1.12.15

สมุนไพรรักษาสิว จากธรรมชาติ 8 ชนิด คืนหน้าสวยใสไร้สิว

เชื่อว่าปัญหาเรื่องสิว ถือว่าเป็นปัญหาที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก สมุนไพรรักษาสิว ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง โดยเฉพาะการรักษาสิวด้วยวิธีต่างๆ เพราะปัจจุบันมียารักษาสิวมากมายให้ได้เลือกใช้ แต่ก็ไม่น่าไว้ใจในเรื่องของความปลอดภัยที่จะตามมา เพราะการรักษาสิวบางวิธีอาจก่อให้เกิดอันตรายที่หนักขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง วันนี้เราจึงหยิบนำสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ วิธีการรักษาสิวด้วยสมุนไพรจากธรรมชาติ ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย หรือก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามขึ้นมาอีกนั่นเอง ถ้าอยากรู้ว่าสมุนไพรต่างๆ มีวีการรักษาแบบไหน ต้องตามมาอ่านพร้อมๆ กันเลยค่ะ

1.หอมแดงสด
ทราบกันหรือไม่ว่าหอมแดงสด ประกอบไปด้วยน้ำมันหอมระเหยและสารต่างๆ ซึ่งล้วนมีคุณสมบัติที่ช่วยยับยั้งเรื่องของเชื้อโรค แบคทีเรีย ซึ่งถือว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดเป็นสิวบนใบหน้านั่นเอง สำหรับวิธีการรักษาสิวด้วยหอมแดงสดก็ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่นำหอมแดงสดมาฝานเป็นแว่นบางๆ หรืออาจจะใช้วิธีการทุบแต่เพียงเบาๆ แล้วแตะน้ำที่ซึมออกมาจากหอมแดงสดนำมาทาตรงบริเวณที่เป็นสิวหรือรอยจุดด่างดำ จะทำให้รอยสิวค่อยๆ จางหายไปในไม่ช้านั่นเองค่ะ

2.มะม่วงสุก
เนื่องจากมะม่วงเป็นผลไม้ที่มีกรดอ่อนๆ ซึ่งมีความสามารถช่วยในการผลัดเซลล์ผิว ดังนั้นจึงสามารถนำมะม่วงมาใช้ในการแก้ปัญหาสิวได้เช่นเดียวกัน เพียงแค่นำมะม่วงสุก 1 ผล นำมายีจนข้นเหลว จากนั้นเติมน้ำมะนาวประมาณครึ่งช้อนโต๊ะ ดินสอพอง 1/4 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา จากนั้นก็ยีส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันอีกครั้ง แล้วนำมาปั่น นำส่วนผสมที่ได้มาทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาดต่อไป

3.ทุเรียน
ทุเรียนเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยธาตุกำมะถัน ซึ่งมีส่วนช่วยให้เม็ดสิวแห้งเร็วขึ้น อีกทั้งยังช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื่นไปพร้อมๆ กับการช่วยกระตุ้นให้รูขุมขนผลักสิ่งสกปรกที่มีอยู่ให้ออกมาด้วย สำหรับวิธีการนำทุเรียนมาใช้ในการรักษาสิวสามารถทำได้โดยการนำเนื้อทุเรียนห่ามประมาณ 3-5 ช้อนโต๊ะ หั่นเนื้อทุเรียนให้เป็นชิ้นเล็กๆ นำมาปั่นเข้าด้วยกันกับดินสอพอง 1/4 ช้อนโต๊ะ จนเป็นเนื้อครีมละเอียด แล้วต่อด้วยการล้างหน้าให้สะอาด จากนั้นนำครีมที่ได้มาพอกให้ทั่วใบหน้า ยกเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น แล้วค่อยตามด้วยน้ำเย็นเพื่อให้เกิดการกระชับรูขุมขน ทำประมาณสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าปัญหาสิวเสี้ยนบนใบหน้าค่อยๆ ลดลง แถมยังทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่มอีกด้วย

4.ใบบัวบก
ทราบกันหรือไม่ว่าสารสกัดในใบบัวบกนั้น มีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบและอาการแพ้ต่างๆ รวมทั้งช่วยในการสมานผิว ป้องกันแผลเป็น และลดการสะสมของแบคทีเรียได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว สำหรับการนำใบบัวบกมารักษาสิวนั้น สามารถทำได้โดยการนำใบบัวบกผงมาผสมกับน้ำสะอาด จากนั้นนำมาพอกให้ทั่วใบหน้า ทั้งนี้ควรระมัดระวังผิวรอบดวงตา เพราะอาจจะทำให้เกิดการระคายเคือง หากกระเด็นเข้าดวงตาได้ วิธีการนี้จะทำให้สิวบนใบหน้าแห้งและหายเร็วขึ้นนั่นเอง

5.ว่านหางจระเข้
อย่างที่หลายคนทราบกันดีว่าว่านหางจระเข้นั้น มีสรรพคุณในการช่วยบำรุงผิว อีกทั้งยังช่วยป้องกันฝ้า ลบรอยของจุดด่างดำ รวมทั้งรักษาสิวบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี สำหรับวิธีการนำว่านหางมาใช้ในการรักษาสิวนั้น สามารถทำได้ด้วยการนำวุ้นจากใบสดของว่านหางจระเข้ มาทาบริเวณที่มีสิว ปล่อยให้แห้งโดยไม่ต้องล้างออก  ทำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ปัญหาเรื่องสิวจะค่อยๆ หายไปจากใบหน้าได้มากแล้วล่ะค่ะ

6.ขมิ้นชัน
ขมิ้นชัน ถือเป็นสมุนไพรที่ได้รับการยกย่องในเรื่องของการรักษาแผลต่างๆ ในร่างกาย อีกทั้งยังมีส่วนในการทำให้ผิวสวยใสได้เป็นอย่างดี เพราะมันมีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวใหม่ เพียงแค่นำ ขมิ้นชันผง 1 ช้อนชา ปูนแดงประมาณครึ่งช้อนชา และน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ นำทั้งสามส่วนผสมมาผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน หลังจากนั้นล้างหน้าให้สะอาด แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาแต้มที่หัวสิว ทิ้งไว้จนกว่าเนื้อครีมจะแห้ง แนะนำให้แต้มทุกเช้า-เย็น จนกว่าหัวสิวจะยุบและหายไปค่ะ

7.ไพล
ไพลเป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการช่วยผลัดเซลล์ผิวใหม่ ซึ่งนำมาใช้ในการรักษาสิวได้ด้วยการนำไพลมาละลายลงในน้ำสะอาด จากนั้นนำมาทำความสะอาดในบริเวณที่เป็นสิวอักเสบเป็นประจำทุกวัน วิธีนี้ จะช่วยลดอาการอักเสบของสิวบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี

8.เสลดพังพอน
เสลดพังพอนเป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ซึ่งสามารถนำมารักษาสิวบนใบหน้าได้ด้วยการนำน้ำที่สกัดจากเสลดพังพอน มาทาในบริเวณที่เป็นสิวอักเสบ รับรองได้เลยว่าวิธีนี้จะช่วยลดอาการอักเสบของสิวลงได้อย่างแน่นอน

สาวๆ ที่กำลังมีปัญหาเรื่องของสิวบนใบหน้า จนไม่รู้ว่าจะเลือกใช้วิธีการรักษาอย่างไร เพื่อให้เกิดความปลอดภัยหลังจากการรักษา ขอแนะนำให้ลองหันมาใช้ สมุนไพรรักษาสิว โดยสมุนไพรต่างๆ ที่เราได้นำเสนอกันไปข้างต้นค่ะ เพราะสมุนไพรเหล่านั้น นอกจากจะช่วยในการรักษาสิวได้เป็นอย่างดีแล้ว มันยังไม่ก่อให้เกิดอันตายใดๆ แก่ผิวหน้าอีกด้วยค่ะ


 

เคล็ดลับบำรุงร่างกายและผิวพรรณให้อ่อนเยาว์ด้วยสัปปะรด

สับปะรด เป็นผลไม้สีเหลืองรสหวานที่มีสารอาหารอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็น วิตามินบีสอง วิตามินซี  แคลเซียม ฟอสฟอรัส และไนอะซีน ซึ่งสารอาหารเหล่านี้เป็นสารอาหารที่ร่างกายของเราต้องการ อีกทั้งยังเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณครอบคลุมหลายด้าน ทั้งในเรื่องของความงามและการรักษาโรคอีกด้วย

สัปปะรดกับการรักษาโรค

วิตามินซีที่มีอยู่มากในผลไม้ชนิดนี้จะช่วยบำรุงผิวพรรณให้แลดูเปล่งปลั่ง และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย อีกทั้งยังมีแคลเซียมที่ช่วยในการเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ซึ่งใครที่กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับเหงือกและฟัน เช่น เหงือกร่น เสียวฟันบ่อยๆ ลองกินสัปปะรดเป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพในช่องปากของเราได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ สารโบลามีในสัปปะรดยังช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย ย่อยอาหาร บำรุงไต และที่สำคัญก็คือ จะช่วยทำปฏิกิริยาต่อต้านการเพิ่มจำนวณของเซลล์มะเร็งภายในร่างกายได้ด้วย ซึ่งถ้าหากเรานำรากและใบสับปะรดสด ไปต้มกับน้ำและนำมาดื่ม ก็จะใช้ดื่ม ก็จะช่วยขับปัสสาวะ ทำความสะอาดระบบทางเดินอาหาร และระบบลำไส้ได้เป็นอย่างดี

สัปปะรดช่วยให้ร่างกายแข็งแรง

– วิตามินซีในสัปปะรดจะช่วยในการทำงานของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ร่างกายของเราจึงไม่ติดเชื้อได้ง่าย
– เพราะในสับปะรดนั้นมีกากใยอาหารมากมาย จึงเป็นตัวช่วยลดคอเลสเตอรอลและควบคุมระดับน้ำตาลในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีเอนไซม์ตามธรรมชาติที่ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งได้อีกด้วย
– ในสับปะรดจะมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์อยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีส ที่มีส่วนช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์ภายในร่างกาย
– เอนไซม์โบรมีลีนจะช่วยยับยั้งการอักเสบของผิวหนังหรือบาดแผลได้ ซึ่งชาวอเมริกาในสมัยโบราณใช้สับปะรดเป็นยารักษาโรคผิวหนังและรักษาบาดแผลด้วย

สัปปะรดกับความงาม
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าในสัปปะรดนั้นมีวิตามินหลายชนิดที่ช่วยให้ผิวพรรณและช่วยในเรื่องของการลดความอ้วนด้วย เรามาดูสรรพคุณของเจ้าสัปปะรดในด้านความงามกันบ้างดีกว่าค่ะ

สัปปะรดช่วยบำรุงเล็บให้แข็งแรง และมือให้นุ่มชุ่มชื่น
สาวๆ คนไหนที่มีปัญหาเล็บเปราะแตกหักง่าย หรือมีปัญหามือแห้งเหี่ยวดูไม่สดใส การกินสัปปะรดจะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินอย่างเพียงพอ นอกจากนี้หากเรานำน้ำสัปปะรดมาแช่มือไว้สัก 20 นาที ก็จะช่วยให้มือนุ่มขึ้นได้ค่ะ
-
สัปปะรดกับการลดความอ้วน
เพราะในสัปปะรดนั้นจะมีกากใยอาหารอยู่มากเป็นพิเศษ เมื่อกินเข้าไปแล้วจึงช่วยให้เราอิ่มท้องได้นานขึ้น แถมยังช่วยย่อยสลายไขมันในร่างกายได้เป็นอย่างดีอีกด้วยล่ะ


28.11.15

3 สูตรหมักผมเพื่อบำรุงผมสวยจากธรรมชาติ

1. สูตรหมักผมสำหรับคนผมแห้ง
สำหรับผู้ที่มีผมแห้งเส้นผมจะมีลักษณะแดงแตกปลาย กรอบหัก และหลุดร่วงได้ง่าย แต่ก่อนการหมักผมทางที่ดี
คุณควรตัดและเล็มปลายผมกันบ้างเล็กน้อยเพื่อตัดเอาผมที่เสียและแตกปลายออกไป จากนั้นจึงมาหมักผมด้วยสูตรต่างๆ ดังต่อไปนี้

1.1 หมักผมด้วยไข่แดง และน้ำมันมะพร้าวสิ่งที่ต้องเตรียม ไข่ไก่ 2 ฟอง เอาเฉพาะไข่แดง และน้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ นำไข่แดงและน้ำมันมะพร้าวมาผสมให้เข้ากันแล้วนำมาชโลมให้ทั่วเส้นผม แต่ก่อนจะชโลมอย่าลืมหวีผมให้เรียบร้อยกันก่อนด้วยนะคะ เพื่อป้องกันไม่ให้ผมพันกันและเอาเศษสิ่งสกปรกที่เราอาจจะมองไม่เห็นออกไป จากนั้นให้หมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกให้สะอาดตามด้วยการสระผมแบบปกติ วิธีนี้ควรทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน หรือถ้ามีเวลาอาจจะทำมากกว่านั้นใน 1 สัปดาห์ก็ได้นะคะ แล้วคุณจะรู้สึกได้เลยว่าสุขภาพผมของคุณจะค่อยๆ ดีขึ้น และนุ่มขึ้นได้อย่างที่คุณต้องการ

1.2 หมักผมด้วยน้ำมันมะกอกวิธีนี้จะเลือกใช้เป็นน้ำมันมะกอกแบบอุ่นๆ หรือแบบธรรมดาก็ได้นะคะ แต่แบบอุ่นจะซึบซาบเข้าสู่แกรนผมได้ดีกว่า
วิธีทำ ให้นำน้ำมันมะกอกมาชโลมให้ทั่วเส้นผมทิ้งไว้ได้นานเท่าที่เราต้องการหรืออย่างน้อย 30 นาที แต่ถ้าใครจะชโลมทิ้งไว้ตอนก่อนนอนแล้วโพกศีรษะหมักไว้ตลอดทั้งคืนก็ได้เช่นกันนะคะ จากนั้นตื่นเช้ามาค่อยล้างออกแล้วสระผมตามปกติ นอกจากนี้แล้วเรายังสามารถหมักผมด้วยน้ำมันมะกอกได้กันทุกวันอีกด้วย แต่ถ้าไม่มีเวลาในช่วงแรกควรหมักให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เมื่อทำเป็นประจำแล้วปัญหาผมแห้งแตกปลายของคุณก็จะหายไปได้

1.3 หมักผมด้วยน้ำผึ้งและไข่แดงสิ่งที่ต้องเตรียมไข่แดงประมาณ 2 ฟอง และน้ำผึ้งประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ ควรกะปริมาณให้พอเหมาะกับเส้นผมกันด้วยนะคะ เพราะผมสั้นและผมยาวจะใช้ปริมาณที่แตกต่างกัน
วิธีทำ เมื่อได้วัตถุดิบที่ต้องการแล้วให้นำมาผสมให้เข้ากันแล้วนำส่วนผสมที่ได้มาชโลมให้ทั่วเส้นผม แล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง วิธีนี้ควรทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เมื่อทำเป็นประจำแล้วผมของคุณจะค่อยๆ ดีขึ้น และนุ่มลื่นขึ้นจนคุณสัมผัสได้
 
2. สูตรหมักผมสำหรับคนผมมัน
ถ้าคุณเป็นคนผมมันอันดับแรกเลยคุณควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในการทำความสะอาดและดูแลเส้นผมที่เป็นสูตรเฉพาะสำหรับคนผมมันกันด้วยนะคะ นอกจากนี้แล้วคนที่ผมมันมักจะมีหนังศีรษะมันซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดรังแค ดังนั้นเรามาหมักผมเพื่อลดปัญหาความมันของเส้นผมและหนังศีรษะกันดีกว่าค่ะ สำหรับสูตรหมักผมจะมีดังนี้

2.1 สูตรหมักผมมะนาวและไข่ขาวส่วนผสมที่ใช้ มะนาว 1 ลูก บีบเอาแต่น้ำ และไข่ไก่ 2 ฟอง แยกเอาแต่ไข่ขาว
วิธีทำ นำน้ำมะนาวและไข่ขาวมาผสมให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียว จากนั้นนำมาชโลมให้ทั่วเส้นผมและหนังศีรษะ โดยวิธีนวดเพียงเบาๆ ให้ทั่ว แล้วให้มักทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำเปล่าให้สะอาด จากนั้นให้สระผมด้วยแชมพูสระผมที่เป็นสูตรเฉพาะคนผมมัน สำหรับสูตรนี้ควรทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ก็จะช่วยลดปัญหาความมันของเส้นผมและหนังศีรษะให้น้อยลงได้

2.2 สูตรหมักผมมะนาวและว่านหางจระเข้ส่วนผสมที่ต้องเตรียม ได้แก่ มะนาว 1 ลูก คั้นเอาแต่น้ำมะนาว และว่านหางจระเข้เลือกก้านแก่ๆ มา 1 ก้าน จากนั้นนำไปล้างน้ำให้สะอาดแล้วปลอกเปลือกออกขูดเอาแต่วุ้นใสๆ ที่อยู่ด้านใน
วิธีทำ ให้นำน้ำมะนาวและวุ้นของว่านหางจระเข้ที่ได้มาผสมให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียวแล้วนำไปชโลมให้ทั่วเส้นผมและหนังศีรษะ จากนั้นให้หมักทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด จากนั้นให้สระผมตามขั้นตอนปกติ วิธีนี้ให้ทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้งนะคะ หรือถ้าคุณพอจะมีเวลาในช่วงแรกควรทำให้ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เมื่อเส้นผมและหนังศีรษะลดความมันลงแล้วค่อยเปลี่ยนมาเป็นสัปดาห์ละครั้ง และเดือนละ 2 ครั้ง ตามลำดับ

2.3 สูตรหมักผมจากไข่ขาวสิ่งที่ต้องเตรียมไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเอาแต่ไข่ขาว และน้ำอุ่นประมาณ 1 แก้ว
วิธีทำ นำส่วนผสมทั้งสองอย่างมารวมกันและคนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียว จากนั้นนำมาชโลมให้ทั่วเส้นผมและหนังศีรษะ โดยวิธีนวดให้ทั่วเพียงเบาๆ จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด ตามด้วยการสระผมด้วยแชมพูให้สะอาดอีกครั้ง แต่ในขั้นตอนสุดท้ายให้เราล้างผมด้วยน้ำอุ่นเป็นอันเสร็จ จากนั้นเช็ดผมให้แห้ง สำหรับวิธีนี้ควรทำ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ในช่วงแรก เพื่อช่วยลดปัญหาเส้นผมและหนังศีรษะมันได้เร็วยิ่งขึ้น
2.4 สูตรหมักผมด้วยน้ำมะนาวสิ่งที่ต้องเตรียม มะนาว 1-2 ลูก นำมาคั้นเอาแต่น้ำ และน้ำเปล่า 1 ถ้วย
วิธีทำ นำน้ำมะนาวและน้ำเปล่ามาผสมให้เข้ากันแล้วนำไปชโลมให้ทั่วเส้นผมและหนังศีรษะ จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง แล้วจึงล้างออกให้สะอาด แล้วจึงสระผมตามขั้นตอนปกติ สำหรับสูตรควรทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ก็จะเป็นวิธีที่สามารถช่วยลดความมันของเส้นผมและหนังศีรษะของคุณได้เป็นอย่างดี
 
3. สูตรหมักผมสำหรับคนผมชี้ฟู
ผมชี้ฟูจะเป็นผมที่ค่อนข้างจัดทรงยาก ส่วนมากปัญหาผมชี้ฟูมักจะเกิดจากการที่ผมของเราโดนความร้อนบ่อยๆ และสารเคมีเป็นประจำ สำหรับสูตรหมักผมที่สามารถช่วยแก้ปัญหาผมชี้ฟูได้จะได้แก่
3.1 สูตรหมักผมจากน้ำผึ้งส่วนผสม น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำไปชโลมให้ทั่วเส้นผมแล้วให้หมักทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อครบแล้วให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาด และสระผมตามปกติ สำหรับสูตรนี้สามารถทำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ เมื่อทำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอเส้นผมของคุณจะค่อยๆ นุ่มขึ้น เรียบขึ้น และจัดทรงได้ง่าย

3.2 สูตรหมักผมจากกล้วยหอมสิ่งที่ต้องเตรียม
– กล้วยหอม 2 ผล
– ไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกใช้เฉพาะไข่ขาว
– น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ
– น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
– โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ นำส่วนผสมทั้งหมดมาปั่นจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นให้นำส่วนผสมที่ได้มาชโลมให้ทั่วเส้นผม คลุมด้วยหมวกคลุมอาบน้ำ แล้วให้หมักทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาทีหรือนานตามต้องการ แล้วจึงสระผมให้สะอาด ในระหว่างสระให้ใช้หวีซี่ห่างๆ แปรงผมเพียงเบาๆ เพื่อกำจัดเศษผงต่างๆ ที่อยู่ในส่วนผสมติดค้างอยู่บนเส้นผม สูตรนี้ควรทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง สำหรับสูตรหมักผมสูตรนี้จะมีส่วนผสมต่างๆ ค่อนข้างมากแต่รับรองได้เลยว่าเมื่อคุณทำเป็นประจำแล้วจะช่วยให้เส้นผมของคุณมีน้ำหนักขึ้น นุ่มขึ้น และหมดปัญหาเส้นผมชี้ฟูกันได้อย่างแน่นอนค่ะ

3.3 สูตรหมักผมจากไข่ขาวส่วนผสมที่ต้องเตรียม ไข่ไก่ 1 ฟอง แยกเอาแต่ไข่ขาว โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 4 ช้อนโต๊ะ และมายองเนส 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ นำไข่ขาวมาตีให้เป็นฟอง จากนั้นนำโยเกิร์ตและมายองเนสมาผสมให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียว แล้วให้ชโลมผมให้เปียกด้วยน้ำเปล่า จากนั้นจึงนำส่วนผสมที่ได้มาชโลมทับอีกครั้งให้ทั่วเส้นผม โดยให้หมักผมทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วจึงสระผมให้สะอาดตามขั้นตอนปกติ สูตรนี้ก็สามารถทำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ แต่อย่างน้อยควรทำให้ได้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ก็จะเป็นวิธีที่ช่วยให้เส้นผมของคุณจะค่อยๆ มีสุขภาพดีได้อย่างที่คุณต้องการ
สูตรหมักผมเพื่อผมสวยจากธรรมชาติอาจจะยังมีอีกหลายสูตร แต่สูตรที่นำมาแนะนำกันในบทความนี้จะเป็นสูตรที่สามารถช่วยแก้ปัญหาของเส้นผมอย่างได้ผล ใครมีสภาพผมเป็นแบบไหนและสะดวกกับการหมักผมด้วยวิธีใดก็อย่าลืมนำไปทดลองทำกันดูนะคะ ผมของคุณจะได้สวยและจัดทรงได้ง่ายอย่างที่คุณต้องการได้แล้ว


ที่มา : organicbook.com

12 สูตรขัดผิวให้ขาวกระจ่างใสทั่วเรือนร่าง

เชื่อว่าการที่ผู้หญิงเรามีผิวพรรณที่ขาวกระจ่างใสย่อมเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่ง
เพราะความสุขของผู้หญิงเราก็คือการที่ได้เห็นตัวเองสวยนั่นเอง เพราะฉะนั้น เราจึงมาเผยสูตรลับเพื่อผิวขาวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติทั่วเรือนร่าง
ด้วยสูตรขัดผิวหลากหลายสูตรที่หาได้จากวัตถุดิบธรรมชาติรอบตัวเรา แต่จะต้องนำมาขัดผิวกายอย่างเดียวเท่านั้นนะคะ เนื่องจากบางสูตรหากนำมาขัดผิวหน้า ส่วนผสมบางชนิดอาจจะออกฤทธิ์แรงเกินไปมันอาจจะทำให้ผิวบนใบหน้าของคุณสาวๆ ระคายเคืองเอาได้
ว่าแต่พร้อมที่จะมีผิวสวยกันหรือยังเอ่ย หากพร้อมแล้วเรามาดูสูตรขัดผิวให้ขาวใสพร้อมกันเลย

1. ใยบวบตัวช่วยขัดผิวใสจากธรรมชาติ
เป็นอุปกรณ์ขัดผิวที่เปรียบเสมือนตัวช่วยที่ทำให้ผิวขาวกระจ่างใสได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมอย่างมากสำหรับสาวๆ  ทุกสภาพผิวควรมีติดห้องน้ำกันไว้เลยค่ะ ในยามที่คุณอาบน้ำหลังจากชโลมฟองครีมอาบน้ำทั่วทั้งตัวแล้วให้หยิบใยบวบมาค่อยๆ ขัดเป็นวงกลมวนไปมาให้ทั่ว แต่ต้องขัดอย่างเบามือเท่านั้น เส้นใยจากใยบวบจะได้ไม่ขูดผิวจนแดงนั่นเอง อีกทั้งมันยังมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้อย่างดีทีเดียว เพียงเท่านี้ผิวพรรณสาวๆ ก็กระจ่างใสเปล่งปลั่งได้แล้วค่ะ

2. สูตรน้ำมะนาวและน้ำมันมะกอก
นำส่วนผสมได้แก่ น้ำมะนาว น้ำมันมะกอกและเกลือเม็ดหยาบมาผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำมาขัดผิวในขณะอาบน้ำให้ทั่วเรือนร่าง แล้วล้างออกให้สะอาด

3. สูตรมะขามเปียกและส่วนผสมอื่นๆ
นำส่วนผสมได้แก่ มะขามเปียก 1 กำมือ น้ำมะนาว 1 ผล น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 6 ช้อนชา น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชาและผงขัดผิว 5-6 ช้อนชามาผสมให้กลายเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำมาขัดผิวให้ทั่วทั้งตัว แล้วล้างน้ำให้สะอาด

4. สูตรมะเขือเทศและน้ำตาลทราย
ให้คุณฝานมะเขือเทศให้ได้แผ่นบางจากนั้นนำไปจุ่มกับน้ำตาลทราย แล้วนำมาขัดผิวให้ทั่วทั้งตัว ขัดจนกระทั่งน้ำตาลละลายออกไปจนหมด แล้วจึงเปลี่ยนแผ่นมะเขือเทศแผ่นใหม่ จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ 10 นาที แล้วจึงล้างออกให้สะอาด

5. สูตรขมิ้นสด
ใช้ขมิ้นสดขูดจนได้ผงละเอียดจากนั้นนำไปขัดผิวในตอนอาบน้ำกันได้เลยค่ะ หรือสามารถนำส่วนผสมจากธรรมชาติอื่นๆ ผสมลงไปด้วยก็ได้เช่นเดียวกัน เช่น นมสด น้ำมะนาว มะขามเปียก น้ำผึ้งและดินสอพอง เป็นต้น โดยใส่ผงขมิ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นผสมให้กลายเป็นเนื้อเดียวกันแล้วนำไปขัดผิวค่ะ

6. สูตรจากมันฝรั่งดิบ
ใช้มันฝรั่งดิบมาขูดแล้วห่อด้วยผ้าขาวบาง แล้วนำไปขัดถูผิวในขณะอาบน้ำ มันฝรั่งจะทำให้ผิวพรรณอ่อนนุ่ม เต่งตึงและขาวกระจ่างขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

7. สูตรนมสดรสจืด
ชโลมนมให้ทั่วผิวพรรณ เพื่อให้น้ำนมบำรุงสู่ผิวจะทำให้ผิวที่แห้งหยาบกร้านมีความเนียนนุ่มชุ่มชื้นยิ่งขึ้น และเมื่อชโลมจนผิวแห้งแล้วก็ให้นำใยบวบมาขัดวนเป็นวงกลม จากนั้นล้างออกให้สะอาด

8. สูตรสครับจากกากกาแฟ
ให้นำกากกาแฟที่ใช้แล้วปริมาณ 1 ถ้วยตวง มาผสมผงขมิ้นชัน 1 กรัมและมะขามเปียกที่คั้นได้น้ำประมาณ 1/2 ถ้วยตวง แล้วนำมาผสมให้กลายเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำไปขัดผิวให้ทั่วเรือนร่างประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกให้สะอาดโดยที่ไม่ต้องถูสบู่ซ้ำอีกครั้งค่ะ

9. สูตรแป้งข้าวจ้าว
ให้นำแป้งข้าวจ้าว 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับผงขมิ้นเพียงเล็กน้อยและนมสด 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นนำมาผสมให้กลายเป็นเนื้อเดียวกันแล้วนำไปฟอกถูตัวแทนสบู่ตอนอาบน้ำค่ะ

10. สูตรมะละกอสุกและโยเกิร์ต
ให้นำมะละกอสุก โยเกิร์ตรสธรรมชาติและเกลือทะเลมาปั่นรวมกันให้ละเอียด จากนั้นนำมาขัดผิวพร้อมนวดวนเบาๆ มือให้ทั่วแล้วล้างออกให้สะอาด

11. สูตรมะขามเปียก นมสดและน้ำผึ้ง
ให้คุณนำส่วนผสมทั้ง 3 อย่างมาผสมให้กลายเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำไปขัดผิวให้ทั่วแล้วล้างออกให้สะอาด

12. สูตรว่านนางคำ
ให้คุณนำส่วนผสมต่างๆ ได้แก่ ว่านนางคำ 100 กรัม ว่านไพร 25 กรัมและขมิ้นชัน 25 กรัมมาหั่นให้เป็นแผ่นบางนำตากแดดจนแห้งแล้วนำมาบดให้ละเอียด จากนั้นนำลิ้นทะเล 200 กรัม สารส้มสะตุ 200 กรัมและดินสอพองบดละเอียด 1,000 กรัม แล้วนำเอาส่วนผสมทั้งหมดนี้มาผสมให้กลายเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นให้นำไปใส่กระชอนแล้วร่อนจนได้ผงละเอียด แล้วนำเอาผงละเอียดนั้นไปขัดผิวต่อไปค่ะ

การขัดผิวที่ดีต้องเลือกขัดสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็เพียงพอแล้วค่ะ เพราะสาวๆ บางคนอาจเข้าใจว่าหากยิ่งอยากขาวก็ต้องยิ่งหมั่นขัดทุกวัน

แต่แบบนั้นจะทำให้ผิวของเราบอบบางไวต่อแดดมากขึ้นและยังเป็นการทำร้ายผิวไปในตัวอีก และหลังจากที่ขัดผิวกันเสร็จแล้วอย่าลืมทาครีมกันแดดปกป้องผิวที่มีค่า SPF 50 ขึ้นไปนะคะ เพราะแสงแดดบ้านเราร้อนระอุเป็นอย่างมาก ไม่เช่นนั้น ผิวสาวของคุณอาจต้องหมองคล้ำง่ายก็เป็นได้ค่ะ

ที่มา : organicbook.com