
try this
Just Modern Spa Addix Glossing Serum เซรั่มบำรุงสูตรเข้มข้นเพื่อผมประกายเงางาม 180 บาท
Lorina Professional Use Only Hair Spa Treatment Pearl Powder ทรีตเม้นท์บำรุงป้องกันผมแห้งเสียแตกปลาย 120 บาท
Audace Silky Hair Treatment ทรีตเม้นท์บำรุงสำหรับผมแห้งเสียแตกปลายให้กลับนุ่มชุ่มชื่นมีชีวิตชีวาสปริงตัวสวย 70 บาท
Kerastase Resistance Volumactive Light Volume Contouring Care Masque ครีมมาสก์บำรุงเพื่อเส้นผมหนานุ่มสลวย 1,460 บาท
Wella Biotouch Nutrition-Care Color Conditioner ครีมนวดผมสูตรเข้มข้นเพื่อการบำรุงสำหรับผมทำสี 360 บาท
Program Solution Shampoo CS แชมพูสำหรับผมทำสีให้กลับนุ่มสลวย 520 บาท
Schwarzkopf Professional Bonacure Hairtherapy Hair Growth Regime เซรั่มบำรุงสำหรับผู้มีปัญหาผมร่วงให้กลับหนานุ่มขึ้น 1,820 บาท
Bain De Terre Fortifying Conditioner For Fine Thinning Chemically -Treated Hair ครีมนวดผมสำหรับผมทำเคมีให้นุ่มชุ่มชื่น 420 บาท

ที่มา : นิตยสาร Hair ฉบับภาษาไทย

28.5.09

ดูแลผมสวยด้วยน้ำส้มสายชู

ดูแลผมสวยด้วยน้ำส้มสายชู

ทราบหรือไม่ว่า น้ำส้มสายชู สามารถทำให้ผมสวยได้ วันนี้เรามีเรื่องนี้มาฝาก
การใช้น้ำส้มสายชู นอกจากจะช่วยให้มีเส้นผมเป็นเงางามแล้ว ยังช่วยคืนสภาพเส้นผมที่แห้ง และแตกปลายให้กลับมีสุขภาพดีขึ้นด้วย

1. เติมน้ำส้มสายชู 4 ช้อนชา ลงในแชมพู 2 ช้อนโต๊ะ ชโลมให้ทั่วศรีษะขณะสระผม
2. ใช้น้ำส้มสายชูชนิดใสสำหรับสีผมอ่อน และน้ำส้มสายชูบัลซามิค สำหรับผมที่มีสีเข้ม
3. น้ำส้มสายชูที่ทำจากแอปเปิ้ล จะช่วยในการขจัดแชมพูส่วนเกินที่ตกค้างอยู่บนหนังศรีษะ และ ปรับสภาพเส้นผมได้เป็นอย่างดีเมื่อใช้ในการล้างผมขั้นสุดท้ายอาจผสมน้ำอุ่น ในปริมาณที่เท่ากันก่อนใช้ก็ได้
4. ใช้น้ำส้มสายชูชนิดใสครึ่งถ้วยผสมน้ำมะนาวครึ่งถ้วย หมักผม 10 นาที ก่อนสระผมจะช่วยให้สีผมที่คุณย้อมไว้เข้มขึ้น
5. ผสมน้ำส้มสายชู ชนิดที่ทำจากไวน์กับซอสถั่วเหลือง ใช้หมักผมและทิ้งไว้ 15 นาที ก่อนล้างออกจะช่วยขับสีผมที่เข้มหรือดำให้ดำขึ้นทีละน้อย ทั้งนี้นอกจากซอสถั่วเหลืองจะมีโปรตีนที่ช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรงขึ้นแล้ว ยังมีเม็ดสีซึ่งจะช่วยให้ผมดำเข้มขึ้นอีกด้วย ใครที่อยากมีผมสวยแต่ไม่อยากลงทุนเยอะ ลองนำน้ำส้มสายชูมาดูแลรักษาผมให้สวยกันดูได้.

27.5.09

ทิปส์ที่ต้องทำเพื่อผมสวย

ทิปส์ที่ต้องทำเพื่อผมสวย

ทิปส์ดีๆ แปลกๆ ที่จะช่วยให้คุณมีเส้นผมสวยสลวยชวนมองแบบไม่พึ่งเอฟเฟ็กต์ ที่อยากแนะนำให้ลองทำ
Healthy HAIR, To Do Now! การดูแลสุขภาพเส้นผมมีหลักการไม่ต่างกับสุขภาพกาย เพราะต่างก็ใช้หลักการเดียวกันคือ ความใส่ใจประจำวันสามารถป้องกันปัญหาใหญ่ได้ และนี่คือทิปส์ดีๆ แปลกๆ ที่จะช่วยให้คุณมีเส้นผมสวยสลวยชวนมองแบบไม่พึ่งเอฟเฟ็กต์ ที่อยากแนะนำให้ลองทำ Chic Your Hair Now! 1. ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ทรีตเมนต์ ที่ผลิตแบบออร์แกนิกซึ่งใช้วัตถุดิบและกรรมวิธีจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีให้มากที่สุด เพื่อปกป้องและบำรุงผมให้สุขภาพแข็งแรง สวยงามแบบยั่งยืน
2. เลือกผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมจากส่วนประกอบจมูกข้าว, โจโจ้บา, น้ำมัน-มะพร้าว, เคราติน, วิตามินไบโอติน, แพนทีนอล, วิตามินเอ, อี และน้ำมันสกัดจากธัญพืช จะช่วยบำรุงรากผม ป้องกันการหลุดร่วง
3. ระหว่างสระผม ควรใช้ปลายนิ้วนวดเบาๆ ให้ทั่วศีรษะอย่างน้อย 5 นาที หลังล้างออก นวดด้วยครีมนวดอีก 5 นาที เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเส้นเลือดบริเวณรากผม
4. ควรปล่อยให้ผมแห้งตามธรรมชาติ หรือใช้พัดลมช่วยเป่าให้แห้ง หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด ทั้งเครื่องเป่าผม แกนดัดลอน หรือที่หนีบผม
5. รักษาความสมดุลของรูปร่าง และหากคุณกำลังอยู่ในช่วงจำกัดแคลอรี ก็ควรรับประทานอาหารให้ครบทุกหมวดหมู่ ตามความต้องการที่จำเป็นของร่างกาย เป็นวิธีที่ได้ผลมากที่สุดต่อความสวยงามของเส้นผมมากกว่าการทำทรีตเมนต์ หรือใช้เซรั่มบำรุง
6. ควรสระผมและนวดระหว่างลงแชมพู ครีมนวดทุกวัน หรืออย่างน้อยวันเว้นวัน เพื่อกระตุ้นระบบสมดุลของหนังศีรษะ และช่วยเสริมการสร้างน้ำมันหล่อเลี้ยงผมตามกระบวนการธรรมชาติ
7. เลือกแชมพูที่มีค่าพีเอชเป็นกลาง หลังสระควรล้างด้วยน้ำอุณหภูมิห้อง หรือน้ำเย็นเล็กน้อยเพื่อความเงางาม อย่าใช้น้ำร้อนเด็ดขาด เพราะจะทำให้เส้นผมอ่อนแอ
8. ไม่ควรแปรงผมขณะที่เปียกโชก ควรรอให้หมาดและใช้แปรงที่มีซี่ห่างเพื่อหลีกเลี่ยงการดึงเส้นผมให้ยืดออก ซึ่งทำร้ายเส้นผม
9. กำจัดรังแคด้วยการใช้น้ำมันโจโจ้บาผสมน้ำมันโรสแมรี่สกัด 1-2 หยด หรือน้ำมันสกัดจากชา นวดศีรษะ 15 นาที แล้วล้างออก วิธีนี้จะช่วยบำรุงเส้นผม หากทำเป็นประจำทุกสัปดาห์
10. ฟื้นฟูผมแห้งเสียด้วยการใช้น้ำผลไม้สกัด Apple Cider ผสมน้ำในอัตราส่วนหนึ่งต่อหนึ่ง นวดเส้นผม และล้างออก จากนั้นค่อยตามด้วยครีมบำรุงผมเนื้อเข้มข้นสูตรธรรมชาติ ทำเป็นประจำทุก 2 สัปดาห์ เส้นผมจะค่อยๆ กลับมีชีวิตชีวา และเงางาม
11. เพื่อเส้นผมที่เงางาม ควรแปรงด้วยหวีจุ่มน้ำมันสกัดคาโมมายล์ หรือน้ำมันสกัดจากเลมอน ผสมน้ำมันโจโจ้บาในอัตราส่วนหนึ่งต่อหนึ่ง และปล่อยให้แห้งตามธรรมชาติทุกวัน อย่าใช้น้ำมันต่างๆ กับเส้นผมโดยไม่ได้ผสมโจโจ้บาเด็ดขาด เพราะความเข้มข้นจะทำร้ายเส้นผมให้เสียสวย
12. ถ้าไม่มีเวลา แต่ต้องการให้เส้นผมดูเงางาม ให้ใช้น้ำมะนาว 1 ผล ผสมน้ำอุ่น 1 ลิตร ล้างศีรษะหลังนวดผม แล้วปล่อยให้แห้งตามธรรมชาติ เส้นผมจะเงางามทันใจ
13. ผมลีบแบน ควรหลีกเลี่ยงการใช้หวีจากวัสดุพลาสติก เพราะไฟฟ้าสถิตจะยิ่งทำให้เส้นผมแย่ลง และไม่ควรใช้ที่คาดผม ยางรัด หรือเครื่องประดับที่รัดกระชับเส้นผม วิธีที่ดีคือการใช้แปรงจากไม้ หรือกระดูกสัตว์ซี่ห่าง หวีแต่งทรง และปล่อยผมตามธรรมชาติ เพื่อให้ผิวผมได้หายใจ ถึงจะเกิดมาสวยแบบไม่ได้เลือก แต่สาวอย่างเราก็มีผมสวยเลือกได้ จริงมั้ยคะ ว่าแต่ว่าจะทำไงดีล่ะ ถ้าทำตามทิปส์แล้ว ผมดันสวยเกินหน้าเกินตา อย่างนี้มิต้องหันหลังเฟลิร์ตหนุ่มหล่อเหรอคะ เอาเหอะ ไว้ค่อยคิดทีหลัง อย่างน้อยชีวิตนี้ก็มีอะไรที่สวยสุดๆ สักอย่างแบบอวดออกวัดวาได้ก็ละกัน

ที่มา : นิตยสาร Women Plus

25.5.09

วิธีลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้า

วิธีลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้า

ใครที่เป็นแผลขรุขระบนใบหน้า และอยากลดรอยแผล วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีมาบอก...

1. การใช้ยาทา แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาทา ในกรณีที่เป็นไม่มากนัก หรือใช้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ ยาที่ใช้มักเป็นยาในกลุ่มวิตามิน A โดยตัวยาจะไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้รอยแผลตื้นขึ้น

2. การจี้ด้วยน้ำยา TCA เพื่อกระตุ้นในรอยแผลมีการสร้างเซลล์ หลังการจี้จะเกิดสะเก็ดดำ ๆ อยู่ประมาณสัปดาห์ แล้วจึงหลุดไปเอง แต่ว่าห้ามแกะเด็ดขาด

3. การรักษาด้วย ไอออนโต (IONTO) เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าขับตัวยา ซึ่งนิยมใช้ คือกลุ่มวิตามิน A เข้าไปในผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ เพื่อให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

4. การรักษาด้วย โฟโน (PHONO) เป็นการใช้คลื่นเสียงขับยาเข้าไปในผิวหนัง โดยใช้ยาในกลุ่มวิตามิน A บำรุงและสร้างใยคอลลาเจน

5. การรักษาด้วยวิธี MD (MICRODERMABRASION) เป็นการผลัดผิวใหม่โดยใช้เครื่องมือพ่นผงคริสตัลลงไปยังผิวหน้า เพื่อขัดผิว ส่วนคราบไคล และหนังกำพร้าชั้นบนออกไป แล้วจึงใช้ตัวยาเร่งการสร้างเซลล์ใหม่ ขึ้นมาทดแทน ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

6. การรักษาด้วยวิธีการกรอแผลโดยใช้เครื่องเลเซอร์ ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น แต่ต้องใช้เวลาในการรักษาแผลค่อยข้างนาน

7. การฉีดสารสังเคราะห์โดยแพทย์ จะฉีดสารสังเคราะห์ เช่น อาติคอล หรือสาร HA เข้าไปในรอยแผล เพื่อให้รอยแผลเต็มขึ้น เพียงเท่านี้ก็ลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้าได้แล้ว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

23.5.09

เรื่องน่าอายที่ผู้หญิงไม่อยากบอก

เรื่องน่าอายที่ผู้หญิงไม่อยากบอก!

ทุกคนย่อมมีความลับหรือเรื่องราวที่ปกปิดไม่อยากให้คนอื่นรับรู้ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงาม ถ้าวันหนึ่งเกิดมีปัญหาสุขภาพส่งผลกระทบต่อบุคลิกภาพทำลายความเชื่อมั่นอย่างจัง ก็อาจกลายเป็นคนอมทุกข์หรือเก็บตัวอยู่คนเดียว แบบนี้ย่อมไม่ดีแน่ต้องหาทางแก้ด่วน ซึ่ง 4 สุดยอดเรื่องน่าอายในใจหญิงที่เรารวบรวมมา ได้แก่ การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ตกขาวมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ กลิ่นตัวและเหงื่อรักแร้ออกมากเกิน และสุดท้ายการผายลมและเรอบ่อย

ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือช้ำรั่ว (Overactive Bladder หรือ OAB)
มักเกิดจากการที่กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาไอ จาม หัวเราะหรือยกของหนัก ทำให้ปัสสาวะเล็ดหรือซึมออกมาเปรอะเปื้อนกางกางชั้นใน พาลให้ไม่กล้าออกไปท่องเที่ยวหรือทำธุระนอกบ้าน อาการนี้เป็นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ผู้หญิงมักเป็นมากถึง 75% ในช่วงอายุหลังวัยหมดประจำเดือน เนื่องมาจากความเสื่อมของระบบควบคุมการขับถ่ายของกระเพาะปัสสาวะ กล้ามเนื้อหูรูด ท่อปัสสาวะและกล้ามเนื้อช่องเชิงกราน หรือกระบังลมทำงานไม่สัมพันธ์กันเหมือนเดิม นอกจากนี้อาการช้ำรั่วสามารถเกิดได้กับผู้หญิงหลังคลอดบุตร มีน้ำหนักเกิน ไอเรื้อรัง และโรคเบาหวาน วิธีรับมือกับเรื่องลับๆ ของคุณนี้มีทั้งแบบง่าย คือ การออกกำลังกายกระชับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรงขึ้น ด้วยการฝึกขมิบกล้ามเนื้อรอบๆ ช่องคลอด เหมือนกับการกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ให้ไหล ให้ขมิบนานครั้งละ 10 วินาทีและคลายออก ทำเป็นพักๆ ประมาณ 50-60 ครั้ง วันละ 3-4 ครั้ง หรือวิธีที่ยากหน่อยคือ การผ่าตัดทำรีแพร์ช่องคลอด (A-P repair) การผ่าตัดรั้งท่อปัสสาวะทางหน้าท้อง ผ่าตัดโดยใช้สายเทปคล้องท่อปัสสาวะ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและคำวินิจฉัยของแพทย์ค่ะ

ส่วนวิธีป้องกันเบื้องต้นของอาการปัสสาวะเล็ดก็คือ
การหลีกเลี่ยงดื่มเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟและแอลกอฮอล์ที่จะทำให้ปัสสาวะบ่อยมากขึ้น แต่อย่ากลัวปัสสาวะจนไม่กล้าดื่มน้ำ เพราะนั่นจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ ส่งผลให้ระบบขับถ่ายยิ่งแย่เข้าไปอีก คุณควรพยายามดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 6-8 แก้ว แต่อาจหลีกเลี่ยงการดื่มช่วงก่อนเข้านอน เพื่อจะไม่ต้องตื่นมาทำธุระกลางดึกรบกวนการนอนค่ะ


ตกขาวมีกลิ่นไม่พึงประสงค์
ข้อแม้ของความลับกรณีนี้คือ คุณจำเป็นต้องบอกให้สูติ-นรีแพทย์ทราบ อย่าเก็บเป็นเรื่องน่าอายของตนเอง มิฉะนั้นอาจส่งผลต่อสุขภาพภายในให้รุนแรงหรือเป็นมากขึ้น ภาวะตกขาวที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น
จากเชื้อรา (Yeast, candida, fungus) จากตกขาวที่ปกติจะมีลักษณะเป็นมูกใสๆ ไหลออกมาจากช่องคลอด กลับกลายเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว ทำให้มีกลิ่นไม่ค่อยดี อาจมีอาการคันและแสบที่ปากช่องคลอด ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจาก
- สวมกางเกงในที่ไม่ระบายอากาศ การใส่กางเกงแฟชั่นรัดติ้ว หรือผ้าเนื้อหนาไป ทำให้เหงื่อระเหยช้า เกิดกลิ่นอับ -การรักสะอาดมากไป การใช้สบู่ที่เป็นด่างมากๆ ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นจะทำให้สภาพปากช่องคลอดมีความเป็นกรดตามธรรมชาติลดลง ทำให้เกิดอาการคันระคายเคืองและเกิดเชื้อราได้ง่าย
- เกิดจากการลืมเปลี่ยนแผ่นอนามัยทุก 2-3 ชั่วโมง ทำให้เกิดภาวะอับชื้นเอื้อให้เชื้อโรคเติบโตได้ดี
-รับประทานยาฆ่าเชื้อโดยไม่จำเป็น เช่น เมื่อเป็นหวัดและรับประทานยาฆ่าเชื้อไวรัส มักจะส่งผลให้เชื้อโรคปกติที่อาศัยอยู่ในช่องคลอดตายไปด้วย ทำให้ไม่มีปราการป้องกันตามธรรมชาติ สามารถติดเชื้อราได้ง่าย
นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคหนองใน แผลริมอ่อน แบคทีเรียทริโคโมนาส (Trichomonas) ที่เป็นสาเหตุทำให้ตกขาวมีกลิ่นเหม็น การติดเชื้อไวรัสหูดหงอนไก่ เริม มะเร็งปากมดลูก ฯลฯ ซึ่งอย่าเพิ่งตกอกตกใจคิดไปว่าตนเองจะเป็นได้มากขนาดนี้เชียวหรือ เพราะวิธีเดียวที่จะฟันธงว่าปัญหาน่าอายนี้เกิดจากอะไรนั้นคือ การไปพบสูติ-นรีแพทย์ เพื่อตรวจภายในและนำตกขาวไปทดสอบค่ะ


กลิ่นตัวและเหงื่อรักแร้ออกมากเกิน
เป็นเรื่องหนึ่งที่คุณผู้หญิงกังวลมากที่สุด เพราะถ้ามีแล้วจะรู้สึกว่าตัวเองไม่รักษาความสะอาด ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่าการที่มีกลิ่นตัวหรือเหงื่อออกบริเวณรักแร้ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือผิดปกติ แต่เป็นเรื่องธรรมชาติของร่างกายที่ต่อมเหงื่ออะโปรลีน บริเวณรักแร้ขับเหงื่อออกมาเพื่อปรับอุณหภูมิร่างกายให้เหมาะสม เดิมทีเหงื่อที่ขับออกมาจะไม่มีกลิ่นเหม็น แต่เป็นเพราะเจ้าแบคทีเรียที่อยู่ตามที่อับชื้นอาศัยคราบเหงื่อเป็นอาหาร กลายเป็นกลิ่นตัวในที่สุด ปัญหานี้กลุ่มวัยรุ่นจะประสบมากหน่อยอันเนื่องมาจากฮอร์โมนที่ปรับเปลี่ยนตามธรรมชาติ ถ้าผ่านช่วงนี้ไปปัญหาเรื่องกลิ่นตัวก็จะลดลงไปเอง
ข้อแนะนำเบื้องต้นในการลดกลิ่นตัวก็คือ
-การใช้ยาลดเหงื่อ (antiperspirant) มีทั้งแบบโรลออน สเปรย์หรือแท่งสติ๊ก และยาดับกลิ่นตัว (deodorant)ลดจำนวนเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยบนผิวหนังคู่กับการดับกลิ่น
- การอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกายให้สะอาด ใส่เสื้อผ้าแห้งสะอาด เนื้อผ้าระบายอากาศได้ดี เพื่อให้เหงื่อระเหยได้ง่าย และหลีกเลี่ยงเสื้อที่รัดและแนบรั้งบริเวณใต้วงแขนมากไป
- หมั่นโกนขนรักแร้ เพราะขนรักแร้จะทำให้เชื้อแบคทีเรียเติบโตดีขึ้น ส่งผลให่มีกลิ่นตัวง่ายขึ้น
-หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ด อาหารที่มีกลิ่นฉุน เครื่องเทศ เช่น กระเทียม เพราะกลิ่นอาหารจะขับออกมาพร้อมเหงื่อ
ส่วนเรื่องกังวลใจเกี่ยวกับเหงื่อรักแร้ที่ออกมากเกิน ขอแนะนำให้ไปพบแพทย์ผิวหนัง ซึ่งจะเป็นคนประเมินว่าเหงื่อคุณออกมากผิดปกติจนต้องรักษาหรือไม่ อย่าเป็นหนูทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่ขายตามท้องตลาดจนผสมปนเปกันไปหมด อาจเป็นสาเหตุของการแพ้หรือระคายเคืองผิวหนังได้

ผายลมและเรอบ่อย
เรื่องแบบนี้ถ้าธรรมชาติเรียกร้องก็อย่าฝืนจะดีกว่าค่ะ (แต่ถ้าจะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ก็ต้องทำให้เนียนที่สุด) การผายลมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นก๊าซที่ผลิตขึ้นโดยแบคทีเรียในลำไส้ ในวันหนึ่งคุณสามารถตดได้ถึง 1.5 ลิตรทีเดียว! แต่คนเราจะผายลมมากน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น
-การกลืนน้ำลาย การใช้หลอดดูดเครื่องดื่ม การเคี้ยวรับประทานอาหาร
- ชนิดของอาหารที่รับประทาน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะไม่ถูกกับอาหารชนิดใดทำให้เกิดภาวะย่อยยาก เช่น ถั่ว นมวัว น้ำอัดลม หัวหอมใหญ่ บรอกโคลี กะหล่ำปลี ส้มโอ ลูกพรุน เนื้อสัตว์บางชนิด ซึ่งร่างกายอาจย่อยได้ไม่ดี ทำให้เกิดอาการท้องอืด เรอและผายลม
- มีอาการผิดปกติในระบบย่อยอาหารอยู่ก่อน เช่น โรคกระเพาะ โรคกรดไหลย้อน โรคลำไส้แปรปรวน หรือแม้แต่ความเครียด หรือเคี้ยวอาหารไม่ละเอียดก็ทำให้เกิดแก๊สในลำไส้มากได้เช่นกัน
ถ้าไม่อยากให้ตัวเองผายลมและเรอมากไป ก็ต้องสังเกตและหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ถูกกับร่างกาย งดดื่มน้ำอัดลมที่มีแก๊สมาก เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน หลังรับประทานอาหารพยายามเดินย่อยก่อนสัก 5-10 นาที แต่ถ้ารู้สึกว่ามีอาการท้องอืด จุกแน่น เรอหรือผายลมมากผิดปกติ เป็นติดต่อกันนานๆ ขอแนะนำให้พบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
ความลับถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลก็จริง แต่ถ้าเป็นเรื่องน่าอายส่งผลต่อสุขภาพและบุคลิกแบบนี้ คุณควรจะแบ่งปันความทุกข์ในใจให้สมาชิกในครอบครัว หรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อชี้ทางออกให้นะคะ

ที่มา:
HealthToday

22.5.09

การดูแล รักษา ถุงน่อง

การดูแล รักษา ถุงน่อง

1. การป้องกันไม่ให้ถุงน่องขาดวิ่นเป็นริ้วง่าย ๆ คือ การนำถุงน่องแช่ไว้ในตู้เย็นสักคืน หลังจากการซื้อมาในวันแรก

2. ก่อนใส่ถุงน่อง ควรทำการดึงหรือยืดเพื่อให้ถุงน่องคลายตัว ง่ายต่อการสวมใส่

3. ควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้เกิดรอยขาดกับถุงน่อง ควรมีความรอบคอบเป็นอย่างมาก อย่าไว้ใจแม้แต่สิ่งเล็กน้อย

4. กรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ควรมีน้ำยาแต้มถุงน่อง (หาซื้อได้ตามท้องตลาด) พกติดตัวไว้เพื่อใช้ในยามที่ถุงน่องขาดหรือวิ่นเป็นริ้นยาว

5. กรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน แล้วไม่มีน้ำยาแต้มถุงน่อง อาจจะใช้ยาทาเล็บแต้มเบา ๆ ในบริเวณที่มีรอยขาดนั้นเพื่อไม่ให้เกิดการวิ่งเป็นแนวยาว

ลองนำวิธีที่แนะไปดูแลรักษาถุงน่องกันดูได้ แล้วจะมีถุงน่องที่ทนต่อการใช้งานได้นาน...


21.5.09

9 เทคนิคฝึกสมองไบรท์

9 เทคนิคฝึกสมองไบรท์

ใครอยากสมองไบรท์ฟังทางนี้ เรามี 9 เทคนิคฝึกสมองไบรท์มาบอก

1. จิบน้ำบ่อย ๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมอง ก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อย ๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และ สร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มี ครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึก ๆ สมองใช้ออกซิเจน 20 25% ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 % การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากมีสมองไบร์ท ลองนำไปฝึกกันได้.

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

19.5.09

วิธี ขับถ่าย ปัสสาวะเพื่อ สุขภาพ ที่ดี

วิธี ขับถ่าย ปัสสาวะเพื่อ สุขภาพ ที่ดี

ทราบหรือไม่ว่า การขับถ่ายปัสสาวะให้เป็นปกติเพื่อสุขภาพที่ดีนั้นทำอย่างไร วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาฝาก...
- อย่ากลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะ

- เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดปัสสาวะชำรุดได้

- ควรถ่ายปัสสาวะให้เหลือน้อยที่สุดในหนึ่งครั้ง คือ เมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา

- ไม่ควรบังคับให้ถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัย เวลาที่เหมาะสมคือ 2-4 ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง

- ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ และน้ำปัสสาวะทุกครั้งว่า ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่ น้ำปัสสาวะลำพุ่งดีหรือไม่ ลำน้ำปัสสาวะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเหลืองใสหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบอกโรคได้

- อาจจะล้างทำความสะอาดหลังปัสสาวะ แต่อย่าให้บริเวณนั้นเปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้ ทางที่ดีหลังปัสสาวะทุกครั้ง ควรซับให้แห้ง

- เมื่อปัสสาวะไม่ออก ต้องหาสาเหตุโดยการไปพบแพทย์ อย่าซื้อยาขับปัสสาวะรับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้

- เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด

- ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ

- ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลังมีเพศสัมพันธ์ คุณผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

- น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ถ้ามีมูก หนอง น้ำเหลือง เลือดปนออกมา ถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์

- การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องขับถ่ายคล่องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากนับว่าเป็นอาการผิดปกติ ต้องรีบไปพบแพทย์

- ทุกคนต้องปัสสาวะทุกวัน วันละ 4-6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะเลย 1 วันถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตรายต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน

รู้อย่างนี้แล้ว ควรขับถ่ายปัสสาวะให้เป็นปกติเพื่อสุขภาพที่ดี.

17.5.09

คนแบบไหนที่ต้องการวิตามินซี

คนแบบไหนที่ต้องการวิตามินซี

ทราบหรือไม่ว่า คนแบบไหนที่ต้องเพิ่มวิตามินซีให้ตัวเองด่วน! วันนี้รามีมาฝาก

.. วิตามินซี เป็นสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายอีกชนิดหนึ่ง ที่ช่วยปกป้องเซลล์และสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง แถมยังช่วยเยียวยาร่างกายจากการบาดเจ็บ ช่วยให้ร่างกายต่อต้านการอักเสบ และ ป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย โดยทั่วไปแล้ววิตามินซีพบได้ในอาหารจำพวกผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ส้มสุกลูกไม้ต่าง ๆ ยิ่งในยุคสมัยใหม่อย่างนี้ก็มีผู้ผลิตนำมาอัดเม็ด เป็นอาหารเสริมจำหน่ายกันมากมายในปริมาณต่าง ๆ กันไป นอกจากที่ว่าคนทั่วไปต้องการวิตามินซีแล้ว คนบางกลุ่มที่สุขภาพไม่ค่อยดี หรือมีความจำเป็นต้องได้รับอาหารเสริมวิตามินซีเพิ่มขึ้นมากกว่าคนทั่วไปก็มีเช่นกัน

กลุ่มคนที่สูบบุหรี่
กลุ่มคนที่เตรียมตัวผ่าตัด หรือเพิ่งฟื้นตัวจากการผ่าตัด
ผู้ป่วยที่มีไตเทียม
คนที่อยู่ในสถานที่อากาศเย็นเป็นเวลานาน

ใครที่อยู่ในข่ายเหล่านี้ ก็อย่าลืมหาอาหารที่มีวิตามินซี เป็นส่วนประกอบมาทานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพที่ดี.

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

15.5.09

ขจัดริ้วรอยเหี่ยวย่นให้หายไป

ผิวจะเกิดใหม่ประมาณเดือนละครั้ง อาหารที่รับประทานเข้าไปจะมีผลต่อสี และความสมบูรณ์ของผิว จึงควรรับประทานอาหารให้ถูกต้อง การควบคุมอาหารมีผลต่อความสมบูรณ์ของผิว ถ้ามีการลดหรือเพิ่มน้ำหนักอย่างรวดเร็วอยู่บ่อย ๆ จำทำให้ผิวหย่อนยาน เมื่อน้ำหนักเพิ่มไขมันส่วนเกินจะไปแทนที่รอยเหี่ยวย่นคือ มีใบหน้าตึง แต่พอลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ผิวอาจปรับสภาพยืดหยุ่นได้ไม่ทัน จึงทำให้ผิวหนังหย่อนยานได้

อาจเลี่ยงไม่ได้เกิดรอยเหี่ยวย่นได้โดยนอนหงาย ถ้านอนหน้าแนบหมอนจนเกิดรอยย่นคืนละหลาย ๆ ชั่วโมง ก็จะทำให้ใบหน้ามีรอยเหี่ยวย่นได้ สรุปว่าขอให้พยายามป้องกันผิวให้มากที่สุด อาจจะมีรอยเหี่ยวย่นตามธรรมชาติบ้าง แต่รอยเหี่ยวย่นจะมีมากขึ้นหากละเลยไม่ดูแลผิวพรรณของเราเอง

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะดูแลผิวดีแค่ไหน หรือมีผิวชนิดใดนั้น ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงธรรมชาติและกาลเวลาได้ ในวัยวัยยี่สิบกว่า ๆ ก็อาจเริ่มมีรอยบาง ๆ รอบ ๆ ตา และอาจมีอีกสองสามเส้นในบริเวณหน้าผาก พออายุสามสิบขึ้นไปรอยต่าง ๆ เหล่านี้จะยิ่งลึกมากขึ้น และจะมีรอยอันเกิดจากการหัวเราะแถว ๆ บริเวณจมูก และริมฝีปาก พอถึงวัยสี่สิบขึ้นไป เนื้อเยื่อจะหย่อนยานมากขึ้นอีกหน่อย และริ้วรอยต่าง ๆ ก็จะยิ่งลึกขึ้น

ถ้าทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนั้นเพียงพอที่จะทำให้คุณหย่อนยาน และเหี่ยวย่นไปทั้งตัวละก็ทำใจเสียเถอะ ธรรมชาติได้ชดเชยการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในช่วงสิบปี ถ้าทุกอย่างดำเนินไปโดยเรียบร้อย แต่ละช่วงสิบปีจะทำให้เรามีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ทำให้ชีวิตเรียบง่ายและรื่นรมย์ขึ้น

ถ้าคุณเป็นผู้ที่มีอารมณ์ขัน ริ้วรอยต่าง ๆ ก็จะเป็นรอยยิ้มเป็นส่วนใหญ่ คุณจะมีใบหน้าเหมือนเดิมตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงวัยกลางคน นั่นก็หมายความว่าคุณมีใบหน้าที่ดีแล้ว ดังนั้น ขอให้คิดแต่สิ่งที่ดีแล้วคุณก็จะมีความสุข ขอให้คิดถึงสุภาพสตรีวัยเลยสี่สิบหลาย ๆ คนที่เป็นดาราดังในทางสื่อมวลชน ถึงแม้ว่าวัยกลางคนจะย่างเข้ามา แต่ก็ได้รับประสบการณ์ เพิ่มขึ้นมากมายเช่นกัน

13.5.09

แดดหน้าร้อน,

แสงแดดทำให้ผิวเสียก่อนวัน และทำให้ผิวหยาบกร้านเหมือนหนังสัตว์ ทั้งยังเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งอีกหลายชนิดด้วย

ลองมองไปรอบ ๆ ตัวในสถานที่ที่มีผู้นิยมอาบแดดมาชุมนุมกัน ให้มองหาคนที่มีอายุระหว่างยี่สิบห้าถึงสามสิบปี และเป็นผู้ที่อาบแดดทุกปี ทีนี้ขอให้มองหาผู้หญิงอายุระหว่างสี่สิบถึงห้าสิบปี และเป็นผู้ที่ตกแดดมาก ๆ ขอให้เปรียบเทียบสภาพผิวหนังด้านหลังของลำคอกับผิวหนังบริเวณต่ำจากคอลงมาสักสองหรือสามนิ้ว จะเห็นว่าผิวหนังในบริเวณทั้งสองแตกต่างกันมาก

ที่บริเวณทางใต้ของรัฐเท็กซัส ถ้าคุณยืนอยู่กลางแดดตอนบ่าย ๆ ในเดือนมิถุนายน กรกฏาคม หรือสิงหาคม และปล่อยให้ผิวโดนแดดเพียงแค่สิบนาที ผิวคุณจะไหม้นิดหน่อยขนาดแค่เดินไปที่ตู้จดหมายเท่านั้น ผิวก็ยังเปลี่ยนเป็นสีชมพูเลย


สำหรับผู้ที่ยังยืนยันที่จะย่างตัวเองละก็ ขอให้พิจารณาสิ่งต่อไปนี้ องค์การอาหารและยาเสพย์ติด ได้กำหนดปัจจัยป้องกันแสงแดด (เอสพีเอฟ) ไว้ในผลิตภัณฑ์ป้องกันอันตรายจากแสงแดด และอันตรายต่าง ๆ นี้ได้พิมพ์ไว้บนขวดที่บรรจุผลิตภัณฑ์ดังกล่าว


เอสพีเอฟ 2 ถึง 4 ป้องกันน้อยที่สุด เหมาะสำหรับผู้โชคดีที่ผิวไม่เกรียมง่ายและผิวคล้ำได้ง่าย ๆ
เอสพีเอฟ 4 ถึง 6 ป้องกันได้ปานกลาง สำหรับผู้ที่ผิวคล้ำได้ดี
เอสพีเอฟ 6 ถึง 8 ป้องกันพิเศษ สำหรับผู้ที่ผิวเกรียบปานปลาง และผิวคล้ำแดดช้า
เอสพีเอฟ 8 ถึง 14 ป้องกันได้มากที่สุด สำหรับผู้ที่ผิวเกรียมแดดง่าย และผิวคล้ำแดดยาก
เอสพีเอฟ 15 ขึ้นไป ป้องกันมากพิเศษสำหรับคนที่ผิวเกรียมง่าย และผิวไม่เคยคล้ำแดดเลย


ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามส่วนใหญ่กล่าวว่าผลิตภัณฑ์ชนิดใดก็ได้ที่มีตัวยาในระดับ 8 ขึ้นไปจะใช้ป้องกันผิวได้ดี


ไม่ว่าครีมกันแดดจะมีเอสพีเอฟในระดับไหนก็ตาม ตัวยาป้องกันเหล่านั้นก็อาจหลุดลอกได้ง่าย ควรแน่ใจว่าได้ทายากันแดดในขณะที่ตากแดดและทาซ้ำหลังจากว่ายน้ำแล้ว การใช้ครีมกันแดดนั้นต้องใช้เมื่อผิวแห้งสะอาด จากนั้นลูบตัวยาให้เสมอ ๆ กันไปในทางเดียวกัน คือ ไม่ทาย้อนขึ้นย้อนลง การถูจะทำให้ครีมนี้หลุดออกไป โปรดอย่าลืมทาครีมกันแดด หลังจากที่ทาครีมหรือน้ำยาให้ความชุ่มชื้นแล้ว จากนั้นจึงทาทับด้วยครีมรองพื้นอีกชั้นหนึ่งควรทำเช่นนี้ทุกเช้าจนเป็นกิจวัตรประจำวัน


สารเคมีในผลิตภัณฑ์กันแดดประกอบด้วยไทเทเนียมไดออกไซด์ และ ซิงค์ออกไซต์สารเหล่านี้เป็นสารทึบแสงทำให้แสงแดดไม่กระทบถึงผิวหน้า พวกยามรักษาการณ์บริเวณชายหาดริมน้ำ มักใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบเหล่านี้


น้ำยากันแดด และเยลลีกันแดดจะดูดซับแสงที่รวมเอา พาบา คือ กรดพาราอะมิโนเป็นโซอิค หรือสารเคมีที่ได้จากสารอื่น และเป็นโซฟีโนน ขอให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีทั้ง พาบาและเป็นโซฟีโนน และอย่าลืมเคลือบริมฝีปาก จมูก และบริเวณรอบ ๆ ตา ซึ่งเป็นส่วนที่บอบบาง ถ้าคุณมีวง คล้ำ ๆ รอบ ๆ นัยน์ตา การตากแดดจะยิ่งทำให้รอบตาคล้ำมากยิ่งขึ้น


เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องป้องกันริมฝีปากด้วยครีมกันแดด ถ้าเราโดนแดดจัด ๆ ขณะที่กำลังเหนื่อย ๆ และเครียดแล้ว อาจจะเกิดอาการเจ็บหรือบวมได้ ถ้าหากเป็นห่วงว่าทาครีมกันแดดแล้วริมฝีปากจะไม่สวย อาจหาซื้อยากันแดดสำหรับทาริมฝีปากที่มีลักษณะคล้าย ๆ ลิปสติกที่ทาเคลือบให้ริมฝีปากชุ่มชื้นได้
ผิวที่แห้งมาก อย่าใช้น้ำยากันแดดที่ผสมแอลกอฮอล์ และโปรดจำไว้ว่าน้ำยาที่ผสมน้ำมันที่คุณทาผิวเพียงครั้งเดียว จะเท่ากับเยลแห้งเร็วที่คุณทาเคลือบไว้ถึงสองชั้น


อย่าลืมทดสอบน้ำยากันแดดที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายคุณก่อนที่จะชโลมน้ำยากันแดดไปทั้งตัว เพราะคุณอาจจะแพ้กรดพาราอะมิโนเบ็นโซอิค หรือพาบาก็ได้


ถ้าคุณคิดว่าน้ำมัเบบี้ออยล์หรือน้ำมันมะพร้าวช่วยป้องกันผิวไม่ให้เกรียมแดดละก็คุณกำลังจะพบปัญหาผิวแล้ว การวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าการชโลมน้ำมันแล้วไปตากแดดนั้นเหมือนกับเราเอาผิวหนังไปย่างอย่างไรอย่างนั้นเลย คุณจะโดนย่างจริง ๆ เร็วขึ้นถ้าคุณชโลมน้ำมันแล้วไปนั่งผึ่งแดด


โปรดจำไว้ด้วยว่า ยาบางชนิดจะทำให้ผิวเกรียมแดดง่ายกว่าปรกติ ดังนั้นคุณควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาที่รับประทานก่อนที่จะไปอาบแดด บรรดาสารที่จะทำให้ผิวรับแดดไว้ขึ้นได้แก่ ยาร์บิทูเรต ยาน้ำ ยาระงับประสาท ยาแก้แพ้ ยาลดความดันโลหิต และยาคุมกำเนิด

งานวิจัยบางชิ้นเสนอว่าการดื่มน้ำโซดาลดความอ้วน และการอาบน้ำด้วยสบู่ด้วยกลิ่นก่อนอาบแดดอาจยิ่งทำให้ผิวเกรียมแดดยิ่งขึ้น น้ำหอมก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ถ้าใส่น้ำหอมแล้วออกไปอาบแดด อาจทำให้เกิดผื่นคันหรือชาเฉพาะที่

11.5.09

ดื่มนมเปรี้ยวไม่ทำให้ผอม

นมเปรี้ยวกำลังเป็นที่นิยมดื่มในหมู่สาวๆ ที่กลัวอ้วน อยากลดน้ำหนัก ทั้งพ่อแม่ก็นิยมซื้อให้ลูกดื่มด้วยเข้าใจว่ามีประโยชน์เหมือนดื่มนมสด

แถมยังเข้าใจว่าดื่มแล้วไม่อ้วนอีกด้วย ซึ่งก็เป็นผลจากภาพโฆษณาที่ใช้นางแบบรูปร่างผอมบาง จึงชวนให้เชื่อว่าดื่มแล้วผอมเหมือนนางแบบ

นมเปรี้ยวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำนม มาหมักด้วยจุลินทรีย์ที่ไม่ทำให้เกิดโรค จุลินทรีย์จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น และทำปฏิกิริยากับน้ำตาลแลคโตส ซึ่งเป็นน้ำตาลธรรมชาติในน้ำนม เกิดกรดแลคติคที่มีรสเปรี้ยว ได้นมที่มีลักษณะเป็นครีมข้นๆ เรียกว่า โยเกิร์ตชนิดรสธรรมชาติ แต่ในบ้านเรานิยมเติมน้ำตาล น้ำเชื่อม ผลไม้เชื่อมลงไป หรือทำให้เหลวแล้วเติมน้ำตาล และแต่งรสผลไม้เป็นนมเปรี้ยวชนิดดื่ม ซึ่งเป็นชนิดที่นิยมกันมาก

แต่นมเปรี้ยวชนิดดื่มที่นิยมกันอย่างมากในปัจจุบันนั้น ส่วนใหญ่มีนมเป็นส่วนประกอบเพียงร้อยละ 35-50 และที่สำคัญนมเปรี้ยวชนิดดื่มเหล่านี้ รวมทั้งชนิดไลท์ที่ทำมาจากนมพร่องมันเนย มีน้ำตาลผสมสูงถึงร้อยละ 8-20 สูงกว่านมหวานอย่างมาก และสูงใกล้เคียงกับน้ำอัดลมทีเดียว

"ดื่มนมเปรี้ยว 1 กล่อง (180 มล.) จึงได้น้ำตาล 3 ช้อนชา บางยี่ห้อมีน้ำตาลสูงถึง 7 ช้อนชา ในขณะที่แนะนำให้กินน้ำตาลไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา ดื่มนมเปรี้ยววันละ 2 กล่อง จึงหมดโควตาแล้ว จึงไม่ต้องสงสัยว่ายิ่งดื่มนมเปรี้ยวมาก วันละหลายกล่อง แทนที่จะผอมลง กลับน้ำหนักเพิ่มขึ้น เพราะนมเปรี้ยวที่มีน้ำตาลสูงเหล่านี้ให้พลังงานพอๆ กับนมสดรสจืด และสูงกว่านมจืดพร่องมันเนย แต่มีโปรตีน แคลเซียม วิตามิน และแร่ธาตุอื่นเพียงครึ่งเดียว และไม่ต้องหวังว่าจะได้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิต เนื่องจากกระบวนการผลิตนมเปรี้ยวชนิดดื่มแบบยูเอชที จุลินทรีย์ตายหมดแล้ว

จึงควรเข้าใจเสียใหม่ว่านมเปรี้ยวไม่ได้ช่วยให้ผอม คนอ้วนจึงควรดื่มนมจืดพร่องมันเนย ถ้าดื่มนมสดแล้วไม่สบายท้องหรืออยากเปลี่ยนรสชาติบ้าง ก็ให้เลือกโยเกิร์ตรสธรรมชาติ หรือเพลนโยเกิร์ต จะดีกว่า คนที่ไม่อ้วนถ้าอยากดื่มนมเปรี้ยวให้เลือกชนิดที่มีส่วนผสมเป็นนมวัวสูง และมีน้ำตาลต่ำ

ที่มา : adsthai.net

8.5.09

ดื่มนม แล้ว ท้องเสีย เลิกดื่ม ดีไหม

ดื่มนม แล้ว ท้องเสีย เลิกดื่ม ดีไหม

แต่มันช่วยสร้างแคลเซียม ป้องกันมะเร็งและเบาหวาน ปัญหา การดื่มนมแล้วท้องเสียนี้พบได้บ่อยพอสมควร โดยเฉพาะในคนไทยและคนในทวีปเอเชียและแอฟริกา เมื่อพบปัญหานี้ คนส่วนใหญ่มักจะแก้ไขโดยการหลีกเลี่ยงการดื่มนมไปเลย ก็ถือว่าเป็นการกำจัดที่ต้นเหตุที่ถูกต้องวิธีหนึ่ง แต่มีผลเสียคือ ทำให้ขาดการดื่มนม ซึ่งอาจทำให้ความแข็งแรงของกระดูกในร่างกายลดลงได้ นมถือได้ว่าเป็นแหล่งอาหารที่ให้แคลเซียมมากที่สุด การจะรับประทานอาหารอื่น ๆ เพื่อให้ได้จำนวนแคลเซียมเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายนั้นทำได้ยาก และต้องรับประทานอาหารจำนวนมาก และเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นไปได้ยาก เมื่อเปรียบเทียบกับการดื่มนม ซึ่งทำได้ง่ายและสะดวกกว่า อีกทั้งการดื่มนมเพียงวันละ 2-3 แก้ว ก็จะได้รับจำนวนแคลเซียมเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

ทำไมดื่มนมแล้วจึงท้องเสีย? คำ ถามนี้เป็นคำถามที่มีผู้ให้ความกระจ่างได้น้อย หลาย ๆ คนที่เกิดอาการนี้มักจะคิดว่า ตนเองแพ้นมวัว ดื่มนมทีไร ท้องเสียทุกครั้ง ความจริงก็คือ คนไทย คนแถบเอเชียและคนแถบแอฟริกานั้น จะมีน้ำย่อยสำหรับย่อยน้ำตาลแลคโตสตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 4-5 ปี หลังจากอายุนี้ น้ำย่อยนี้จะลดน้อยลงจนหมดไป จึงย่อยน้ำตาลแลคโตส ไม่ได้ ต้องเข้าใจให้ดีว่า น้ำตาลแลคโตสนี้พบในน้ำนม ที่ได้มาจากสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นนมวัวหรือนมแพะ จึงทำให้ดื่มนมที่ได้จากสัตว์ทีไรทำให้ท้องเสียทุกครั้งไป

แต่ ในปัจจุบันมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ดื่มนมวัวแล้วไม่เกิดอาการใด ๆ เลย ในทางการแพทย์เชื่อว่าเมื่อมีการดื่มนมวัวอย่างต่อเนื่อง แบคทีเรียในลำไส้จะมีการสร้างน้ำย่อยน้ำตาลแลคโตสนี้ขึ้นมา ซึ่งจะย่อยน้ำตาลแลคโตส ได้ จึงทำให้คนที่ดื่มนมอย่างต่อเนื่องจะไม่เกิดปัญหาการย่อยนมที่ดื่ม

นอก จากอาการท้องเสียแล้ว อาการอื่นที่คนทั่วไปอาจนึกไม่ถึงว่าเกิดจากการย่อยนมไม่ได้ดีก็คือ อาการท้องอืด จุกเสียด และแน่นหน้าอก รวมทั้งการผายลมบ่อย ๆ

เมื่อ พบปัญหานี้คือ ท้องเสีย จุกเสียด แน่นท้อง ทุกครั้งที่ดื่มนม คนส่วนใหญ่ก็มักจะเลิกดื่มนมไปเลย แต่ความเป็นจริง เราสามารถจะชนะอาการเหล่านี้ได้ทุกคน ขออย่าได้ท้อแท้ โดยในขั้นแรกให้ดื่มนมหลังรับประทานอาหารเช้า โดยดื่มประมาณ 30 มล. วันเว้นวัน ถ้ามีอาการดังที่กล่าวมาอย่างใดอย่างหนึ่ง ในครั้งต่อไปก็ให้ลดจำนวนนมลงมาครึ่งหนึ่ง จนมั่นใจว่า ไม่มีอาการ เช่น ดื่มนมหลังอาหารเช้าเพียง 15 มล. แล้วไม่เกิดอาการใด ๆ ก็ให้คงการดื่มนั้น ไปสัก 7 วัน ในสัปดาห์ต่อมาให้ดื่มนมเพิ่มเป็น 30 มล. โดยให้ดื่มทุกวันหลังอาหารเช้าเช่นเดิม และในสัปดาห์ต่อมาจึงเพิ่มเป็น 60 มล. ทุก ๆ วัน แล้วเพิ่มครั้งละ 30 มล. ในทุกสัปดาห์ ถ้าไม่มีอาการใด ๆ ก็ให้เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ จน ถึง 240 มล. หรือประมาณ 1 แก้ว หรือ 1 กล่องนม ก็จะเป็นจำนวนนมที่ต้องการได้ ในกรณีที่เพิ่มไปได้เพียง 150 มล. แล้วเกิดอาการจุกเสียด ก็ให้ลดลงมาในระดับก่อนหน้าที่ไม่เกิดอาการ แล้วคงระดับนั้นไปอีก 2-3 สัปดาห์จึงค่อยเพิ่มจำนวนอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อ สามารถดื่มนมได้ครั้งละ 240 มล. หลังอาหารโดยไม่เกิดอาการใด ๆ ก็มีโอกาสสูงที่จะสามารถดื่มนมในขณะท้องว่างหรือก่อนอาหารได้ โดยในขั้นแรกอาจจะลองดื่มเพียง 60 มล. ก่อน แล้วค่อยเพิ่มเป็นครั้งละ 120, 180 และ 240 มล. ตามลำดับถ้าสามารถดื่มนมครั้งละ 240 มล. ในขณะท้องว่างโดยไม่เกิดอาการใด ๆ ภายหลังดื่ม 8 ชั่วโมง ก็แสดงว่าไม่มีปัญหาการย่อยและดูดซึมนมแล้ว ต่อไปก็ควรเพิ่มการดื่มนมเป็นวันละ 2 แก้ว หรือ 2 กล่อง

เนื่อง จากนมวัวที่เรานำมาดื่มนั้นมีการปรับแต่ง ทำให้มีหลายคุณภาพ โดยเฉพาะทางด้านไขมัน ที่เราเรียกว่า นมสด หรือรสจืดจะมีไขมันอยู่ 4% นมพร่องมันเนยจะมีไขมันอยู่ 2% และนมขาดมันเนยจะไม่มีไขมันเลย แต่นมทั้ง 3 ชนิดมีน้ำตาลแลคโตสเท่ากันคือ 4-5% จึงแตกต่างกันเฉพาะจำนวนไขมัน จึงให้พลังงานที่แตกต่างกัน แต่ให้จำนวนแคลเซียม แร่ธาตุ น้ำตาลนมและโปรตีนเท่ากัน โดยนมวัวสด นมพร่องมันเนย และนมขาดมันเนย จะให้พลังงาน 170, 130 และ 85 กิโลแคลอรีต่อ 240 มล. ตามลำดับ สำหรับผู้ใหญ่และเด็กที่มีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมแล้ว แนะนำให้ดื่มนมขาดมันเนย เพื่อจะลดจำนวนพลังงานที่ได้จากนม

ยัง มีนมวัวที่อยู่ในรูปอื่น ๆ ที่อาจจะรับประทานระหว่างวัน เช่น ชีส เค้ก หรือไอศกรีม ก็จะเป็นแหล่งที่ให้แคลเซียมเพิ่มเติม นอกจากนั้น ผักใบเขียว โดยเฉพาะบริเวณก้านก็จะให้แคลเซียมได้มากพอสมควร เช่น คะน้า และผักบรอกโคลี เพียงแต่การดูดซึมแคลเซียมจากผักอาจจะไม่ได้ดีเท่ากับ การดูดซึมจากนมและ ในบางโอกาสอาจจะไม่อยากดื่มนม หรือไม่มีโอกาสดื่มนมหรือไม่ชอบดื่มนม ก็สมควรที่จะรับประทานยาเม็ดแคลเซียมเสริมเป็นประจำทุกวัน อย่างต่ำวันละ 1,000 มิลลิกรัม ทั้งนี้เพื่อบำรุงกระดูกให้มีความแข็งแกร่งตลอดเวลา โดยร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และได้รับแสงแดดเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 20 นาทีขึ้นไป ก็จะทำให้คุณภาพของกระดูกในร่างกายแข็งแรงอย่างเต็มที่ และยังช่วยป้องกันมะเร็งและเบาหวานได้ด้วย.

ที่มา : adsthai.net

6.5.09

อาการระหว่างตั้งครรภ์

อาการระหว่างตั้งครรภ์

เมื่อลูกในท้องเติบโตขึ้น คุณแม่อาจเริ่มรู้สึกไม่สบายตัว การแบกรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาทำให้ปวดหลังและอ่อนเพลีย เมื่อมดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นไปเบียดกระเพาะและลำไส้ จะทำให้เกิดอาการแสบแน่นหน้าอก ยิ่งกว่านั้นยังมีอาการ
ท้องผูก และ ริดสีดวงทวาร ด้วย ผลข้างเคียงอื่นๆ ของการตั้งครรภ์ยังรวมไปถึงภาวะบวมน้ำ ทำให้ข้อเท้าบวม และอาการเส้นประสาทข้อมือบาดเจ็บ (ทำให้นิ้วมือชา ปวดข้อมือ) ท้ายที่สุด คุณอาจมีเส้นเลือดขอดพร้อมๆ กับริ้วรอยแตกลายบนหน้าท้องและหน้าอก!

คลายความอ่อนเพลีย

งีบสัก 30 นาทีทุกวัน โดยยกเท้าขึ้นสูงกว่าลำตัวเพื่อให้ขาทั้งสองผ่อนคลาย
ออกกำลังกายเบาๆ ทุกวัน เช่น เดินหรือว่ายน้ำ เพื่อความแข็งแรงและช่วยให้คลอดง่าย
แก้เท้าบวม

แช่เท้าในน้ำร้อนและน้ำเย็นสลับกันเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น เอาน้ำร้อนเทใส่อ่างใบใหญ่ใบหนึ่ง และเทน้ำเย็นใส่อ่างอีกใบ แช่เท้าทั้งสองในอ่างน้ำร้อนนาน 3 นาที แล้วแช่ในอ่างน้ำเย็น 30 วินาที สลับกันอย่างนี้ 6 ครั้งโดยจบลงที่อ่างน้ำเย็น

หลังจากแช่เท้าแล้ว นั่งพักอย่างน้อย 10 นาทีโดยยกเท้าพักไว้
แก้แสบแน่นหน้าอก

1,001 ตำรับยาใกล้ตัว

นอกจากเด็กที่กำลังเติบโตจะเพิ่มความกดดันให้ท้องคุณแล้ว ฮอร์โมนระหว่างตั้งครรภ์ยังทำให้กล้ามเนื้อปลายหลอดอาหารของคุณหย่อน กรดในกระเพาะอาหารจึงถูกดันให้ไหลย้อนขึ้นมาตามหลอดอาหารได้ง่าย ลองใช้วิธีต่อไปนี้...

2.5.09

ผักผลไม้ 7 อย่าง ที่คุณผู้หญิง ไม่ควรพลาด

ผักผลไม้ 7 อย่าง ที่คุณผู้หญิง ไม่ควรพลาด

เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของคุณสาวๆ ขอแนะนำผักผลไม้ 7 ชนิด สำหรับคุณผู้หญิง ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีสารที่เป็นประโยชน์แก่หญิงทุกวัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม และยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย ดังนี้

ลูกพรุน (Prunes)
ลูก พรุน เป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ที่สำคัญพรุน ช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด ผู้หญิงเราเมื่อผ่านช่วงสดใสของชีวิต คือวัยยี่สิบห้า ร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันเริ่มเข้าสะสมตามที่ต่างๆ มากมาย ใบหน้าที่เคยอวบอิ่มด้วยเลือดฝาด ก็เริ่มหมองคล้ำผิวพรรณจะเป็นสีชมพู- ระเรื่อหรือซีดโทรม เกิดได้หลายสาเหตุ เช่นผิวมีความหนามากขึ้นตามวัย จนมองไม่เห็น เลือดฝาด หรือเลือดไม่มีให้ฝาด คือเป็นโรคโลหิตจางนั่นเอง พรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78มิลลิกรัมและมีวิตามิน ซี ซึ่งช่วยในการดูดซึมธาตุต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากคุณผู้หญิงอยากมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ริมฝีปากแดงสดเหมือนสตรอเบอรี่ แก้มแดงใสเหมือนลูกเชอรี่ โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอางดู เป็นคนที่มีสุขภาพดีสมบูรณ์ด้วยเลือดฝาด ลองรับประทานลูกพรุนสดๆ หรือลูกพลัมดูสิค่ะไม่เลวเลยทีเดียว

ถั่ว
ผู้หญิง ทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสม“ถั่วช่วยคุณได้ค่ะ ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่า เมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งถั่วมีอยู่แล้วมากมาย) ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่ม-นานความอยากอาหารจะลดลง ซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์กับคุณสุภาพสตรี ที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก

บรอคโคลี่
เป็น พืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่ง สำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลาย เพราะบรอคโคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติ ซึ่งเจ้าตัวซีลีเนียมนี้แหละค่ะ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ (ซีลีเนียม จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว ) แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย

แอปเปิ้ล

มี สารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ “เพคติน”แต่ที่น่าสนใจสำคัญคุณผู้หญิงทั้งหลายคือ เจ้าตัว “เพคติน”นี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดโคเลสเตอรอลหากคุณหิวจนตาลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารแอปเปิ้ลสักลูก จะช่วยลดความหิวได้ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาล ในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 % ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึม น้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็ว และนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้น ความอยากอาหารจึงลดลงทำให้คุณไม่รู้สึกหงุดหงิด หรือ อ่อนเพลีย แอปเปิ้ล 2-3 ผลต่อวัน ช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ เพราะแอปเปิ้ลมีเพคตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ผลจากการวิจัยชี้ว่า เมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมัน และแยกโคเลสเตอรอลออกมาเสร็จสิ้นแล้ว เพคตินจากแอปเปิ้ล จะไปคอยดักจับโคเลสเตอรอลเหล่านั้น และพาไปทิ้งก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าร่างกาย

กล้วยไข่
กล้วย ทุกชนิดดีต่อสุขภาพ แต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษ ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดี คือ เบต้าแคโรทีนโดยธรรมชาติ เมื่อเราอายุพ้นยี่สิบสองไปแล้ว ความเจริญเติบโตของร่างกาย จะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆ ของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ ขณะนั้นเองมีสองสิ่งที่สำคัญเกิดขี้นในร่างกายของเรา ซึ่งก็คือ สิ่งแรก เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์จะผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น สิ่งที่สองความสามารถในการซ่อมแซม ส่วนที่สึกหรอของร่างกายจะลดลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นความสามารถ ในการจำกัดอนุมูลอิสระ ( Detoxification )ก็ลดลงอย่างน่าตกใจเช่นกัน ดังนั้น กลยุทธ์ที่คุณจะสู้กับความแก่ด้วยตนเอง ก็คือ คุณต้องรับประทานอาหาร ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระให้มาก ซึ่งสารนี้เรารู้จักในชื่อที่ เรียกว่า แอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidants) ซึ่งในกล้วยไข่ 1 ขีด มีสารเบต้าแคโรทีนถึง 492 มิลลิกรัม

ฝรั่ง
คุณ ผู้หญิงทั้งหลายทราบหรือไม่คะว่าฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซี มีบทบาทในการสร้างคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึง ไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เอง ที่ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพ ผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกาวิตามินซี มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (ConnectiveTissue) เซลล์นับล้านๆ ตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณผู้หญิงทั้งหลายเต่งตึงนั่นเอง และเพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆ ทั้งหลายที่อยากคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ผิวสวยไว้นานๆ น่าจะลองหันมารับประทานฝรั่งเป็นประจำนะคะ

ส้ม
แหล่ง วิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติ การรับประทานส้มโดยไม่คายกาก จะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับ คนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค้กก้อนโต หรือโดนัทชิ้นใหญ่ ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทน จะได้ประโยชน์มากกว่าในราคาที่ถูกกว่าด้วยนะคะ

ผักและผลไม้ทั้ง 7 ชนิดที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นสำหรับคุณๆ ผู้หญิงทุกท่านที่ต้องการรักษาสุขภาพ นอกจากผักผลไม้ทั้งเจ็ดนี้แล้ว ผักและผลไม้อื่นๆ ก็มีคุณประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน สถาบันโภชนาการแห่งชาติอเมริกา จึงได้แนะนำขนาดในการรับประทานผักผลไม้ในแต่ละวันว่า ควรจะรับประทานรวมกันให้ได้ วันละครึ่งกิโล หรือ 5 ขีดจะช่วยให้คุณๆ ทั้งหลาย มีสุขภาพแข็งแรง แจ่มใส ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมารบกวนค่ะ