31.7.09

5 วิธีเพื่อเท้าสวย

5 วิธีเพื่อเท้าสวย

เท้าก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เรารู้ถึงความเอาใจใส่ดูแลตัวเองมากแค่ไหน ถ้าอยากมีเล็บเท้าสวยๆไว้อวดตอนใส่รองเท้าเปลือยๆ ต้องทำตามวิธีนี้
1. หาน้ำอุ่นมาแช่เท้าสัก 2 นาที ใส่เกลือสำหรับอาบน้ำลงไปด้วย แล้วใช้หินขัดผิวที่หยาบกร้านบริเวณส้นเท้านิ้วเท้า
2. ดูแลตัดเล็บเท้าให้เป็นแนวตรงอยู่เสมอ และใช้ตะไบเล็มเล็บตามส่วนริมด้วย
3. เล็บสวยแล้วหนังแข็งๆบริเวณริมขอบเล็บก็อย่าลืมตัดให้เรียบร้อยด้วยนะคะ
4. นวดเท้าของคุณด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ชนิดเข้มข้น หรือจะเป็นครีมสำหรับทาเท้าโดยเฉพาะก็ได้
5. เพื่อให้เล็บแข็งแรงคงทน สวยนานควรทาเคลือบเล็บด้วยผลิตภัณฑ์เคลือบเล็บเป็นขั้นตอนสุดท้ายรับรองว่าทำตามขั้นตอนทั้ง 5 นี้แล้วคุณจะมีเล็บเท้าสวยน่ามอง.....

ที่มา : Nail Collection by Hair&Beauty Studio

29.7.09

ลดต้นขา...ให้ได้ผลดี

ลดต้นขา...ให้ได้ผลดี

ปัญหาไขมันส่วนเกิน ที่แสนหนักอกหนักใจของสาวๆ ก็คือ การลดต้นขา ค่ะ เจ้าส่วนนี้เป็นส่วนที่ลดยากเสียเหลือเกิน ลองสังเกตสาวๆ บางคนที่ผ่านกรรมวิธีไดเอ็ตโดยการอดอาหารดูสิคะ พวกหล่อนจะลดจนเอวบางร่างน้อย ...แต่ เอ๊ะ เอ๊ะ... ดูช่วงล่างจากต้นขาลงไปยังหลงเหลือความเป็น ขาใหญ่ให้เห็นอยู่ดี เพราะยังขาดการบริหารให้กระชับการออกกำลัง และบริหารร่างกายเพื่อกระชับสัดส่วน ต้องทำให้ถูกวิธีนะคะมิฉะนั้น ผลที่ออกมา อาจจะไม่เป็น อย่างที่คุณตั้งใจนักแทนที่ขาจะเรียวงามกลับกลายเป็นกล้ามขานักกีฬา

ดิฉันขอแนะนำวิธีกระชับขาให้เรียวงาม ซึ่งมีหลายวิธีให้คุณเลือกใช้ (แล้วแต่ความสะดวกค่ะ)
1. วิธีออกกำลังกาย ..ที่ดีที่สุดคือ การว่ายน้ำ และในการว่ายน้ำนั้น คุณก็สามารถบริหารขาในน้ำไปด้วย คือ- ขณะที่คุณอยู่ในสระน้ำ ให้ใช้แขนทั้ง 2 ข้างจับขอบสระ คว่ำหน้า ยืดขาให้ลอยตัว เหยียดให้ตรงพร้อมกับตีขา ทำไปเรื่อยจนรู้สึกเหนื่อย ให้หยุดสักครู่ แล้วทำต่อ ประมาณ 10-15 ครั้ง- ยืนในน้ำ หันข้างให้ขอบสระ ใช้มือหนึ่งจับขอบสระ อีกข้างหนึ่งท้าวสะเอว เหยียดขาตรง เหวี่ยงขาข้างเดียวกับมือที่ท้าวสะเอว ไปข้างหน้า แล้วเหวี่ยงกลับไปข้างหลัง ทำ 20 ครั้ง แล้วเปลี่ยนมาทำอีกข้างหนึ่งอีก 20 ครั้ง ทำแบบนี้ซ้ำประมาณ 10-15 ครั้ง

2. วิธีบริหารขาก่อนเข้านอน ทำง่ายๆ คือ หากางเกงสำหรับกระชับสัดส่วนมาใส่ก่อนนอนสัก 2 ชั่วโมง คุณสมบัติของกางเกงนี้คือ จะอบร่างกายจนเกิดเหงื่อ และระหว่างนี้คุณก็บริหารขาไปด้วย จะได้ผลเร็วขึ้น ลองทำตามขั้นตอนนี้นะคะ
1. นอนหงายกับพื้น หาหมอนรองก้นไว้กันเจ็บ
2. ยกขาทั้งสองขึ้น เหยียดให้ตรง ค้างไว้ 2 นาที
3. ยังตกขาอยู่ แยกขาออกจากกัน แล้วหุบขาชิด ทำไปมา 20 ครั้ง
4. ปั่นจักรยานกลางอากาศสัก 100 ครั้ง
5. เปลี่ยนท่า นั่งกับพื้น เหยียดขา จากนั้นตีขาไปมากับพื้น 100 ครั้ง(เสียงอาจจะดังนะคะวิธีนี้)
ทำได้ทุกวันจะดีมากค่ะ

3. วิธีเผาผลาญไขมันส่วนเกินขณะนอนหลับ คือ การทำให้ร่างกายเกิดเหงื่อในขณะที่กำลังนอนหลับอยู่ วิธีง่ายๆ ได้แก่ การใส่กางเกงกระชับสัดส่วนขณะนอนด้วยและจะให้ได้ผลเร็ว คือคุณต้องไม่เปิดเครื่องปรับอากาศ เรียกว่า "นอนทนร้อนเพื่อความสวย" ไงคะแต่ต้องขอเตือนว่า วิธีนี้เหมาะกับสาวที่มีความพยายามสูงและอดทนได้เท่านั้นแต่ดิฉันไม่แนะนำให้ทำค่ะเพราะเวลานอนนั้น ร่างกายควรได้พักผ่อนให้สบายที่สุด ถ้านอนร้อนๆ อาจทำให้นอนไม่หลับ หรือหลับไม่เต็มตื่นเช้าวันต่อไปของคุณก็จะไม่สดใสเท่าที่ควร

ที่มา : thaihealth

27.7.09

4 เคล็ดลับ สวยแบบประหยัดใครที่อยากสวย

4 เคล็ดลับ สวยแบบประหยัดใครที่อยากสวย แต่ไม่อยากเสียเงินแพง ๆ วันนี้เรามีเคล็ดลับในการสวยแบบประหยัดมาฝาก

ผลไม้มาร์คหน้า


การนำผลไม้ที่รับประทานเป็นประจำมามาร์คหน้า คือการประหยัดและยังช่วยในการดูแลผิวแบบธรรมชาติ ผลไม้หลาย ๆ ประเภท จะมีสารสกัดที่ดีต่อผิว เช่น ผลไม้ไม้เปรี้ยว ๆ อย่าง สับปะรด, มะม่วงสุก, มะเฟือง, ส้ม ฯลฯ ที่มีกรดผลไม้ที่ดีต่อการทำให้ผิวขาวใส เรียบเนียน ขอแนะนำว่าควรผสมอย่างอื่นเพื่อลดความเป็นกรดลงด้วย เช่น โยเกิร์ตหรือน้ำผึ้ง

สครับริมฝีปาก

ริมฝีปากที่นุ่ม ชุ่มชื่นทำให้ดูดีขึ้น วิธีประหยัด คือ การนำกระวานป่น 1 ช้อนชา มาขัดริมฝีปากหลังล้างหน้า ถึงแม้จะมีรสเผ็ด แต่ได้ผลดีต่อริมฝีปาก จากนั้นล้างออกแล้วบำรุงด้วยลิปบาล์มอีกครั้ง

อบไอน้ำสมุนไพร

อบไอน้ำแบบประหยัด คือ นำใบมะกรูด ข่า ขิง มะนาว มาต้มในหม้อให้พออุ่น จากนั้นวางพักในจุดที่พอก้มหน้าให้ไอร้อนสัมผัสผิวได้อ่อน ๆ หรืออาจนำผ้ามาคลุมศีรษะและหม้อน้ำให้ไอน้ำไม่ระเหยเร็วก็ได้ ความร้อนและสมุนไพร จะช่วยเปิดรูขุมขนและดีท็อกซ์ให้ผิวหน้าให้สะอาดสดใส จากนั้นล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเพื่อกระชับผิวอีกรอบ

ผลไม้เพื่อผมสวย

ลองนำ กล้วยน้ำว้า แตงโม น้ำส้ม และน้ำมะกรูด มาบดผสมรวมกัน แล้วนำมาหมักเส้นผมทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก จะทำให้เส้นผมมีได้กลิ่นหอม ๆ จากผลไม้แล้ว ยังทำให้เส้นผมได้รับคุณค่าบำรุงใหม่ ๆ อีกด้วย

ถ้าอยากสวยแบบประหยัด ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้

ที่มา : เดลินิวส์

25.7.09

เรียวขา ดูแลให้งาม และน่ามอง

เรียวขา ดูแลให้งาม และน่ามอง

• อยากลบรอยดำขาหนีบ คุณผู้หญิงที่แอบกังวลใจเพราะมีรอยดำที่ขาหนีบ ซึ่งยังคงสงสัยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ต้นเหตุมีหลายอย่าง เช่น จากการเสียดสี ไม่ว่าจะเป็นการเสียดสีของกางเกง สวมใส่กางเกงชั้นในคับเกินไป หรือการเสียดสีจากต้นขา ฯลฯ วิธีป้องกันไม่ให้รอยดำเพิ่มมากขึ้นคือ การหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ว่ามาทั้งหมด ส่วนการแก้ปัญหารอยดำ อาจช่วยได้ด้วยการขัดผิว ใช้สครับขัดผิว อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และบำรุงผิวด้วยโลชั่นที่มีส่วนผสมของสาร AHA และ ไวท์เทนนิ่ง เพื่อทำให้รอยดำค่อยๆ จางลง ขยันขึ้นสักนิดอาจจะมีต้นขาที่ขาวสวยขึ้นกว่าเดิมก็ได้+ นอนท่าไหนดีที่สุด

จริงอยู่ค่ะ ที่การพักผ่อนดีที่สุดก็คือ การนอนหลับ มนุษย์ใช้เวลาไปกับการนอนหลับถึง 1 ใน 3 ของอายุขัย ฉะนั้นท่านอนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะส่งผลให้นอนหลับสนิทตลอดคืนและตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นสดใส

• ท่านอนมาตรฐาน คือ การนอนหงาย แต่อย่างไรถึงจะเหมาะสมก็คือ ควรใช้หมอนต่ำและต้นคอควรอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว เพื่อไม่ให้ปวดคอ อย่างไรก็ตาม ท่านอนหงายอาจไม่เหมาะกับคนที่มีอาการโรคปอดและโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกะบังลมจะกดทับปอดทำให้หายใจไม่สะดวก

• ท่านอนที่ดีที่สุด คือ ท่านอนตะแคงขวา เพราะจะช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก และอาหารจากกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี

• ท่านอนตะแคงซ้าย จะช่วยลดอาการปวดหลังได้ แต่ควรกอดหมอนข้าง และพาดขาเอาไว้ เพื่อป้องกันอาการชาที่ขาซ้ายจากการนอนทับเป็นเวลานาน+ ลดต้นขา ด้วยสองท่าทีเด็ด

ใครขาอวบหรือกำลังเป็นกังวลกับต้นขาของตัวเอง รีบอ่านแล้วนำไปใช้ด่วน! เรามี 2 ท่าทีเด็ดมาฝาก ให้คุณสาวๆ ได้หมั่นขยันทำกายบริหารกันดู ก่อนนอนหรือตอนตื่นเช้าก็ได้ การขยับแข้งขยับขาด้วยลีลาเซ็กซี่อวดสายตาหวานใจ เขาจะดูเหมือนเราเป็นสาวใส่ใจสุขภาพ และผลที่ได้รับยังอาจช่วยลดความอวบของต้นขาอีกด้วยค่ะ

• ท่าแรก ยกเวทด้วยขา อุปกรณ์มีแค่เวท 1 กิโลกรัม โดยนอนราบกับพื้น ผูกเวทติดไว้กับขาแล้วยกให้สูงจากพื้น 45 องศา ค้างไว้ โดยนับ 1-5 ในใจช้าๆ ค่อยๆ ทำ พอร่างกายเริ่มชินกับน้ำหนักของเวทแล้ว ก็เริ่มยกขึ้น-ลงให้เร็วขึ้นโดยทำทีละข้างๆ ข้างละเท่าๆ กัน ถ้ามีเวท 2 อันก็อาจยกขึ้นลงสลับกันก็ได้ เมื่อชำนาญแล้วอาจยกให้สูงขึ้นกว่าเดิมอีก เน้นให้ต้นขาได้ขยับเขยื้อน ทำเช่นนี้ 3 เซต เซตละ 10 ครั้ง พยายามให้ได้อาทิตย์ละ 2-3 ครั้งก็จะดี

• ท่าสอง ลดต้นขาด้านใน โดยการนอนราบลงบนพื้น ไขว้ข้อเท้าไว้ด้วยกัน งอเข่าเข้ามาให้ชิดตัวแล้วค่อยๆ ยืดออก จากนั้นให้คลายเท้าทั้งสองออกจากกันกลับมาสู่ท่าเดิมแล้วเริ่มทำใหม่ ทำสักประมาณ 24 ครั้งต่อวัน ต้นขาด้านในของคุณจะดูเล็กลง

ที่มา : Woman Plus

23.7.09

รักแร้เนียนๆเกลี้ยงเกลาไร้ขน

การกำจัดขนรักแร้ในปัจจุบันมีให้เลือกหลายวิธีตามความชอบ ความสะดวก และงบประมาณ แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียให้ชั่งใจก่อนทำ ดังต่อไปนี้

โกน ข้อดี : ง่าย สะดวก กำจัดขนรวดเร็วข้อเสีย : เนื่องจากรากขนยังอยู่ ขนจึงงอกเร็ว แข็งและเป็นตอ นอกจากนี้การโกนจะเกิดขูดบริเวณผิวหนังทำให้อักเสบและติดเชื้อขึ้น

ถอน ข้อดี : กำจัดขนได้แบบถอนรากออกมาด้วย ทำให้ขนที่งอกใหม่ใช้เวลานานกว่าจะขึ้นอีกครั้งข้อเสีย : ใช้ระยะเวลานานกว่าจะถอนออกหมดและทำให้เกิดตุ่ม ลักษณะเหมือนหนังไก่ เนื่องจากขนคุดได้

แวกซ์ ข้อดี : เหมาะกับคนที่มีขนยาว และหนา วิธีนี้รวดเร็วกว่าการถอน ขนที่ขึ้นใหม่จะนุ่มและงอกช้าประมาณ 6 สัปดาห์ ข้อเสีย : ค่อนข้างเจ็บ ทำให้เกิดตุ่มหรือการแสบแดงได้ และทำให้รูขุมขนใหญ่ขึ้น

เลเซอร์ ข้อดี : เป็นการทำลายรากขน ทำให้ขนไม่งอกขึ้นมาใหม่อีกข้อเสีย : ต้องทำซ้ำประมาณ 4-6 ครั้ง และเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด 15,000 บาทขึ้นไป

จี้ด้วยไฟฟ้าข้อดี : กำจัดขนได้ถาวรประมาณ 15-20เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนขนที่จี้ไฟฟ้าในแต่ละครั้งข้อเสีย : อาจเกิดแผล รอยไหม้ หรือการระคายเคือง ต้องใช้เวลานาน และเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 3,000-5,000 บาทต่อครั้ง

หลังกำจัดขนอาจใช้ผ้าชุบน้ำแข็งโปะเพื่อกระชับรูขุมขน และควรหลีกเลี่ยงการใช้ สารเคมี เช่น โลชั่น น้ำยาดับกลิ่นเหงื่อ ฯลฯ เพราะอาจทำให้เกิดการอุดตัน และอักเสบขึ้น

ที่มาจาก variety.mcot.net

22.7.09

นวดสลายเซลลูไลท์ ละลายไขมันสะสม

นวดสลายเซลลูไลท์ ละลายไขมันสะสมคุณสาวๆ รู้ไหมว่า… ตามปกติเซลล์ไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังจะถูกประคองด้วยเซลล์ร่างแหบางๆ (คล้ายตาข่าย) ที่เรียกว่า “เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน” ทำหน้าที่ยึดระหว่างผิวหนังกับกล้ามเนื้อ กั้นกลุ่มไขมันไว้เป็นช่องๆ แต่เมื่อเกิดเซลลูไลท์ เซลล์ไขมันในช่องพวกนี้จะขยายขึ้น ในขณะที่เนื้อเยื่อเกี่ยวพันไม่ขยายตาม ทำให้เบียดทั้งทางเดินน้ำเหลืองและระบบหมุนเวียนหลอดเลือดเล็กๆ ใต้ผิวหนัง จนการไหลเวียนของระบบเลือดบริเวณนั้นลดประสิทธิภาพลง เกิดการคั่งของน้ำเหลืองเป็นพังผืดดึงผิวด้านบนให้ย่นลงมาเป็นรอยบุ๋มเป็นช่วงๆ จึงเป็นที่มาของการเรียกเซลลูไลท์ว่า “ผิวเปลือกส้ม”

นอกจากเซลลูไลท์จะสร้างปัญหาด้านความงาม รบกวนจิตใจของคุณผู้หญิงแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดโรคจากการที่ร่างกายสะสมไขมันมากเกินไปด้วย เช่น ไขมันอุดตันในเส้นเลือด และหากการไหลเวียนของน้ำเหลืองมีประสิทธิภาพลดลง จะส่งผลกระทบต่อระบบการไหลเวียนของเส้นเลือดดำ ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดและเท้าบวมตามมา ประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ ของผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 20 ปี มักเริ่มมีเซลลูไลท์และเมื่ออายุมากกว่า 50 จะมีผิวเซลลูไลท์ให้เห็นมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับพันธุกรรม เชื้อชาติเผ่าพันธุ์

ทีนี้เรามาดูประเภทของ “เซลลูไลท์” กัน… Hard Cellulite: พบได้บ่อยในผู้หญิงที่อายุน้อย (20-40 ปี) และมีการออกกำลังกายเป็นประจำ ลักษณะที่พบ คือ เมื่อบีบตามร่างกายจะเป็นก้อนแข็งเล็กๆ พบบ่อยบริเวณสะโพก และบั้นท้าย

Flaccid Cellulite: พบได้ในผู้หญิงอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย มีลักษณะเป็นก้อนไขมันนุ่มๆ มีการหย่อนคล้อย กล้ามเนื้ออ่อนเหลว พบบ่อยบริเวณท้องแขน คาง รอบเอว และหน้าท้องEdematous Cellulite: เกิดจากการไหลเวียนโลหิตไม่ดี มีการคั่งของน้ำเหลือง ทำให้ลักษณะเหมือนบวมน้ำ กดแล้วบุ๋ม พบบ่อยที่ต้นขา สะโพก พบว่าผิวหนังดูบอบบางเห็นเส้นเลือดและบวม

Mixed Cellulite: พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งในหนึ่งคนอาจพบเซลลูไลท์ทุกแบบ ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

พัฒนาการของ… เซลลูไลท์ตัวร้าย ระยะที่ 0: เป็นระยะที่เริ่มมีพังผืดเกิดขึ้น แต่ไม่มาก ไม่สามารถสังเกตได้ทั้งจากการยืน หรือการนอนจะไม่เห็นเป็นผิวเปลือกส้มแต่อย่างใด แต่เมื่อทดลองหยิบเนื้อบริเวณนั้นขึ้นมาจะปรากฏเป็นรอยบุ๋มเกิดขึ้น

ะยะที่ 1: ยังไม่สามารถเห็นรอยบุ๋มได้เช่นเดียวกับระยะที่ 0 แต่เมื่อทดลองหยิบเนื้อขึ้นมาพบว่ามีรอยบุ๋มเพิ่มมากขึ้น

ระยะที่ 2: สามารถเห็นรอยของเซลลูไลท์ได้ชัดเจนในขณะยืนโดยไม่จำเป็นต้องจับขึ้นมาดู แต่ในขณะนอนจะยังไม่สามารถเห็นได้

ระยะที่ 3: ไม่ว่าจะยืนหรือนอนจะสามารถเห็นเป็นผิวเปลือกส้มได้ทั้งหมด เป็นระยะที่รักษายากที่สุดเพราะเกิดการสะสมของเซลลูไลท์มาในระยะเวลานานมาก

ทั้งนี้ ระยะการก่อตัวของเซลลูไลท์จะขึ้นอยู่กับกิจกรรมของแต่ละบุคคล ประกอบกับการกินอาหาร เช่น คาร์โบไฮเดรท ไขมัน และน้ำตาลที่มากเกินไป เป็นต้น

เทคนิคใหม่สลายเซลลูไลท์

ปัจจุบันแม้เราจะยังไม่มีวิธีขจัดเซลลูไลท์ที่ได้ผล 100% แต่เทคโนโลยีใหม่ๆ ก็มีส่วนสำคัญในการสลายเซลลูไลท์ที่เห็นผลอย่างชัดเจน ซึ่งวิธีสลายเซลลูไลท์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่…

เมโซเธอราปี (Mesotherapy)
สลายไขมันเฉพาะส่วนด้วยการฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังชั้นเมโซเดิร์ม (Mesoderm) ทำให้กระบวนการเกิดไขมันถูกขัดขวาง ทำให้ไขมันสลายตัวในที่สุด ทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 8 - 10 ครั้ง ค่าใช้จ่ายครั้งละ 2,000 - 3,000 บาทขึ้นไป

คาร์บ็อกซี เธอราปี (Carboxy Therapy, Carbondioxide Therapy)

สลายไขมันเฉพาะส่วน ด้วยการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เข้าสู่ชั้นไขมันใต้ผิวหนังเพื่อสลายเซลลูไลท์ และไขมันทำให้เกิดกระบวนการเผาผลาญไขมันมากขึ้น และสลายเซลลูไลท์สลายตัวไปในที่สุด ขึ้นอยู่กับน้ำหนักและไขมันของผู้ต้องการลดเซลลูไลท์เป็นสำคัญ โดยเฉลี่ย ไม่เกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ค่าใช้จ่ายครั้งละประมาณ 3,000 ขึ้นไป

การนวดด้วยเครื่องอัลตร้าซาวน์ (Ultrasonic Massage)

การนวดผิว ด้วยคลื่นอัลตร้าซาวน์ (Ultrasound) โดยทายาสลายไขมันไว้ตามร่างกายส่วนที่ต้องการลดและใช้เครื่องนวดไปตามบริเวณนั้นๆ เพื่อให้ยาซึมลงไปใต้ผิวหนังได้ลึกขึ้นและช่วยสลายเซลลูไลท์ ขึ้นอยู่กับน้ำหนักและเซลลูไลท์ที่ต้องการลดค่าใช้จ่าย แล้วแต่สถานบริการ มีตั้งแต่ 1,000-3,000 บาทขึ้นไป


การนวดแบบเอนเดอร์โมโลยี (Endermologie)

การนวดกำจัดเซลลูไลท์เฉพาะส่วน ด้วยเครื่องสูญญากาศ โดยส่วนหัวของเครื่องจะมีท่อสุญญากาศอยู่ตรงกลางและด้านข้างเป็นลูกกลิ้งคู่ขนาน เมื่อต้องการใช้งาน ท่อสุญญากาศจะทำหน้าที่ดูดผิวบริเวณที่ต้องการขึ้นมา และลูกกลิ้งด้านข้างจะทำหน้าที่นวดเนื้อบริเวณนั้น ทำติดต่อกัน 14 ครั้ง โดย 7 ครั้งแรก ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง และลดลงเหลือสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือตามแต่ผู้เชี่ยวชาญจะวินิจฉัย ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับสถานบริการ ครั้งละประมาณ 2,000 - 5,000 บาทขึ้นไป

การออกกำลังด้วยเครื่องโฮบอดี้ ไวเบรชั่น (Whole body Vibration Exercise)

เป็นเสมือนการออกกำลังกาย หลักการทำงานคือเมื่อยืนอยู่บนเครื่องไวเบชั่น เครื่องจะเกิดการสั่นสะเทือนทำให้ร่างกายสั่นสะเทือนตามให้ผลเหมือนการนวดตัว และสลายเซลลูไลท์ในเวลาเดียวกัน ทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ใช้เวลาประมาณ 10 - 20 นาทีตามขนาดของร่างกายและปริมาณไขมัน ครั้งละ 500 บาท

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีต่างๆ ที่ช่วยสลายไขมันนี้สามารถคงทนอยู่ประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี การออกกำลังกาย และการควบคุมอาหารจึงเป็นวิธีที่ช่วยให้เซลลูไลท์ก่อตัวช้าขึ้น นอกจากนี้ การตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีเพื่อลดเซลลูไลท์ ควรได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ประจำสถาบันต่างๆ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์หรือวิธีการที่มีความเหมาะสมมากที่สุด เพราะผู้ที่มีน้ำหนักมากหรือมีโรคประจำตัวบางประเภทอาจไม่เหมาะสมกับบางวิธี หรือบางคนอาจต้องใช้หลายๆ วิธีประกอบกัน

และวันนี้ เราก็มีวิธีการนวดสลายเซลลูไลท์ด้วยตนเอง แบบง่ายๆ มาฝากคุณสาวๆ กันด้วยค่ะ

บริเวณหน้าท้อง
• บีบเนื้อครีมบริเวณหน้าท้องประมาณ 8 - 9 เซนติเมตร
• ลูบไล้เนื้อครีมโดยการวางมือทั้งสองบนหน้าท้อง หมุนวนเป็นเกลียวตามเข็มนาฬิกา เริ่มจากสะโพกวนเข้ายังสะดือ
• นวดต่อจากบริเวณสะดือ โดยนวดหมุนวนขึ้นสู่หัวใจบริเวณใต้ทรวงอก เพื่อช่วยขับของเสีย และยกกระชับกล้ามเนื้อให้เต่งตึงขึ้น

บริเวณสะโพก
• บีบเนื้อครีมบริเวณหน้าท้องประมาณ 9 - 10 เซนติเมตร วางมือทั้ง 2 ข้าง ลงบนสะโพกส่วนล่างทั้งซ้ายและขวา นวดกดคลึงหมุนวนตามเข็มนาฬิกา โดยนวดวนขึ้นสู่สะโพกส่วนบนเข้าสู่หัวใจ

บริเวณต้นขา
• บีบเนื้อครีมบริเวณท้องต้นขาประมาณ 5 - 6 เซนติเมตร โดยยกขาให้ตั้งฉากกับลำตัว จากนั้นนวดไล่หมุนวนขึ้น

บริเวณก้น
• บีบเนื้อครีมบริเวณก้นประมาณ 9 - 10 เซนติเมตร จากนั้นนวดวนขึ้นสู่หัวใจ โดยไล่ยกขึ้นมาทางสะโพก

16.7.09

ล้างพิษลำไส้ใหญ่ กากใยอาหารจากธรรมชาติช่วยคุณได้

ล้างพิษลำไส้ใหญ่ กากใยอาหารจากธรรมชาติช่วยคุณได้
ธรรมชาติได้สร้างให้ร่างกายมนุษย์มีระบบล้างพิษตามธรรมชาติที่ดีที่สุด


ปัจจุบันคำว่า ล้างพิษ กลายเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนติดตามและสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากสภาพแวดล้อม ทำให้พฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปจึงพยายามหาแนวทางที่จะคืนความสดชื่นและการมีสุขภาพที่ดีให้แก่ร่างกายให้เร็วที่สุด อันเป็นที่มาของกระแสการล้างพิษ ที่แบ่งออกเป็นวิธีล้างพิษแบบธรรมชาติโดยการกินผักและผลไม้เพื่อให้ได้กากใยมากๆ และวิธีล้างพิษแบบฝืนธรรมชาติอย่างการกินยาระบายหรือสวนล้างลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นวิธีที่ยังไม่มีการยืนยันทางการแพทย์ว่าปลอดภัย และได้ประโยชน์ต่อสุขภาพจริงๆ

จากกระบวนการทำงานของตับ ไตและลำไส้ โดยเฉพาะลำไส้ใหญ่ที่มีหน้าที่กำจัดของเสียจากอาหารที่เรากินเข้าไปด้วยการขับถ่ายอุจจาระทุกวัน และสิ่งสำคัญที่จะเสริมให้การล้างพิษตามธรรมชาติของลำไส้ใหญ่มีประสิทธิภาพคือ เส้นใยอาหาร ที่ร่างกายได้รับจากการกินอาหารประเภทข้าวกล้อง ธัญพืช โฮลวีท ข้าวโอ๊ต ถั่ว ผักและผลไม้ เป็นต้น

แต่ในความเป็นจริง หลายคนอาจกินไม่ได้ตามที่ร่างกายต้องการทุกวัน ทำให้เกิดปัญหาท้องผูก เกิดของเสียหมักหมมในลำไส้ใหญ่ และถ้าเป็นเรื้อรัง ก็เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ทั้งนี้เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว หลายคนพึ่งวิธีการกินยาระบายและการสวนล้างลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาจจะเป็นการทำลายจุลินทรีย์ชนิดดีที่อยู่ในผนังลำไส้ใหญ่ ที่ทำหน้าที่คุ้มครองและช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ชนิดที่ก่อให้เกิดโรค ดังนั้นหากสวนล้างลำไส้ใหญ่บ่อยเกินไปเท่ากับว่า เรากำจัดจุลินทรีย์ชนิดดีนั้นออกไปด้วย ผลก็คือ จะทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น และทำให้สูญเสียสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย สรุปว่าอาจเป็นทางเลือกที่เร็วและเห็นผลทันที แต่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว

ดังนั้นการล้างพิษด้วยการกินเส้นใยอาหารจากผักและผลไม้ หรือสำหรับคนที่มีปัญหาการกินผักและผลไม้ อาจเลือกผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารธรรมชาติที่มีการแปรรูปและสะดวกต่อการกิน ยกตัวอย่างเช่น เส้นใยอาหารที่ได้จากเมล็ดและเปลือกแพลนตาโก้ ในรูปแกรนูลซึ่งสามารถพองตัวในลำไส้ใหญ่ได้ถึง 7 เท่า เพิ่มปริมาณกากอาหารเป็นก้อนในลำไส้ใหญ่ ทำให้ลำไส้ใหญ่เคลื่อนไหว เพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ ลดปริมาณสิ่งหมักหมมในลำไส้ใหญ่ เป็นการล้างพิษลำไส้ใหญ่โดยวิธีธรรมชาติ จะส่งผลดีต่อสุขภาพองค์รวมมากกว่า เพราะได้เส้นใยอาหารที่มีประโยชน์ถึง 2 ชนิด นั่นคือ เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ (water insoluble fiber) และเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำ (water soluble fiber) ซึ่งควรได้รับอัตราส่วนที่เหมาะสมคือ 60:40 เนื่องจาก...

เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ จะพองตัวและอุ้มน้ำไว้ได้มากกว่าปริมาตรของตัวเองหลายเท่า ช่วยเพิ่มปริมาตรกากอาหารในลำไส้ ไม่ให้อุจจาระแห้งและแข็ง ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายและสบายขึ้น ไม่มีสิ่งหมักหมมค้างในลำไส้ใหญ่

เส้นใยอาหารที่ละลายน้ำ จะถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่อย่างช้าๆ ทำให้เกิดกรดไขมันชนิดสายสั้น (Short-chain fatty acid) ได้แก่ อะซิเตท โพรพิโอเนท และบิวทีเรท ซึ่งสารบิวทีเรทจะทำให้ค่า pH ในลำไส้ลดลงต่ำ มีผลในการยับยั้งการเจริญเติบโตของ จุลินทรีย์ชนิดที่ก่อให้เกิดโรคและลดโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่

สรุปแล้ว การล้างพิษที่ดีที่สุด คือ การล้างพิษตามธรรมชาติจากการกินอาหารที่สด ปรุงสะอาดมีกากใยสูงและมีคุณค่าต่อร่างกาย ควบคู่กับการดื่มน้ำ 6-8 แก้วต่อวัน การออกกำลังกาย การนอนหลับพักผ่อนและทำจิตใจแจ่มใส และอาจใช้ผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารธรรมชาติเสริม ในกรณีที่รับประทานอาหารที่มีเส้นใยน้อย

ที่มา: นิตยสาร Health Today

10.7.09

สวยใสจากภายใน ด้วย 4 อาหารผิว

สวยใสจากภายใน ด้วย 4 อาหารผิว
Antiaging Medicine หรือ การรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านริ้วรอย ชะลอวัย กำลังมาแรง


Antiaging Medicine หรือ การรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านริ้วรอย ชะลอวัย กำลังมาแรง ทั้งในประเทศอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ส่วนใหญ่สารอาหาร ดังกล่าวจะคัดสรร สกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติ การเลือกรับประทานผัก ผลไม้ และอาหารเสริม ที่มีส่วนผสมของสารต่อต้านความชราจึงเป็นอีกทางเลือกของความสวยที่เราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ไม่มีคำว่าช้าเกินไป แต่ใครเริ่มเร็วกว่าก็ยิ่งยืดความอ่อนเยาว์ให้ตัวเองได้ยาวนานกว่า และนี่คือสารอาหารที่จะช่วยคงความงามแห่งผิวพรรณจากภายใน สู่ภายนอก ที่เราขอแนะนำ


Niacin / Vitamin B3
ไนอาซินหรือวิตามินบี 3 เป็นวิตามินตัวเดียวที่ร่างกายสังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโน ช่วยบำรุงสมองและประสาท รักษาสุขภาพของผิวหนัง ลิ้น และเนื้อเยื่อของระบบย่อยอาหาร จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศ และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ไนอาซินมีในอาหารทั่วไปที่ได้จากสัตว์และพืช แหล่งที่มีมากคือ เนื้อสัตว์, เนื้อปลา, ถั่ว, ข้าว, เครื่องในสัตว์ แหล่งที่มีปานกลางได้แก่ มันฝรั่ง, ธัญพืช, แหล่งที่มีน้อยคือ น้ำนม, ไข่, ผัก และผลไม้


วิตามินเอ
วิตามินเอ มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ เรตินอยด์ (Retinoids) และแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) วิตามินเอเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหนัง การซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป นอกจากนี้วิตามินเอยังมีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนัง และเป็นสารสำคัญที่ช่วยทำให้ผิวหนังมีการทำงานอย่างปกติ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งและเสริมสุขภาพตา แหล่งอาหารที่พบคือ ไข่, นม, เนย, ปลาแซลมอน, ปลา Halibut, ผักใบเขียว เช่น บร็อกโคลี, ผักโขม, แอสพารากัส, มะละกอ, แคนตาลูป, มะเขือเทศ, ฟักทอง



วิตามินบี-คอมเพล็กซ์
วิตามินในกลุ่มนี้ มีความสำคัญต่อสุขภาพผิวหนังเป็นอย่างมาก ช่วยในกระบวนการผลิตพลังงานภายในเซลล์ เช่น วิตามินบี 2 ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ วิตามินบี 3 ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และทำให้ผิวหนังไม่ซีด วิตามินบี 12 ช่วยในการแบ่งเซลล์ วิตามินบี 9 ช่วยในเรื่องการแบ่งและเจริญเติบโตของเซลล์ นอกจากนี้ กรดโฟลิกยังช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง แหล่งอาหารที่พบมากคือ บร็อกโคลี, มันฝรั่ง, เห็ด, แครอท, มะเขือเทศ, กะหล่ำปลี, ผักโขม, กล้วย, แอปเปิ้ล, มะเขือ, ผลไม้ในกลุ่มส้ม, ไข่, เนื้อไก่, เนื้อปลาแซลมอน และปลาทูน่า


Vitamin C
วิตามินซีเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการสังเคราะห์และช่วยกระตุ้น การสร้างคอลลาเจน ทั้งนี้คอลลาเจนจะไม่สามารถทำงานได้หากขาดวิตามินซี นอกจากนี้วิตามินซียังมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว และชะลอการเกิดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ


การใส่ใจดูแลตัวเองด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่สม่ำเสมอ นับเป็นหนึ่งในเคล็ดลับความงามที่พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ WP ก็เชื่อว่า ถ้าเรามีความตั้งใจจริงก็สามารถสร้างสรรค์ตัวเองให้ดูสวยอ่อนเยาว์ได้โดยไม่ต้องพึ่งเทคนิคศัลยกรรม ยิ่งโดยเฉพาะในยุคนี้ มีอาหารเสริมวิตามินรสชาติอร่อยมากมายมาให้เลือกเป็นทางลัดด้วยแล้ว ยิ่งสบาย งั้นเรามาเริ่มกันและดื่มเพื่อผิวพรรณกันตั้งแต่นี้เลย...ดีไหม

3.7.09

สวยใสจากภายใน ด้วย 4 อาหารผิว

สวยใสจากภายใน ด้วย 4 อาหารผิว
Antiaging Medicine หรือ การรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านริ้วรอย ชะลอวัย กำลังมาแรง

Antiaging Medicine หรือ การรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านริ้วรอย ชะลอวัย กำลังมาแรง ทั้งในประเทศอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ส่วนใหญ่สารอาหาร ดังกล่าวจะคัดสรร สกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติ การเลือกรับประทานผัก ผลไม้ และอาหารเสริม ที่มีส่วนผสมของสารต่อต้านความชราจึงเป็นอีกทางเลือกของความสวยที่เราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ไม่มีคำว่าช้าเกินไป แต่ใครเริ่มเร็วกว่าก็ยิ่งยืดความอ่อนเยาว์ให้ตัวเองได้ยาวนานกว่า และนี่คือสารอาหารที่จะช่วยคงความงามแห่งผิวพรรณจากภายใน สู่ภายนอก ที่เราขอแนะนำ

Niacin / Vitamin B3
ไนอาซินหรือวิตามินบี 3 เป็นวิตามินตัวเดียวที่ร่างกายสังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโน ช่วยบำรุงสมองและประสาท รักษาสุขภาพของผิวหนัง ลิ้น และเนื้อเยื่อของระบบย่อยอาหาร จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศ และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ไนอาซินมีในอาหารทั่วไปที่ได้จากสัตว์และพืช แหล่งที่มีมากคือ เนื้อสัตว์, เนื้อปลา, ถั่ว, ข้าว, เครื่องในสัตว์ แหล่งที่มีปานกลางได้แก่ มันฝรั่ง, ธัญพืช, แหล่งที่มีน้อยคือ น้ำนม, ไข่, ผัก และผลไม้


วิตามินเอ
วิตามินเอ มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ เรตินอยด์ (Retinoids) และแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) วิตามินเอเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหนัง การซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป นอกจากนี้วิตามินเอยังมีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนัง และเป็นสารสำคัญที่ช่วยทำให้ผิวหนังมีการทำงานอย่างปกติ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งและเสริมสุขภาพตา แหล่งอาหารที่พบคือ ไข่, นม, เนย, ปลาแซลมอน, ปลา Halibut, ผักใบเขียว เช่น บร็อกโคลี, ผักโขม, แอสพารากัส, มะละกอ, แคนตาลูป, มะเขือเทศ, ฟักทอง

วิตามินบี-คอมเพล็กซ์
วิตามินในกลุ่มนี้ มีความสำคัญต่อสุขภาพผิวหนังเป็นอย่างมาก ช่วยในกระบวนการผลิตพลังงานภายในเซลล์ เช่น วิตามินบี 2 ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ วิตามินบี 3 ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และทำให้ผิวหนังไม่ซีด วิตามินบี 12 ช่วยในการแบ่งเซลล์ วิตามินบี 9 ช่วยในเรื่องการแบ่งและเจริญเติบโตของเซลล์ นอกจากนี้ กรดโฟลิกยังช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง แหล่งอาหารที่พบมากคือ บร็อกโคลี, มันฝรั่ง, เห็ด, แครอท, มะเขือเทศ, กะหล่ำปลี, ผักโขม, กล้วย, แอปเปิ้ล, มะเขือ, ผลไม้ในกลุ่มส้ม, ไข่, เนื้อไก่, เนื้อปลาแซลมอน และปลาทูน่า

Vitamin C
วิตามินซีเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการสังเคราะห์และช่วยกระตุ้น การสร้างคอลลาเจน ทั้งนี้คอลลาเจนจะไม่สามารถทำงานได้หากขาดวิตามินซี นอกจากนี้วิตามินซียังมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว และชะลอการเกิดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การใส่ใจดูแลตัวเองด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่สม่ำเสมอ นับเป็นหนึ่งในเคล็ดลับความงามที่พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ WP ก็เชื่อว่า ถ้าเรามีความตั้งใจจริงก็สามารถสร้างสรรค์ตัวเองให้ดูสวยอ่อนเยาว์ได้โดยไม่ต้องพึ่งเทคนิคศัลยกรรม ยิ่งโดยเฉพาะในยุคนี้ มีอาหารเสริมวิตามินรสชาติอร่อยมากมายมาให้เลือกเป็นทางลัดด้วยแล้ว ยิ่งสบาย งั้นเรามาเริ่มกแนและดื่มเพื่อผิวพรรณกันตั้งแต่นี้เลย...ดีไหม

ที่มา : นิตยสาร Women Plus