Showing posts with label นม. Show all posts
Showing posts with label นม. Show all posts

13.5.09

แดดหน้าร้อน,

แสงแดดทำให้ผิวเสียก่อนวัน และทำให้ผิวหยาบกร้านเหมือนหนังสัตว์ ทั้งยังเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งอีกหลายชนิดด้วย

ลองมองไปรอบ ๆ ตัวในสถานที่ที่มีผู้นิยมอาบแดดมาชุมนุมกัน ให้มองหาคนที่มีอายุระหว่างยี่สิบห้าถึงสามสิบปี และเป็นผู้ที่อาบแดดทุกปี ทีนี้ขอให้มองหาผู้หญิงอายุระหว่างสี่สิบถึงห้าสิบปี และเป็นผู้ที่ตกแดดมาก ๆ ขอให้เปรียบเทียบสภาพผิวหนังด้านหลังของลำคอกับผิวหนังบริเวณต่ำจากคอลงมาสักสองหรือสามนิ้ว จะเห็นว่าผิวหนังในบริเวณทั้งสองแตกต่างกันมาก

ที่บริเวณทางใต้ของรัฐเท็กซัส ถ้าคุณยืนอยู่กลางแดดตอนบ่าย ๆ ในเดือนมิถุนายน กรกฏาคม หรือสิงหาคม และปล่อยให้ผิวโดนแดดเพียงแค่สิบนาที ผิวคุณจะไหม้นิดหน่อยขนาดแค่เดินไปที่ตู้จดหมายเท่านั้น ผิวก็ยังเปลี่ยนเป็นสีชมพูเลย


สำหรับผู้ที่ยังยืนยันที่จะย่างตัวเองละก็ ขอให้พิจารณาสิ่งต่อไปนี้ องค์การอาหารและยาเสพย์ติด ได้กำหนดปัจจัยป้องกันแสงแดด (เอสพีเอฟ) ไว้ในผลิตภัณฑ์ป้องกันอันตรายจากแสงแดด และอันตรายต่าง ๆ นี้ได้พิมพ์ไว้บนขวดที่บรรจุผลิตภัณฑ์ดังกล่าว


เอสพีเอฟ 2 ถึง 4 ป้องกันน้อยที่สุด เหมาะสำหรับผู้โชคดีที่ผิวไม่เกรียมง่ายและผิวคล้ำได้ง่าย ๆ
เอสพีเอฟ 4 ถึง 6 ป้องกันได้ปานกลาง สำหรับผู้ที่ผิวคล้ำได้ดี
เอสพีเอฟ 6 ถึง 8 ป้องกันพิเศษ สำหรับผู้ที่ผิวเกรียบปานปลาง และผิวคล้ำแดดช้า
เอสพีเอฟ 8 ถึง 14 ป้องกันได้มากที่สุด สำหรับผู้ที่ผิวเกรียมแดดง่าย และผิวคล้ำแดดยาก
เอสพีเอฟ 15 ขึ้นไป ป้องกันมากพิเศษสำหรับคนที่ผิวเกรียมง่าย และผิวไม่เคยคล้ำแดดเลย


ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามส่วนใหญ่กล่าวว่าผลิตภัณฑ์ชนิดใดก็ได้ที่มีตัวยาในระดับ 8 ขึ้นไปจะใช้ป้องกันผิวได้ดี


ไม่ว่าครีมกันแดดจะมีเอสพีเอฟในระดับไหนก็ตาม ตัวยาป้องกันเหล่านั้นก็อาจหลุดลอกได้ง่าย ควรแน่ใจว่าได้ทายากันแดดในขณะที่ตากแดดและทาซ้ำหลังจากว่ายน้ำแล้ว การใช้ครีมกันแดดนั้นต้องใช้เมื่อผิวแห้งสะอาด จากนั้นลูบตัวยาให้เสมอ ๆ กันไปในทางเดียวกัน คือ ไม่ทาย้อนขึ้นย้อนลง การถูจะทำให้ครีมนี้หลุดออกไป โปรดอย่าลืมทาครีมกันแดด หลังจากที่ทาครีมหรือน้ำยาให้ความชุ่มชื้นแล้ว จากนั้นจึงทาทับด้วยครีมรองพื้นอีกชั้นหนึ่งควรทำเช่นนี้ทุกเช้าจนเป็นกิจวัตรประจำวัน


สารเคมีในผลิตภัณฑ์กันแดดประกอบด้วยไทเทเนียมไดออกไซด์ และ ซิงค์ออกไซต์สารเหล่านี้เป็นสารทึบแสงทำให้แสงแดดไม่กระทบถึงผิวหน้า พวกยามรักษาการณ์บริเวณชายหาดริมน้ำ มักใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบเหล่านี้


น้ำยากันแดด และเยลลีกันแดดจะดูดซับแสงที่รวมเอา พาบา คือ กรดพาราอะมิโนเป็นโซอิค หรือสารเคมีที่ได้จากสารอื่น และเป็นโซฟีโนน ขอให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีทั้ง พาบาและเป็นโซฟีโนน และอย่าลืมเคลือบริมฝีปาก จมูก และบริเวณรอบ ๆ ตา ซึ่งเป็นส่วนที่บอบบาง ถ้าคุณมีวง คล้ำ ๆ รอบ ๆ นัยน์ตา การตากแดดจะยิ่งทำให้รอบตาคล้ำมากยิ่งขึ้น


เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องป้องกันริมฝีปากด้วยครีมกันแดด ถ้าเราโดนแดดจัด ๆ ขณะที่กำลังเหนื่อย ๆ และเครียดแล้ว อาจจะเกิดอาการเจ็บหรือบวมได้ ถ้าหากเป็นห่วงว่าทาครีมกันแดดแล้วริมฝีปากจะไม่สวย อาจหาซื้อยากันแดดสำหรับทาริมฝีปากที่มีลักษณะคล้าย ๆ ลิปสติกที่ทาเคลือบให้ริมฝีปากชุ่มชื้นได้
ผิวที่แห้งมาก อย่าใช้น้ำยากันแดดที่ผสมแอลกอฮอล์ และโปรดจำไว้ว่าน้ำยาที่ผสมน้ำมันที่คุณทาผิวเพียงครั้งเดียว จะเท่ากับเยลแห้งเร็วที่คุณทาเคลือบไว้ถึงสองชั้น


อย่าลืมทดสอบน้ำยากันแดดที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายคุณก่อนที่จะชโลมน้ำยากันแดดไปทั้งตัว เพราะคุณอาจจะแพ้กรดพาราอะมิโนเบ็นโซอิค หรือพาบาก็ได้


ถ้าคุณคิดว่าน้ำมัเบบี้ออยล์หรือน้ำมันมะพร้าวช่วยป้องกันผิวไม่ให้เกรียมแดดละก็คุณกำลังจะพบปัญหาผิวแล้ว การวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าการชโลมน้ำมันแล้วไปตากแดดนั้นเหมือนกับเราเอาผิวหนังไปย่างอย่างไรอย่างนั้นเลย คุณจะโดนย่างจริง ๆ เร็วขึ้นถ้าคุณชโลมน้ำมันแล้วไปนั่งผึ่งแดด


โปรดจำไว้ด้วยว่า ยาบางชนิดจะทำให้ผิวเกรียมแดดง่ายกว่าปรกติ ดังนั้นคุณควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาที่รับประทานก่อนที่จะไปอาบแดด บรรดาสารที่จะทำให้ผิวรับแดดไว้ขึ้นได้แก่ ยาร์บิทูเรต ยาน้ำ ยาระงับประสาท ยาแก้แพ้ ยาลดความดันโลหิต และยาคุมกำเนิด

งานวิจัยบางชิ้นเสนอว่าการดื่มน้ำโซดาลดความอ้วน และการอาบน้ำด้วยสบู่ด้วยกลิ่นก่อนอาบแดดอาจยิ่งทำให้ผิวเกรียมแดดยิ่งขึ้น น้ำหอมก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ถ้าใส่น้ำหอมแล้วออกไปอาบแดด อาจทำให้เกิดผื่นคันหรือชาเฉพาะที่

8.5.09

ดื่มนม แล้ว ท้องเสีย เลิกดื่ม ดีไหม

ดื่มนม แล้ว ท้องเสีย เลิกดื่ม ดีไหม

แต่มันช่วยสร้างแคลเซียม ป้องกันมะเร็งและเบาหวาน ปัญหา การดื่มนมแล้วท้องเสียนี้พบได้บ่อยพอสมควร โดยเฉพาะในคนไทยและคนในทวีปเอเชียและแอฟริกา เมื่อพบปัญหานี้ คนส่วนใหญ่มักจะแก้ไขโดยการหลีกเลี่ยงการดื่มนมไปเลย ก็ถือว่าเป็นการกำจัดที่ต้นเหตุที่ถูกต้องวิธีหนึ่ง แต่มีผลเสียคือ ทำให้ขาดการดื่มนม ซึ่งอาจทำให้ความแข็งแรงของกระดูกในร่างกายลดลงได้ นมถือได้ว่าเป็นแหล่งอาหารที่ให้แคลเซียมมากที่สุด การจะรับประทานอาหารอื่น ๆ เพื่อให้ได้จำนวนแคลเซียมเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายนั้นทำได้ยาก และต้องรับประทานอาหารจำนวนมาก และเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นไปได้ยาก เมื่อเปรียบเทียบกับการดื่มนม ซึ่งทำได้ง่ายและสะดวกกว่า อีกทั้งการดื่มนมเพียงวันละ 2-3 แก้ว ก็จะได้รับจำนวนแคลเซียมเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

ทำไมดื่มนมแล้วจึงท้องเสีย? คำ ถามนี้เป็นคำถามที่มีผู้ให้ความกระจ่างได้น้อย หลาย ๆ คนที่เกิดอาการนี้มักจะคิดว่า ตนเองแพ้นมวัว ดื่มนมทีไร ท้องเสียทุกครั้ง ความจริงก็คือ คนไทย คนแถบเอเชียและคนแถบแอฟริกานั้น จะมีน้ำย่อยสำหรับย่อยน้ำตาลแลคโตสตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 4-5 ปี หลังจากอายุนี้ น้ำย่อยนี้จะลดน้อยลงจนหมดไป จึงย่อยน้ำตาลแลคโตส ไม่ได้ ต้องเข้าใจให้ดีว่า น้ำตาลแลคโตสนี้พบในน้ำนม ที่ได้มาจากสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นนมวัวหรือนมแพะ จึงทำให้ดื่มนมที่ได้จากสัตว์ทีไรทำให้ท้องเสียทุกครั้งไป

แต่ ในปัจจุบันมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ดื่มนมวัวแล้วไม่เกิดอาการใด ๆ เลย ในทางการแพทย์เชื่อว่าเมื่อมีการดื่มนมวัวอย่างต่อเนื่อง แบคทีเรียในลำไส้จะมีการสร้างน้ำย่อยน้ำตาลแลคโตสนี้ขึ้นมา ซึ่งจะย่อยน้ำตาลแลคโตส ได้ จึงทำให้คนที่ดื่มนมอย่างต่อเนื่องจะไม่เกิดปัญหาการย่อยนมที่ดื่ม

นอก จากอาการท้องเสียแล้ว อาการอื่นที่คนทั่วไปอาจนึกไม่ถึงว่าเกิดจากการย่อยนมไม่ได้ดีก็คือ อาการท้องอืด จุกเสียด และแน่นหน้าอก รวมทั้งการผายลมบ่อย ๆ

เมื่อ พบปัญหานี้คือ ท้องเสีย จุกเสียด แน่นท้อง ทุกครั้งที่ดื่มนม คนส่วนใหญ่ก็มักจะเลิกดื่มนมไปเลย แต่ความเป็นจริง เราสามารถจะชนะอาการเหล่านี้ได้ทุกคน ขออย่าได้ท้อแท้ โดยในขั้นแรกให้ดื่มนมหลังรับประทานอาหารเช้า โดยดื่มประมาณ 30 มล. วันเว้นวัน ถ้ามีอาการดังที่กล่าวมาอย่างใดอย่างหนึ่ง ในครั้งต่อไปก็ให้ลดจำนวนนมลงมาครึ่งหนึ่ง จนมั่นใจว่า ไม่มีอาการ เช่น ดื่มนมหลังอาหารเช้าเพียง 15 มล. แล้วไม่เกิดอาการใด ๆ ก็ให้คงการดื่มนั้น ไปสัก 7 วัน ในสัปดาห์ต่อมาให้ดื่มนมเพิ่มเป็น 30 มล. โดยให้ดื่มทุกวันหลังอาหารเช้าเช่นเดิม และในสัปดาห์ต่อมาจึงเพิ่มเป็น 60 มล. ทุก ๆ วัน แล้วเพิ่มครั้งละ 30 มล. ในทุกสัปดาห์ ถ้าไม่มีอาการใด ๆ ก็ให้เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ จน ถึง 240 มล. หรือประมาณ 1 แก้ว หรือ 1 กล่องนม ก็จะเป็นจำนวนนมที่ต้องการได้ ในกรณีที่เพิ่มไปได้เพียง 150 มล. แล้วเกิดอาการจุกเสียด ก็ให้ลดลงมาในระดับก่อนหน้าที่ไม่เกิดอาการ แล้วคงระดับนั้นไปอีก 2-3 สัปดาห์จึงค่อยเพิ่มจำนวนอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อ สามารถดื่มนมได้ครั้งละ 240 มล. หลังอาหารโดยไม่เกิดอาการใด ๆ ก็มีโอกาสสูงที่จะสามารถดื่มนมในขณะท้องว่างหรือก่อนอาหารได้ โดยในขั้นแรกอาจจะลองดื่มเพียง 60 มล. ก่อน แล้วค่อยเพิ่มเป็นครั้งละ 120, 180 และ 240 มล. ตามลำดับถ้าสามารถดื่มนมครั้งละ 240 มล. ในขณะท้องว่างโดยไม่เกิดอาการใด ๆ ภายหลังดื่ม 8 ชั่วโมง ก็แสดงว่าไม่มีปัญหาการย่อยและดูดซึมนมแล้ว ต่อไปก็ควรเพิ่มการดื่มนมเป็นวันละ 2 แก้ว หรือ 2 กล่อง

เนื่อง จากนมวัวที่เรานำมาดื่มนั้นมีการปรับแต่ง ทำให้มีหลายคุณภาพ โดยเฉพาะทางด้านไขมัน ที่เราเรียกว่า นมสด หรือรสจืดจะมีไขมันอยู่ 4% นมพร่องมันเนยจะมีไขมันอยู่ 2% และนมขาดมันเนยจะไม่มีไขมันเลย แต่นมทั้ง 3 ชนิดมีน้ำตาลแลคโตสเท่ากันคือ 4-5% จึงแตกต่างกันเฉพาะจำนวนไขมัน จึงให้พลังงานที่แตกต่างกัน แต่ให้จำนวนแคลเซียม แร่ธาตุ น้ำตาลนมและโปรตีนเท่ากัน โดยนมวัวสด นมพร่องมันเนย และนมขาดมันเนย จะให้พลังงาน 170, 130 และ 85 กิโลแคลอรีต่อ 240 มล. ตามลำดับ สำหรับผู้ใหญ่และเด็กที่มีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมแล้ว แนะนำให้ดื่มนมขาดมันเนย เพื่อจะลดจำนวนพลังงานที่ได้จากนม

ยัง มีนมวัวที่อยู่ในรูปอื่น ๆ ที่อาจจะรับประทานระหว่างวัน เช่น ชีส เค้ก หรือไอศกรีม ก็จะเป็นแหล่งที่ให้แคลเซียมเพิ่มเติม นอกจากนั้น ผักใบเขียว โดยเฉพาะบริเวณก้านก็จะให้แคลเซียมได้มากพอสมควร เช่น คะน้า และผักบรอกโคลี เพียงแต่การดูดซึมแคลเซียมจากผักอาจจะไม่ได้ดีเท่ากับ การดูดซึมจากนมและ ในบางโอกาสอาจจะไม่อยากดื่มนม หรือไม่มีโอกาสดื่มนมหรือไม่ชอบดื่มนม ก็สมควรที่จะรับประทานยาเม็ดแคลเซียมเสริมเป็นประจำทุกวัน อย่างต่ำวันละ 1,000 มิลลิกรัม ทั้งนี้เพื่อบำรุงกระดูกให้มีความแข็งแกร่งตลอดเวลา โดยร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และได้รับแสงแดดเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 20 นาทีขึ้นไป ก็จะทำให้คุณภาพของกระดูกในร่างกายแข็งแรงอย่างเต็มที่ และยังช่วยป้องกันมะเร็งและเบาหวานได้ด้วย.

ที่มา : adsthai.net