แสงแดดทำให้ผิวเสียก่อนวัน และทำให้ผิวหยาบกร้านเหมือนหนังสัตว์ ทั้งยังเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งอีกหลายชนิดด้วย
ลองมองไปรอบ ๆ ตัวในสถานที่ที่มีผู้นิยมอาบแดดมาชุมนุมกัน ให้มองหาคนที่มีอายุระหว่างยี่สิบห้าถึงสามสิบปี และเป็นผู้ที่อาบแดดทุกปี ทีนี้ขอให้มองหาผู้หญิงอายุระหว่างสี่สิบถึงห้าสิบปี และเป็นผู้ที่ตกแดดมาก ๆ ขอให้เปรียบเทียบสภาพผิวหนังด้านหลังของลำคอกับผิวหนังบริเวณต่ำจากคอลงมาสักสองหรือสามนิ้ว จะเห็นว่าผิวหนังในบริเวณทั้งสองแตกต่างกันมาก
ที่บริเวณทางใต้ของรัฐเท็กซัส ถ้าคุณยืนอยู่กลางแดดตอนบ่าย ๆ ในเดือนมิถุนายน กรกฏาคม หรือสิงหาคม และปล่อยให้ผิวโดนแดดเพียงแค่สิบนาที ผิวคุณจะไหม้นิดหน่อยขนาดแค่เดินไปที่ตู้จดหมายเท่านั้น ผิวก็ยังเปลี่ยนเป็นสีชมพูเลย
สำหรับผู้ที่ยังยืนยันที่จะย่างตัวเองละก็ ขอให้พิจารณาสิ่งต่อไปนี้ องค์การอาหารและยาเสพย์ติด ได้กำหนดปัจจัยป้องกันแสงแดด (เอสพีเอฟ) ไว้ในผลิตภัณฑ์ป้องกันอันตรายจากแสงแดด และอันตรายต่าง ๆ นี้ได้พิมพ์ไว้บนขวดที่บรรจุผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
เอสพีเอฟ 2 ถึง 4 ป้องกันน้อยที่สุด เหมาะสำหรับผู้โชคดีที่ผิวไม่เกรียมง่ายและผิวคล้ำได้ง่าย ๆ
เอสพีเอฟ 4 ถึง 6 ป้องกันได้ปานกลาง สำหรับผู้ที่ผิวคล้ำได้ดี
เอสพีเอฟ 6 ถึง 8 ป้องกันพิเศษ สำหรับผู้ที่ผิวเกรียบปานปลาง และผิวคล้ำแดดช้า
เอสพีเอฟ 8 ถึง 14 ป้องกันได้มากที่สุด สำหรับผู้ที่ผิวเกรียมแดดง่าย และผิวคล้ำแดดยาก
เอสพีเอฟ 15 ขึ้นไป ป้องกันมากพิเศษสำหรับคนที่ผิวเกรียมง่าย และผิวไม่เคยคล้ำแดดเลย
ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามส่วนใหญ่กล่าวว่าผลิตภัณฑ์ชนิดใดก็ได้ที่มีตัวยาในระดับ 8 ขึ้นไปจะใช้ป้องกันผิวได้ดี
ไม่ว่าครีมกันแดดจะมีเอสพีเอฟในระดับไหนก็ตาม ตัวยาป้องกันเหล่านั้นก็อาจหลุดลอกได้ง่าย ควรแน่ใจว่าได้ทายากันแดดในขณะที่ตากแดดและทาซ้ำหลังจากว่ายน้ำแล้ว การใช้ครีมกันแดดนั้นต้องใช้เมื่อผิวแห้งสะอาด จากนั้นลูบตัวยาให้เสมอ ๆ กันไปในทางเดียวกัน คือ ไม่ทาย้อนขึ้นย้อนลง การถูจะทำให้ครีมนี้หลุดออกไป โปรดอย่าลืมทาครีมกันแดด หลังจากที่ทาครีมหรือน้ำยาให้ความชุ่มชื้นแล้ว จากนั้นจึงทาทับด้วยครีมรองพื้นอีกชั้นหนึ่งควรทำเช่นนี้ทุกเช้าจนเป็นกิจวัตรประจำวัน
สารเคมีในผลิตภัณฑ์กันแดดประกอบด้วยไทเทเนียมไดออกไซด์ และ ซิงค์ออกไซต์สารเหล่านี้เป็นสารทึบแสงทำให้แสงแดดไม่กระทบถึงผิวหน้า พวกยามรักษาการณ์บริเวณชายหาดริมน้ำ มักใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบเหล่านี้
น้ำยากันแดด และเยลลีกันแดดจะดูดซับแสงที่รวมเอา พาบา คือ กรดพาราอะมิโนเป็นโซอิค หรือสารเคมีที่ได้จากสารอื่น และเป็นโซฟีโนน ขอให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีทั้ง พาบาและเป็นโซฟีโนน และอย่าลืมเคลือบริมฝีปาก จมูก และบริเวณรอบ ๆ ตา ซึ่งเป็นส่วนที่บอบบาง ถ้าคุณมีวง คล้ำ ๆ รอบ ๆ นัยน์ตา การตากแดดจะยิ่งทำให้รอบตาคล้ำมากยิ่งขึ้น
เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องป้องกันริมฝีปากด้วยครีมกันแดด ถ้าเราโดนแดดจัด ๆ ขณะที่กำลังเหนื่อย ๆ และเครียดแล้ว อาจจะเกิดอาการเจ็บหรือบวมได้ ถ้าหากเป็นห่วงว่าทาครีมกันแดดแล้วริมฝีปากจะไม่สวย อาจหาซื้อยากันแดดสำหรับทาริมฝีปากที่มีลักษณะคล้าย ๆ ลิปสติกที่ทาเคลือบให้ริมฝีปากชุ่มชื้นได้
ผิวที่แห้งมาก อย่าใช้น้ำยากันแดดที่ผสมแอลกอฮอล์ และโปรดจำไว้ว่าน้ำยาที่ผสมน้ำมันที่คุณทาผิวเพียงครั้งเดียว จะเท่ากับเยลแห้งเร็วที่คุณทาเคลือบไว้ถึงสองชั้น
อย่าลืมทดสอบน้ำยากันแดดที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายคุณก่อนที่จะชโลมน้ำยากันแดดไปทั้งตัว เพราะคุณอาจจะแพ้กรดพาราอะมิโนเบ็นโซอิค หรือพาบาก็ได้
ถ้าคุณคิดว่าน้ำมัเบบี้ออยล์หรือน้ำมันมะพร้าวช่วยป้องกันผิวไม่ให้เกรียมแดดละก็คุณกำลังจะพบปัญหาผิวแล้ว การวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าการชโลมน้ำมันแล้วไปตากแดดนั้นเหมือนกับเราเอาผิวหนังไปย่างอย่างไรอย่างนั้นเลย คุณจะโดนย่างจริง ๆ เร็วขึ้นถ้าคุณชโลมน้ำมันแล้วไปนั่งผึ่งแดด
โปรดจำไว้ด้วยว่า ยาบางชนิดจะทำให้ผิวเกรียมแดดง่ายกว่าปรกติ ดังนั้นคุณควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาที่รับประทานก่อนที่จะไปอาบแดด บรรดาสารที่จะทำให้ผิวรับแดดไว้ขึ้นได้แก่ ยาร์บิทูเรต ยาน้ำ ยาระงับประสาท ยาแก้แพ้ ยาลดความดันโลหิต และยาคุมกำเนิด
งานวิจัยบางชิ้นเสนอว่าการดื่มน้ำโซดาลดความอ้วน และการอาบน้ำด้วยสบู่ด้วยกลิ่นก่อนอาบแดดอาจยิ่งทำให้ผิวเกรียมแดดยิ่งขึ้น น้ำหอมก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ถ้าใส่น้ำหอมแล้วออกไปอาบแดด อาจทำให้เกิดผื่นคันหรือชาเฉพาะที่
Showing posts with label นม. Show all posts
Showing posts with label นม. Show all posts
13.5.09
8.5.09
ดื่มนม แล้ว ท้องเสีย เลิกดื่ม ดีไหม
ดื่มนม แล้ว ท้องเสีย เลิกดื่ม ดีไหม
แต่มันช่วยสร้างแคลเซียม ป้องกันมะเร็งและเบาหวาน ปัญหา การดื่มนมแล้วท้องเสียนี้พบได้บ่อยพอสมควร โดยเฉพาะในคนไทยและคนในทวีปเอเชียและแอฟริกา เมื่อพบปัญหานี้ คนส่วนใหญ่มักจะแก้ไขโดยการหลีกเลี่ยงการดื่มนมไปเลย ก็ถือว่าเป็นการกำจัดที่ต้นเหตุที่ถูกต้องวิธีหนึ่ง แต่มีผลเสียคือ ทำให้ขาดการดื่มนม ซึ่งอาจทำให้ความแข็งแรงของกระดูกในร่างกายลดลงได้ นมถือได้ว่าเป็นแหล่งอาหารที่ให้แคลเซียมมากที่สุด การจะรับประทานอาหารอื่น ๆ เพื่อให้ได้จำนวนแคลเซียมเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายนั้นทำได้ยาก และต้องรับประทานอาหารจำนวนมาก และเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นไปได้ยาก เมื่อเปรียบเทียบกับการดื่มนม ซึ่งทำได้ง่ายและสะดวกกว่า อีกทั้งการดื่มนมเพียงวันละ 2-3 แก้ว ก็จะได้รับจำนวนแคลเซียมเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
ทำไมดื่มนมแล้วจึงท้องเสีย? คำ ถามนี้เป็นคำถามที่มีผู้ให้ความกระจ่างได้น้อย หลาย ๆ คนที่เกิดอาการนี้มักจะคิดว่า ตนเองแพ้นมวัว ดื่มนมทีไร ท้องเสียทุกครั้ง ความจริงก็คือ คนไทย คนแถบเอเชียและคนแถบแอฟริกานั้น จะมีน้ำย่อยสำหรับย่อยน้ำตาลแลคโตสตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 4-5 ปี หลังจากอายุนี้ น้ำย่อยนี้จะลดน้อยลงจนหมดไป จึงย่อยน้ำตาลแลคโตส ไม่ได้ ต้องเข้าใจให้ดีว่า น้ำตาลแลคโตสนี้พบในน้ำนม ที่ได้มาจากสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นนมวัวหรือนมแพะ จึงทำให้ดื่มนมที่ได้จากสัตว์ทีไรทำให้ท้องเสียทุกครั้งไป
แต่ ในปัจจุบันมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ดื่มนมวัวแล้วไม่เกิดอาการใด ๆ เลย ในทางการแพทย์เชื่อว่าเมื่อมีการดื่มนมวัวอย่างต่อเนื่อง แบคทีเรียในลำไส้จะมีการสร้างน้ำย่อยน้ำตาลแลคโตสนี้ขึ้นมา ซึ่งจะย่อยน้ำตาลแลคโตส ได้ จึงทำให้คนที่ดื่มนมอย่างต่อเนื่องจะไม่เกิดปัญหาการย่อยนมที่ดื่ม
นอก จากอาการท้องเสียแล้ว อาการอื่นที่คนทั่วไปอาจนึกไม่ถึงว่าเกิดจากการย่อยนมไม่ได้ดีก็คือ อาการท้องอืด จุกเสียด และแน่นหน้าอก รวมทั้งการผายลมบ่อย ๆ
เมื่อ พบปัญหานี้คือ ท้องเสีย จุกเสียด แน่นท้อง ทุกครั้งที่ดื่มนม คนส่วนใหญ่ก็มักจะเลิกดื่มนมไปเลย แต่ความเป็นจริง เราสามารถจะชนะอาการเหล่านี้ได้ทุกคน ขออย่าได้ท้อแท้ โดยในขั้นแรกให้ดื่มนมหลังรับประทานอาหารเช้า โดยดื่มประมาณ 30 มล. วันเว้นวัน ถ้ามีอาการดังที่กล่าวมาอย่างใดอย่างหนึ่ง ในครั้งต่อไปก็ให้ลดจำนวนนมลงมาครึ่งหนึ่ง จนมั่นใจว่า ไม่มีอาการ เช่น ดื่มนมหลังอาหารเช้าเพียง 15 มล. แล้วไม่เกิดอาการใด ๆ ก็ให้คงการดื่มนั้น ไปสัก 7 วัน ในสัปดาห์ต่อมาให้ดื่มนมเพิ่มเป็น 30 มล. โดยให้ดื่มทุกวันหลังอาหารเช้าเช่นเดิม และในสัปดาห์ต่อมาจึงเพิ่มเป็น 60 มล. ทุก ๆ วัน แล้วเพิ่มครั้งละ 30 มล. ในทุกสัปดาห์ ถ้าไม่มีอาการใด ๆ ก็ให้เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ จน ถึง 240 มล. หรือประมาณ 1 แก้ว หรือ 1 กล่องนม ก็จะเป็นจำนวนนมที่ต้องการได้ ในกรณีที่เพิ่มไปได้เพียง 150 มล. แล้วเกิดอาการจุกเสียด ก็ให้ลดลงมาในระดับก่อนหน้าที่ไม่เกิดอาการ แล้วคงระดับนั้นไปอีก 2-3 สัปดาห์จึงค่อยเพิ่มจำนวนอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อ สามารถดื่มนมได้ครั้งละ 240 มล. หลังอาหารโดยไม่เกิดอาการใด ๆ ก็มีโอกาสสูงที่จะสามารถดื่มนมในขณะท้องว่างหรือก่อนอาหารได้ โดยในขั้นแรกอาจจะลองดื่มเพียง 60 มล. ก่อน แล้วค่อยเพิ่มเป็นครั้งละ 120, 180 และ 240 มล. ตามลำดับถ้าสามารถดื่มนมครั้งละ 240 มล. ในขณะท้องว่างโดยไม่เกิดอาการใด ๆ ภายหลังดื่ม 8 ชั่วโมง ก็แสดงว่าไม่มีปัญหาการย่อยและดูดซึมนมแล้ว ต่อไปก็ควรเพิ่มการดื่มนมเป็นวันละ 2 แก้ว หรือ 2 กล่อง
เนื่อง จากนมวัวที่เรานำมาดื่มนั้นมีการปรับแต่ง ทำให้มีหลายคุณภาพ โดยเฉพาะทางด้านไขมัน ที่เราเรียกว่า นมสด หรือรสจืดจะมีไขมันอยู่ 4% นมพร่องมันเนยจะมีไขมันอยู่ 2% และนมขาดมันเนยจะไม่มีไขมันเลย แต่นมทั้ง 3 ชนิดมีน้ำตาลแลคโตสเท่ากันคือ 4-5% จึงแตกต่างกันเฉพาะจำนวนไขมัน จึงให้พลังงานที่แตกต่างกัน แต่ให้จำนวนแคลเซียม แร่ธาตุ น้ำตาลนมและโปรตีนเท่ากัน โดยนมวัวสด นมพร่องมันเนย และนมขาดมันเนย จะให้พลังงาน 170, 130 และ 85 กิโลแคลอรีต่อ 240 มล. ตามลำดับ สำหรับผู้ใหญ่และเด็กที่มีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมแล้ว แนะนำให้ดื่มนมขาดมันเนย เพื่อจะลดจำนวนพลังงานที่ได้จากนม
ยัง มีนมวัวที่อยู่ในรูปอื่น ๆ ที่อาจจะรับประทานระหว่างวัน เช่น ชีส เค้ก หรือไอศกรีม ก็จะเป็นแหล่งที่ให้แคลเซียมเพิ่มเติม นอกจากนั้น ผักใบเขียว โดยเฉพาะบริเวณก้านก็จะให้แคลเซียมได้มากพอสมควร เช่น คะน้า และผักบรอกโคลี เพียงแต่การดูดซึมแคลเซียมจากผักอาจจะไม่ได้ดีเท่ากับ การดูดซึมจากนมและ ในบางโอกาสอาจจะไม่อยากดื่มนม หรือไม่มีโอกาสดื่มนมหรือไม่ชอบดื่มนม ก็สมควรที่จะรับประทานยาเม็ดแคลเซียมเสริมเป็นประจำทุกวัน อย่างต่ำวันละ 1,000 มิลลิกรัม ทั้งนี้เพื่อบำรุงกระดูกให้มีความแข็งแกร่งตลอดเวลา โดยร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และได้รับแสงแดดเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 20 นาทีขึ้นไป ก็จะทำให้คุณภาพของกระดูกในร่างกายแข็งแรงอย่างเต็มที่ และยังช่วยป้องกันมะเร็งและเบาหวานได้ด้วย.
ที่มา : adsthai.net
แต่มันช่วยสร้างแคลเซียม ป้องกันมะเร็งและเบาหวาน ปัญหา การดื่มนมแล้วท้องเสียนี้พบได้บ่อยพอสมควร โดยเฉพาะในคนไทยและคนในทวีปเอเชียและแอฟริกา เมื่อพบปัญหานี้ คนส่วนใหญ่มักจะแก้ไขโดยการหลีกเลี่ยงการดื่มนมไปเลย ก็ถือว่าเป็นการกำจัดที่ต้นเหตุที่ถูกต้องวิธีหนึ่ง แต่มีผลเสียคือ ทำให้ขาดการดื่มนม ซึ่งอาจทำให้ความแข็งแรงของกระดูกในร่างกายลดลงได้ นมถือได้ว่าเป็นแหล่งอาหารที่ให้แคลเซียมมากที่สุด การจะรับประทานอาหารอื่น ๆ เพื่อให้ได้จำนวนแคลเซียมเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายนั้นทำได้ยาก และต้องรับประทานอาหารจำนวนมาก และเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นไปได้ยาก เมื่อเปรียบเทียบกับการดื่มนม ซึ่งทำได้ง่ายและสะดวกกว่า อีกทั้งการดื่มนมเพียงวันละ 2-3 แก้ว ก็จะได้รับจำนวนแคลเซียมเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
ทำไมดื่มนมแล้วจึงท้องเสีย? คำ ถามนี้เป็นคำถามที่มีผู้ให้ความกระจ่างได้น้อย หลาย ๆ คนที่เกิดอาการนี้มักจะคิดว่า ตนเองแพ้นมวัว ดื่มนมทีไร ท้องเสียทุกครั้ง ความจริงก็คือ คนไทย คนแถบเอเชียและคนแถบแอฟริกานั้น จะมีน้ำย่อยสำหรับย่อยน้ำตาลแลคโตสตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 4-5 ปี หลังจากอายุนี้ น้ำย่อยนี้จะลดน้อยลงจนหมดไป จึงย่อยน้ำตาลแลคโตส ไม่ได้ ต้องเข้าใจให้ดีว่า น้ำตาลแลคโตสนี้พบในน้ำนม ที่ได้มาจากสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นนมวัวหรือนมแพะ จึงทำให้ดื่มนมที่ได้จากสัตว์ทีไรทำให้ท้องเสียทุกครั้งไป
แต่ ในปัจจุบันมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ดื่มนมวัวแล้วไม่เกิดอาการใด ๆ เลย ในทางการแพทย์เชื่อว่าเมื่อมีการดื่มนมวัวอย่างต่อเนื่อง แบคทีเรียในลำไส้จะมีการสร้างน้ำย่อยน้ำตาลแลคโตสนี้ขึ้นมา ซึ่งจะย่อยน้ำตาลแลคโตส ได้ จึงทำให้คนที่ดื่มนมอย่างต่อเนื่องจะไม่เกิดปัญหาการย่อยนมที่ดื่ม
นอก จากอาการท้องเสียแล้ว อาการอื่นที่คนทั่วไปอาจนึกไม่ถึงว่าเกิดจากการย่อยนมไม่ได้ดีก็คือ อาการท้องอืด จุกเสียด และแน่นหน้าอก รวมทั้งการผายลมบ่อย ๆ
เมื่อ พบปัญหานี้คือ ท้องเสีย จุกเสียด แน่นท้อง ทุกครั้งที่ดื่มนม คนส่วนใหญ่ก็มักจะเลิกดื่มนมไปเลย แต่ความเป็นจริง เราสามารถจะชนะอาการเหล่านี้ได้ทุกคน ขออย่าได้ท้อแท้ โดยในขั้นแรกให้ดื่มนมหลังรับประทานอาหารเช้า โดยดื่มประมาณ 30 มล. วันเว้นวัน ถ้ามีอาการดังที่กล่าวมาอย่างใดอย่างหนึ่ง ในครั้งต่อไปก็ให้ลดจำนวนนมลงมาครึ่งหนึ่ง จนมั่นใจว่า ไม่มีอาการ เช่น ดื่มนมหลังอาหารเช้าเพียง 15 มล. แล้วไม่เกิดอาการใด ๆ ก็ให้คงการดื่มนั้น ไปสัก 7 วัน ในสัปดาห์ต่อมาให้ดื่มนมเพิ่มเป็น 30 มล. โดยให้ดื่มทุกวันหลังอาหารเช้าเช่นเดิม และในสัปดาห์ต่อมาจึงเพิ่มเป็น 60 มล. ทุก ๆ วัน แล้วเพิ่มครั้งละ 30 มล. ในทุกสัปดาห์ ถ้าไม่มีอาการใด ๆ ก็ให้เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ จน ถึง 240 มล. หรือประมาณ 1 แก้ว หรือ 1 กล่องนม ก็จะเป็นจำนวนนมที่ต้องการได้ ในกรณีที่เพิ่มไปได้เพียง 150 มล. แล้วเกิดอาการจุกเสียด ก็ให้ลดลงมาในระดับก่อนหน้าที่ไม่เกิดอาการ แล้วคงระดับนั้นไปอีก 2-3 สัปดาห์จึงค่อยเพิ่มจำนวนอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อ สามารถดื่มนมได้ครั้งละ 240 มล. หลังอาหารโดยไม่เกิดอาการใด ๆ ก็มีโอกาสสูงที่จะสามารถดื่มนมในขณะท้องว่างหรือก่อนอาหารได้ โดยในขั้นแรกอาจจะลองดื่มเพียง 60 มล. ก่อน แล้วค่อยเพิ่มเป็นครั้งละ 120, 180 และ 240 มล. ตามลำดับถ้าสามารถดื่มนมครั้งละ 240 มล. ในขณะท้องว่างโดยไม่เกิดอาการใด ๆ ภายหลังดื่ม 8 ชั่วโมง ก็แสดงว่าไม่มีปัญหาการย่อยและดูดซึมนมแล้ว ต่อไปก็ควรเพิ่มการดื่มนมเป็นวันละ 2 แก้ว หรือ 2 กล่อง
เนื่อง จากนมวัวที่เรานำมาดื่มนั้นมีการปรับแต่ง ทำให้มีหลายคุณภาพ โดยเฉพาะทางด้านไขมัน ที่เราเรียกว่า นมสด หรือรสจืดจะมีไขมันอยู่ 4% นมพร่องมันเนยจะมีไขมันอยู่ 2% และนมขาดมันเนยจะไม่มีไขมันเลย แต่นมทั้ง 3 ชนิดมีน้ำตาลแลคโตสเท่ากันคือ 4-5% จึงแตกต่างกันเฉพาะจำนวนไขมัน จึงให้พลังงานที่แตกต่างกัน แต่ให้จำนวนแคลเซียม แร่ธาตุ น้ำตาลนมและโปรตีนเท่ากัน โดยนมวัวสด นมพร่องมันเนย และนมขาดมันเนย จะให้พลังงาน 170, 130 และ 85 กิโลแคลอรีต่อ 240 มล. ตามลำดับ สำหรับผู้ใหญ่และเด็กที่มีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมแล้ว แนะนำให้ดื่มนมขาดมันเนย เพื่อจะลดจำนวนพลังงานที่ได้จากนม
ยัง มีนมวัวที่อยู่ในรูปอื่น ๆ ที่อาจจะรับประทานระหว่างวัน เช่น ชีส เค้ก หรือไอศกรีม ก็จะเป็นแหล่งที่ให้แคลเซียมเพิ่มเติม นอกจากนั้น ผักใบเขียว โดยเฉพาะบริเวณก้านก็จะให้แคลเซียมได้มากพอสมควร เช่น คะน้า และผักบรอกโคลี เพียงแต่การดูดซึมแคลเซียมจากผักอาจจะไม่ได้ดีเท่ากับ การดูดซึมจากนมและ ในบางโอกาสอาจจะไม่อยากดื่มนม หรือไม่มีโอกาสดื่มนมหรือไม่ชอบดื่มนม ก็สมควรที่จะรับประทานยาเม็ดแคลเซียมเสริมเป็นประจำทุกวัน อย่างต่ำวันละ 1,000 มิลลิกรัม ทั้งนี้เพื่อบำรุงกระดูกให้มีความแข็งแกร่งตลอดเวลา โดยร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และได้รับแสงแดดเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 20 นาทีขึ้นไป ก็จะทำให้คุณภาพของกระดูกในร่างกายแข็งแรงอย่างเต็มที่ และยังช่วยป้องกันมะเร็งและเบาหวานได้ด้วย.
ที่มา : adsthai.net
Subscribe to:
Posts (Atom)