30.5.09

สารเอ็นโดฟินส์กับความรัก

สารเอ็นโดฟินส์กับความรัก

ในสมองของคนเรามีกลไกการทำงานที่ซับซ้อนมากมายและมีการหลั่งสารเคมีหลายชนิดเมื่อเรากำลังมีความรัก หนึ่งในสารเคมีเหล่านั้นคือสาร เอ็นโดฟินส์ ( ENDORPHINES) หรือ สารแห่งความสุข หรือ สารสุข

เรื่อง: พญ.เรขา กลลดาเรืองไกร
ความรักไม่ให้สิ่งอื่นใดนอกจากตนเองและก็ไม่รับเอาสิ่งใดนอกจากตนเองความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมถูกครอบครองเพราะความรักนั้นพอเพียงแล้วสำหรับตอบความรักคาลิล ยิบราน

ถึงแม้ว่าจะผ่านวันแห่งความรักมานานแล้ว แต่เราก็ยังคงสัมผัสกับความรักอยู่เสมอไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ความรักเป็นสิ่งจรรโลงใจให้กับมนุษย์มานานแสนนาน อาจสังเกตได้จากบทเพลง บทกวี นวนิยาย ละคร หรืออุปรากรต่างๆ ก็มักวนเวียนอยู่กับเรื่องของความรัก

ความรักของแต่ละคนก็มีนิยามแตกต่างกัน บางคนมีความรักที่หมายถึงความรู้สึกอยากอยู่ใกล้ คิดถึงเมื่ออยู่ห่างไกล ต้องการทำสิ่งที่ดีให้เพื่อเอาใจ บางคนความรักหมายถึงการอยากใช้ชีวิตด้วย อยากมีครอบครัวด้วยกัน อยากแก่ไปด้วยกัน

บางครั้งความรักก็นำความทุกข์มาให้แก่คนเรา แต่หลายๆ ครั้งที่ความรักนำความสุข ความอิ่มใจ ปลื้มปิติมาให้ทั้งแก่ผู้รักและผู้ถูกรัก

หลายท่านอาจเคยมีประสบการณ์ยามเมื่อแรกรักใหม่ๆ ถึงแม้จะเป็นการแอบชอบ แอบรักใครสักคนก็ตาม ก็มักรู้สึกว่าช่วงนั้นพิเศษกว่าปกติ สามารถนั่งอมยิ้มได้คนเดียวเมื่อนึกถึง มองอะไรๆ สดชื่นไปหมด อยากรู้ความเป็นไปของคนที่เรารักทุกอย่าง บ่อยครั้งก็มองเห็นแต่ข้อดีของคนที่เราชอบ เรารัก ต่อมาเมื่อคบกันนานเข้า ก็ต้องมีการปรับตัวเข้าหากัน เมื่อคนที่รักกันอยู่ด้วยกันนานๆ ก็มักจะมี ความผูกพัน กัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เพิ่มขึ้นมานอกเหนือจากความรู้สึกรักใคร่ในช่วงแรก

สารเอ็นโดฟินส์เป็นสารเคมีจำพวกเดียวกับฝิ่น (opioid) ซึ่งผลิตขึ้นภายในร่างกาย โดยสมองส่วนไฮโปธารามัส (Hypothalamus) และต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) อันเนื่องมาจากเป็นสารเคมีจำพวกเดียวกับฝิ่นจึงมีฤทธิ์บรรเทาอาการปวด (Analgesia) และทำให้รู้สึกสุขสบาย (Sense of well-being)หรืออีกนัยหนึ่ง สารเอ็นโดฟินส์ก็คือ ยาแก้ปวดแบบธรรมชาติ นั่นเอง

สารเอ็นโดฟินส์นี้ถูกค้นพบครั้งแรกโดย John Hughs และ Hans Kosterlitz ในปี ค.ศ.1975 โดยพบในสมองของสุกร ในขณะนั้นเขาได้ให้ชื่อว่าสาร Enkephalins (ในภาษากรีก egkephalos มีความหมายว่า ภายในกะโหลกศีรษะ) และต่อมาได้มีการค้นพบสารเอ็นโดฟินส์อีกหลายชนิดในมนุษย์ โดยคำว่า Endophine นั้นมีที่มาจากคำว่า Endogenous Morphine ซึ่งหมายถึงสารมอร์ฟีนที่ถูกผลิตขึ้นภายในร่างกายโดยธรรมชาติซึ่งไม่ก่อผลเสียต่อร่างกาย

เมื่อเรามีความสุขหรืออยู่ในสภาวะที่สุขสบาย (Pleasure experience) ไม่ว่าจะเป็นการจินตนาการหรือความรู้สึกจากประสาทรับสัมผัสทั้ง 5 เช่น การเล่นคลอเคลียกันสัตว์เลี้ยงแสนรัก การฟังดนตรีเพราะๆ การอ่านหนังสือที่ถูกใจ การดูภาพยนตร์ การออกกำลังกาย (ในบางตำรากล่าวว่าต้องเป็นการออกกำลังกายที่หนักๆ) การทำสมาธิ หรือการที่มีความรู้สึกรัก การได้พูดคุยกับคนที่เรารัก การได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่เรารัก การได้สัมผัสถ่ายทอดความรักซึ่งกันและกัน กระทั่งการได้ร่วมรักกับคนที่เรารัก ขั้นตอนการเล้าโลม เหล่านี้เป็นการกระตุ้นให้สมองเกิดการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์ขึ้น(โดยพบว่ามีการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์อย่างมากในช่วง orgasm)

เมื่อสารเอ็นโดฟินส์ที่หลั่งออกมานี้จะไปจับกับตัวรับ(receptor) ชนิด Opioid ในสมอง ก็จะมีผลโดยรวมทำให้เกิดการหลั่งของสารโดปามีน(Dopamine) มากขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดผลดีต่อร่างกายต่างๆ เช่น บรรเทาความเจ็บปวด เกี่ยวข้องกับสมดุล ความหิว การนอนหลับ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบหายใจ ระบบควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย นอกจากนี้ยังมีผลต่อการควบคุมการสร้างฮอร์โมนเพศ (sex hormones) และที่สำคัญสารเอ็นโดฟินส์สามารถส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Immune system) โดยมีการศึกษาและรายงานถึงผลของการหัวเราะว่าทำให้เกิดการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์ในสมองมากขึ้น จะเกิดการกดการทำงานของ Stress hormone หรือฮอร์โมนที่หลั่งเมื่อร่างกายเผชิญกับสภาวะที่เครียด เช่น Adrenaline มีผลทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ ผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้อาการปวดบรรเทาลง และมีผลทำให้หลอดเลือดขยายตัวได้ดีขึ้น ทำให้เม็ดเลือดขาวเดินทางเข้าไปฆ่าเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น โอกาสเจ็บป่วยก็จะลดลง คือทำให้สุขภาพแข็งแรงขึ้นนั่นเอง ดังนั้นการที่มีกิจกรรมใดก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกเป็นสุขมีการหลั่งสารเอ็นเอ็นโดฟินส์ย่อมมีส่วนเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกายได้เสมอ

เนื่องจากร่างกายกับจิตใจมีความเชื่อมประสานกันอย่างแยกไม่ได้ ในบางครั้งอาจเคยสังเกตว่าเวลาไม่สบายกาย จิตใจก็มักหงุดหงิดหรือหดหู่ไปด้วย หรือเวลาที่ไม่สบายใจ ร่างกายก็พลอยเบื่ออาหาร นอนไม่หลับไปด้วย ดังนั้นเวลาที่คนเราไม่สบาย นอกจากการรับประทานยาตามแพทย์สั่งแล้ว การอยู่ในสภาวะที่มีความสบายกาย และสบายใจ หรือมีความสุขใจ ก็มีผลดีต่ออาการเจ็บป่วยทางร่างกาย การมีความรัก มีคนรักคอยเอาใจใส่ดูแลอยู่ใกล้ๆ การได้รับสัมผัสการกอด จูบ การลูบหัว จับมือจากคนรัก ซึ่งจะทำให้รู้สึกอบอุ่นใจ สบายใจขึ้นทันที เป็นสิ่งที่ทำให้เกิด Pleasure experience เมื่อมีการหลั่งสารเอ็นโดฟินส์แล้ว คนรักที่กำลังไม่สบายก็จะรู้สึกเจ็บปวดน้อยลง การทำงานของเม็ดเลือดขาวและระบบภูมิคุ้มกันโรคก็แข็งแรงขึ้น มีผลให้หายเจ็บป่วยได้ไวขึ้นเช่นกัน ดังจะเห็นได้ว่าความรักนั้น นอกจากจะทำให้สุขใจแล้ว ยังทำให้สุขกายได้อีกด้วย

ในผู้ที่ติดสารเสพติดนั้น เหตุผลของการใช้สารเสพติดมักเกี่ยวข้องกับความต้องการคลายเครียด คลายความทุกข์ใจ อยากรู้สึกสนุกหรือมีความสุขมากขึ้น ฯลฯ ซึ่งจะพบว่า ถ้าครอบครัว และสังคม มีความรัก ความอบอุ่นให้แก่กันเพียงพอ และรู้จักการหาความสุขจากกิจกรรมที่สร้างสรรค์ ก็จะเกิดการหลั่งของ Endogenous Morphine หรือ Endorphine ทำให้รู้สึกสุขสบาย ไม่ต้องหาสารสุขจากภายนอก เชื่อว่าจะช่วยลดปัญหาการใช้สารเสพติดลงได้เป็นอย่างยิ่ง

ที่มา : นิตยสาร Health Today

29.5.09

ผมแห้งเสียกลับนุ่มสวย

ผมแห้งเสียกลับนุ่มสวย

ผมแห้งแตกปลายมากจากการทำสีมาหลายครั้ง และไปดัดผมมาด้วยยิ่งทำให้แห้งไปใหญ่ อบไอน้ำและทำทรีตเม้นท์แต่ก็ไม่ดีขึ้นเลย จะบำรุงอย่างไรดีคะ
บำรุงล้ำลึกยาวนาน
Q: มีอาชีพเป็นพริตตี้ทำให้ต้องเกล้าและยีผมบ่อยครั้ง รู้สึกว่าผมแห้งและหยาบกระด้างมาก ทำรีบอนดิ้งมาพักหนึ่งแล้วพอจะมีการบำรุงอย่างไรบ้างที่จะทำให้ผมกลับมามีสุขภาพดีเหมือนเดิม (สุมาลี สุขเกษมสันต์/นครปฐม)
A: สำหรับการทำรีบอนดิ้งนั้นมีผลทำให้เส้นผมแห้งจากการโดนสารเคมีโดยตรงอย่างแรง ยิ่งทำผมหลากหลายทรงบ่อยครั้งทำให้รากผมเกิดการดึงและผมฉีกขาดได้ การบำรุงรักษาควรใช้แชมพูและครีมนวดเฉพาะสำหรับผมทำเคมี และหมั่นที่จะคอยทำทรีตเม้นท์ให้เส้นผมอาทิตย์ละ 2 ครั้งเพื่อคืนความชุ่มชื่นให้กับเส้นผม และหลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนกับเส้นผม (เทพชัย สนธยานนท์/เทคนิเชี่ยนจาก Schwarzkopf Professional)
ผมแห้งเสียกลับนุ่มสวย
Q: ผมแห้งแตกปลายมากจากการทำสีมาหลายครั้งและไปดัดผมมาด้วยยิ่งทำให้แห้งไปใหญ่ อบไอน้ำและทำทรีตเม้นท์แต่ก็ไม่ดีขึ้นเลย จะบำรุงอย่างไรดีคะ (อุไรวรรณ มั่งมีศรี/ชุมพร)
A: การทำเคมีบ่อยครั้งทำให้ผมเสียความชุ่มชื่นอย่างมากเพราะสารเคมีจะทำปฏิกิริยากับโครงสร้างผมทำให้ผมแห้งและกรอบ ขาดง่าย ดังนั้นจึงควรหมั่นเล็มปลายผมและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพของเส้นผมทั้งแชมพูและครีมนวด และลองเปลี่ยนการทำทรีตเม้นท์มาเป็นการหมักผมโดยไม่ใช้ความร้อน หรือใช้มาสก์แทนการใช้ครีมนวดทุกครั้งหลังสระผมก็จะช่วยให้เส้นผมมีความชุ่มชื่นขึ้น (กิตติมา บุญจันทร์/เทคนิเชี่ยนจาก Dcash Professional)
ฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน
Q: อยากเปลี่ยนสีผมแต่ผมค่อนข้างดำมากช่างแนะนำว่าให้ฟอกสีผมก่อนแล้วค่อยลงสีพอทำแล้วผมแห้ง และร่วงมาก ไม่ทราบพอจะมีวิธีรักษาอย่างไรบ้างที่จะทำให้ผมกลับมาสุขภาพดีเหมือนเดิม (วิจิตร ศรีสมบูรณ์/สุราษฎร์ธานี)
A: การฟอกสีผมทำให้สีผมที่เข้มอ่อนลง แต่เป็นการทำให้เส้นผมเปราะบาง เพราะน้ำมันและเกล็ดที่เคลือบเส้นผมอยู่หลุดไปทำให้ผมไม่มีเกราะป้องกัน เป็นเหตุให้เส้นผมอ่อนแอควรหมั่นบำรุงทั้งการอบไอน้ำและทำทรีตเม้นท์ควบคู่กันไป ถ้าจะให้ดีควรทำสปาให้กับเส้นผมด้วยเพื่อเป็นการฟื้นฟูเส้นผม และใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลผมทำสีโดยเฉพาะ (ไกรษร อธิมา/เทคนิเชี่ยนจาก Wella Professional)
try this
Just Modern Spa Addix Glossing Serum เซรั่มบำรุงสูตรเข้มข้นเพื่อผมประกายเงางาม 180 บาท
Lorina Professional Use Only Hair Spa Treatment Pearl Powder ทรีตเม้นท์บำรุงป้องกันผมแห้งเสียแตกปลาย 120 บาท
Audace Silky Hair Treatment ทรีตเม้นท์บำรุงสำหรับผมแห้งเสียแตกปลายให้กลับนุ่มชุ่มชื่นมีชีวิตชีวาสปริงตัวสวย 70 บาท
Kerastase Resistance Volumactive Light Volume Contouring Care Masque ครีมมาสก์บำรุงเพื่อเส้นผมหนานุ่มสลวย 1,460 บาท
Wella Biotouch Nutrition-Care Color Conditioner ครีมนวดผมสูตรเข้มข้นเพื่อการบำรุงสำหรับผมทำสี 360 บาท
Program Solution Shampoo CS แชมพูสำหรับผมทำสีให้กลับนุ่มสลวย 520 บาท
Schwarzkopf Professional Bonacure Hairtherapy Hair Growth Regime เซรั่มบำรุงสำหรับผู้มีปัญหาผมร่วงให้กลับหนานุ่มขึ้น 1,820 บาท
Bain De Terre Fortifying Conditioner For Fine Thinning Chemically -Treated Hair ครีมนวดผมสำหรับผมทำเคมีให้นุ่มชุ่มชื่น 420 บาท

ที่มา : นิตยสาร Hair ฉบับภาษาไทย

28.5.09

ดูแลผมสวยด้วยน้ำส้มสายชู

ดูแลผมสวยด้วยน้ำส้มสายชู

ทราบหรือไม่ว่า น้ำส้มสายชู สามารถทำให้ผมสวยได้ วันนี้เรามีเรื่องนี้มาฝาก
การใช้น้ำส้มสายชู นอกจากจะช่วยให้มีเส้นผมเป็นเงางามแล้ว ยังช่วยคืนสภาพเส้นผมที่แห้ง และแตกปลายให้กลับมีสุขภาพดีขึ้นด้วย

1. เติมน้ำส้มสายชู 4 ช้อนชา ลงในแชมพู 2 ช้อนโต๊ะ ชโลมให้ทั่วศรีษะขณะสระผม
2. ใช้น้ำส้มสายชูชนิดใสสำหรับสีผมอ่อน และน้ำส้มสายชูบัลซามิค สำหรับผมที่มีสีเข้ม
3. น้ำส้มสายชูที่ทำจากแอปเปิ้ล จะช่วยในการขจัดแชมพูส่วนเกินที่ตกค้างอยู่บนหนังศรีษะ และ ปรับสภาพเส้นผมได้เป็นอย่างดีเมื่อใช้ในการล้างผมขั้นสุดท้ายอาจผสมน้ำอุ่น ในปริมาณที่เท่ากันก่อนใช้ก็ได้
4. ใช้น้ำส้มสายชูชนิดใสครึ่งถ้วยผสมน้ำมะนาวครึ่งถ้วย หมักผม 10 นาที ก่อนสระผมจะช่วยให้สีผมที่คุณย้อมไว้เข้มขึ้น
5. ผสมน้ำส้มสายชู ชนิดที่ทำจากไวน์กับซอสถั่วเหลือง ใช้หมักผมและทิ้งไว้ 15 นาที ก่อนล้างออกจะช่วยขับสีผมที่เข้มหรือดำให้ดำขึ้นทีละน้อย ทั้งนี้นอกจากซอสถั่วเหลืองจะมีโปรตีนที่ช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรงขึ้นแล้ว ยังมีเม็ดสีซึ่งจะช่วยให้ผมดำเข้มขึ้นอีกด้วย ใครที่อยากมีผมสวยแต่ไม่อยากลงทุนเยอะ ลองนำน้ำส้มสายชูมาดูแลรักษาผมให้สวยกันดูได้.

27.5.09

ทิปส์ที่ต้องทำเพื่อผมสวย

ทิปส์ที่ต้องทำเพื่อผมสวย

ทิปส์ดีๆ แปลกๆ ที่จะช่วยให้คุณมีเส้นผมสวยสลวยชวนมองแบบไม่พึ่งเอฟเฟ็กต์ ที่อยากแนะนำให้ลองทำ
Healthy HAIR, To Do Now! การดูแลสุขภาพเส้นผมมีหลักการไม่ต่างกับสุขภาพกาย เพราะต่างก็ใช้หลักการเดียวกันคือ ความใส่ใจประจำวันสามารถป้องกันปัญหาใหญ่ได้ และนี่คือทิปส์ดีๆ แปลกๆ ที่จะช่วยให้คุณมีเส้นผมสวยสลวยชวนมองแบบไม่พึ่งเอฟเฟ็กต์ ที่อยากแนะนำให้ลองทำ Chic Your Hair Now! 1. ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ทรีตเมนต์ ที่ผลิตแบบออร์แกนิกซึ่งใช้วัตถุดิบและกรรมวิธีจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีให้มากที่สุด เพื่อปกป้องและบำรุงผมให้สุขภาพแข็งแรง สวยงามแบบยั่งยืน
2. เลือกผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมจากส่วนประกอบจมูกข้าว, โจโจ้บา, น้ำมัน-มะพร้าว, เคราติน, วิตามินไบโอติน, แพนทีนอล, วิตามินเอ, อี และน้ำมันสกัดจากธัญพืช จะช่วยบำรุงรากผม ป้องกันการหลุดร่วง
3. ระหว่างสระผม ควรใช้ปลายนิ้วนวดเบาๆ ให้ทั่วศีรษะอย่างน้อย 5 นาที หลังล้างออก นวดด้วยครีมนวดอีก 5 นาที เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเส้นเลือดบริเวณรากผม
4. ควรปล่อยให้ผมแห้งตามธรรมชาติ หรือใช้พัดลมช่วยเป่าให้แห้ง หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด ทั้งเครื่องเป่าผม แกนดัดลอน หรือที่หนีบผม
5. รักษาความสมดุลของรูปร่าง และหากคุณกำลังอยู่ในช่วงจำกัดแคลอรี ก็ควรรับประทานอาหารให้ครบทุกหมวดหมู่ ตามความต้องการที่จำเป็นของร่างกาย เป็นวิธีที่ได้ผลมากที่สุดต่อความสวยงามของเส้นผมมากกว่าการทำทรีตเมนต์ หรือใช้เซรั่มบำรุง
6. ควรสระผมและนวดระหว่างลงแชมพู ครีมนวดทุกวัน หรืออย่างน้อยวันเว้นวัน เพื่อกระตุ้นระบบสมดุลของหนังศีรษะ และช่วยเสริมการสร้างน้ำมันหล่อเลี้ยงผมตามกระบวนการธรรมชาติ
7. เลือกแชมพูที่มีค่าพีเอชเป็นกลาง หลังสระควรล้างด้วยน้ำอุณหภูมิห้อง หรือน้ำเย็นเล็กน้อยเพื่อความเงางาม อย่าใช้น้ำร้อนเด็ดขาด เพราะจะทำให้เส้นผมอ่อนแอ
8. ไม่ควรแปรงผมขณะที่เปียกโชก ควรรอให้หมาดและใช้แปรงที่มีซี่ห่างเพื่อหลีกเลี่ยงการดึงเส้นผมให้ยืดออก ซึ่งทำร้ายเส้นผม
9. กำจัดรังแคด้วยการใช้น้ำมันโจโจ้บาผสมน้ำมันโรสแมรี่สกัด 1-2 หยด หรือน้ำมันสกัดจากชา นวดศีรษะ 15 นาที แล้วล้างออก วิธีนี้จะช่วยบำรุงเส้นผม หากทำเป็นประจำทุกสัปดาห์
10. ฟื้นฟูผมแห้งเสียด้วยการใช้น้ำผลไม้สกัด Apple Cider ผสมน้ำในอัตราส่วนหนึ่งต่อหนึ่ง นวดเส้นผม และล้างออก จากนั้นค่อยตามด้วยครีมบำรุงผมเนื้อเข้มข้นสูตรธรรมชาติ ทำเป็นประจำทุก 2 สัปดาห์ เส้นผมจะค่อยๆ กลับมีชีวิตชีวา และเงางาม
11. เพื่อเส้นผมที่เงางาม ควรแปรงด้วยหวีจุ่มน้ำมันสกัดคาโมมายล์ หรือน้ำมันสกัดจากเลมอน ผสมน้ำมันโจโจ้บาในอัตราส่วนหนึ่งต่อหนึ่ง และปล่อยให้แห้งตามธรรมชาติทุกวัน อย่าใช้น้ำมันต่างๆ กับเส้นผมโดยไม่ได้ผสมโจโจ้บาเด็ดขาด เพราะความเข้มข้นจะทำร้ายเส้นผมให้เสียสวย
12. ถ้าไม่มีเวลา แต่ต้องการให้เส้นผมดูเงางาม ให้ใช้น้ำมะนาว 1 ผล ผสมน้ำอุ่น 1 ลิตร ล้างศีรษะหลังนวดผม แล้วปล่อยให้แห้งตามธรรมชาติ เส้นผมจะเงางามทันใจ
13. ผมลีบแบน ควรหลีกเลี่ยงการใช้หวีจากวัสดุพลาสติก เพราะไฟฟ้าสถิตจะยิ่งทำให้เส้นผมแย่ลง และไม่ควรใช้ที่คาดผม ยางรัด หรือเครื่องประดับที่รัดกระชับเส้นผม วิธีที่ดีคือการใช้แปรงจากไม้ หรือกระดูกสัตว์ซี่ห่าง หวีแต่งทรง และปล่อยผมตามธรรมชาติ เพื่อให้ผิวผมได้หายใจ ถึงจะเกิดมาสวยแบบไม่ได้เลือก แต่สาวอย่างเราก็มีผมสวยเลือกได้ จริงมั้ยคะ ว่าแต่ว่าจะทำไงดีล่ะ ถ้าทำตามทิปส์แล้ว ผมดันสวยเกินหน้าเกินตา อย่างนี้มิต้องหันหลังเฟลิร์ตหนุ่มหล่อเหรอคะ เอาเหอะ ไว้ค่อยคิดทีหลัง อย่างน้อยชีวิตนี้ก็มีอะไรที่สวยสุดๆ สักอย่างแบบอวดออกวัดวาได้ก็ละกัน

ที่มา : นิตยสาร Women Plus

25.5.09

วิธีลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้า

วิธีลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้า

ใครที่เป็นแผลขรุขระบนใบหน้า และอยากลดรอยแผล วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีมาบอก...

1. การใช้ยาทา แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาทา ในกรณีที่เป็นไม่มากนัก หรือใช้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ ยาที่ใช้มักเป็นยาในกลุ่มวิตามิน A โดยตัวยาจะไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้รอยแผลตื้นขึ้น

2. การจี้ด้วยน้ำยา TCA เพื่อกระตุ้นในรอยแผลมีการสร้างเซลล์ หลังการจี้จะเกิดสะเก็ดดำ ๆ อยู่ประมาณสัปดาห์ แล้วจึงหลุดไปเอง แต่ว่าห้ามแกะเด็ดขาด

3. การรักษาด้วย ไอออนโต (IONTO) เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าขับตัวยา ซึ่งนิยมใช้ คือกลุ่มวิตามิน A เข้าไปในผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ เพื่อให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

4. การรักษาด้วย โฟโน (PHONO) เป็นการใช้คลื่นเสียงขับยาเข้าไปในผิวหนัง โดยใช้ยาในกลุ่มวิตามิน A บำรุงและสร้างใยคอลลาเจน

5. การรักษาด้วยวิธี MD (MICRODERMABRASION) เป็นการผลัดผิวใหม่โดยใช้เครื่องมือพ่นผงคริสตัลลงไปยังผิวหน้า เพื่อขัดผิว ส่วนคราบไคล และหนังกำพร้าชั้นบนออกไป แล้วจึงใช้ตัวยาเร่งการสร้างเซลล์ใหม่ ขึ้นมาทดแทน ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

6. การรักษาด้วยวิธีการกรอแผลโดยใช้เครื่องเลเซอร์ ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น แต่ต้องใช้เวลาในการรักษาแผลค่อยข้างนาน

7. การฉีดสารสังเคราะห์โดยแพทย์ จะฉีดสารสังเคราะห์ เช่น อาติคอล หรือสาร HA เข้าไปในรอยแผล เพื่อให้รอยแผลเต็มขึ้น เพียงเท่านี้ก็ลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้าได้แล้ว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

23.5.09

เรื่องน่าอายที่ผู้หญิงไม่อยากบอก

เรื่องน่าอายที่ผู้หญิงไม่อยากบอก!

ทุกคนย่อมมีความลับหรือเรื่องราวที่ปกปิดไม่อยากให้คนอื่นรับรู้ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงาม ถ้าวันหนึ่งเกิดมีปัญหาสุขภาพส่งผลกระทบต่อบุคลิกภาพทำลายความเชื่อมั่นอย่างจัง ก็อาจกลายเป็นคนอมทุกข์หรือเก็บตัวอยู่คนเดียว แบบนี้ย่อมไม่ดีแน่ต้องหาทางแก้ด่วน ซึ่ง 4 สุดยอดเรื่องน่าอายในใจหญิงที่เรารวบรวมมา ได้แก่ การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ตกขาวมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ กลิ่นตัวและเหงื่อรักแร้ออกมากเกิน และสุดท้ายการผายลมและเรอบ่อย

ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือช้ำรั่ว (Overactive Bladder หรือ OAB)
มักเกิดจากการที่กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาไอ จาม หัวเราะหรือยกของหนัก ทำให้ปัสสาวะเล็ดหรือซึมออกมาเปรอะเปื้อนกางกางชั้นใน พาลให้ไม่กล้าออกไปท่องเที่ยวหรือทำธุระนอกบ้าน อาการนี้เป็นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ผู้หญิงมักเป็นมากถึง 75% ในช่วงอายุหลังวัยหมดประจำเดือน เนื่องมาจากความเสื่อมของระบบควบคุมการขับถ่ายของกระเพาะปัสสาวะ กล้ามเนื้อหูรูด ท่อปัสสาวะและกล้ามเนื้อช่องเชิงกราน หรือกระบังลมทำงานไม่สัมพันธ์กันเหมือนเดิม นอกจากนี้อาการช้ำรั่วสามารถเกิดได้กับผู้หญิงหลังคลอดบุตร มีน้ำหนักเกิน ไอเรื้อรัง และโรคเบาหวาน วิธีรับมือกับเรื่องลับๆ ของคุณนี้มีทั้งแบบง่าย คือ การออกกำลังกายกระชับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรงขึ้น ด้วยการฝึกขมิบกล้ามเนื้อรอบๆ ช่องคลอด เหมือนกับการกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ให้ไหล ให้ขมิบนานครั้งละ 10 วินาทีและคลายออก ทำเป็นพักๆ ประมาณ 50-60 ครั้ง วันละ 3-4 ครั้ง หรือวิธีที่ยากหน่อยคือ การผ่าตัดทำรีแพร์ช่องคลอด (A-P repair) การผ่าตัดรั้งท่อปัสสาวะทางหน้าท้อง ผ่าตัดโดยใช้สายเทปคล้องท่อปัสสาวะ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและคำวินิจฉัยของแพทย์ค่ะ

ส่วนวิธีป้องกันเบื้องต้นของอาการปัสสาวะเล็ดก็คือ
การหลีกเลี่ยงดื่มเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟและแอลกอฮอล์ที่จะทำให้ปัสสาวะบ่อยมากขึ้น แต่อย่ากลัวปัสสาวะจนไม่กล้าดื่มน้ำ เพราะนั่นจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ ส่งผลให้ระบบขับถ่ายยิ่งแย่เข้าไปอีก คุณควรพยายามดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 6-8 แก้ว แต่อาจหลีกเลี่ยงการดื่มช่วงก่อนเข้านอน เพื่อจะไม่ต้องตื่นมาทำธุระกลางดึกรบกวนการนอนค่ะ


ตกขาวมีกลิ่นไม่พึงประสงค์
ข้อแม้ของความลับกรณีนี้คือ คุณจำเป็นต้องบอกให้สูติ-นรีแพทย์ทราบ อย่าเก็บเป็นเรื่องน่าอายของตนเอง มิฉะนั้นอาจส่งผลต่อสุขภาพภายในให้รุนแรงหรือเป็นมากขึ้น ภาวะตกขาวที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น
จากเชื้อรา (Yeast, candida, fungus) จากตกขาวที่ปกติจะมีลักษณะเป็นมูกใสๆ ไหลออกมาจากช่องคลอด กลับกลายเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว ทำให้มีกลิ่นไม่ค่อยดี อาจมีอาการคันและแสบที่ปากช่องคลอด ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจาก
- สวมกางเกงในที่ไม่ระบายอากาศ การใส่กางเกงแฟชั่นรัดติ้ว หรือผ้าเนื้อหนาไป ทำให้เหงื่อระเหยช้า เกิดกลิ่นอับ -การรักสะอาดมากไป การใช้สบู่ที่เป็นด่างมากๆ ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นจะทำให้สภาพปากช่องคลอดมีความเป็นกรดตามธรรมชาติลดลง ทำให้เกิดอาการคันระคายเคืองและเกิดเชื้อราได้ง่าย
- เกิดจากการลืมเปลี่ยนแผ่นอนามัยทุก 2-3 ชั่วโมง ทำให้เกิดภาวะอับชื้นเอื้อให้เชื้อโรคเติบโตได้ดี
-รับประทานยาฆ่าเชื้อโดยไม่จำเป็น เช่น เมื่อเป็นหวัดและรับประทานยาฆ่าเชื้อไวรัส มักจะส่งผลให้เชื้อโรคปกติที่อาศัยอยู่ในช่องคลอดตายไปด้วย ทำให้ไม่มีปราการป้องกันตามธรรมชาติ สามารถติดเชื้อราได้ง่าย
นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคหนองใน แผลริมอ่อน แบคทีเรียทริโคโมนาส (Trichomonas) ที่เป็นสาเหตุทำให้ตกขาวมีกลิ่นเหม็น การติดเชื้อไวรัสหูดหงอนไก่ เริม มะเร็งปากมดลูก ฯลฯ ซึ่งอย่าเพิ่งตกอกตกใจคิดไปว่าตนเองจะเป็นได้มากขนาดนี้เชียวหรือ เพราะวิธีเดียวที่จะฟันธงว่าปัญหาน่าอายนี้เกิดจากอะไรนั้นคือ การไปพบสูติ-นรีแพทย์ เพื่อตรวจภายในและนำตกขาวไปทดสอบค่ะ


กลิ่นตัวและเหงื่อรักแร้ออกมากเกิน
เป็นเรื่องหนึ่งที่คุณผู้หญิงกังวลมากที่สุด เพราะถ้ามีแล้วจะรู้สึกว่าตัวเองไม่รักษาความสะอาด ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่าการที่มีกลิ่นตัวหรือเหงื่อออกบริเวณรักแร้ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือผิดปกติ แต่เป็นเรื่องธรรมชาติของร่างกายที่ต่อมเหงื่ออะโปรลีน บริเวณรักแร้ขับเหงื่อออกมาเพื่อปรับอุณหภูมิร่างกายให้เหมาะสม เดิมทีเหงื่อที่ขับออกมาจะไม่มีกลิ่นเหม็น แต่เป็นเพราะเจ้าแบคทีเรียที่อยู่ตามที่อับชื้นอาศัยคราบเหงื่อเป็นอาหาร กลายเป็นกลิ่นตัวในที่สุด ปัญหานี้กลุ่มวัยรุ่นจะประสบมากหน่อยอันเนื่องมาจากฮอร์โมนที่ปรับเปลี่ยนตามธรรมชาติ ถ้าผ่านช่วงนี้ไปปัญหาเรื่องกลิ่นตัวก็จะลดลงไปเอง
ข้อแนะนำเบื้องต้นในการลดกลิ่นตัวก็คือ
-การใช้ยาลดเหงื่อ (antiperspirant) มีทั้งแบบโรลออน สเปรย์หรือแท่งสติ๊ก และยาดับกลิ่นตัว (deodorant)ลดจำนวนเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยบนผิวหนังคู่กับการดับกลิ่น
- การอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกายให้สะอาด ใส่เสื้อผ้าแห้งสะอาด เนื้อผ้าระบายอากาศได้ดี เพื่อให้เหงื่อระเหยได้ง่าย และหลีกเลี่ยงเสื้อที่รัดและแนบรั้งบริเวณใต้วงแขนมากไป
- หมั่นโกนขนรักแร้ เพราะขนรักแร้จะทำให้เชื้อแบคทีเรียเติบโตดีขึ้น ส่งผลให่มีกลิ่นตัวง่ายขึ้น
-หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ด อาหารที่มีกลิ่นฉุน เครื่องเทศ เช่น กระเทียม เพราะกลิ่นอาหารจะขับออกมาพร้อมเหงื่อ
ส่วนเรื่องกังวลใจเกี่ยวกับเหงื่อรักแร้ที่ออกมากเกิน ขอแนะนำให้ไปพบแพทย์ผิวหนัง ซึ่งจะเป็นคนประเมินว่าเหงื่อคุณออกมากผิดปกติจนต้องรักษาหรือไม่ อย่าเป็นหนูทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่ขายตามท้องตลาดจนผสมปนเปกันไปหมด อาจเป็นสาเหตุของการแพ้หรือระคายเคืองผิวหนังได้

ผายลมและเรอบ่อย
เรื่องแบบนี้ถ้าธรรมชาติเรียกร้องก็อย่าฝืนจะดีกว่าค่ะ (แต่ถ้าจะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ก็ต้องทำให้เนียนที่สุด) การผายลมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นก๊าซที่ผลิตขึ้นโดยแบคทีเรียในลำไส้ ในวันหนึ่งคุณสามารถตดได้ถึง 1.5 ลิตรทีเดียว! แต่คนเราจะผายลมมากน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น
-การกลืนน้ำลาย การใช้หลอดดูดเครื่องดื่ม การเคี้ยวรับประทานอาหาร
- ชนิดของอาหารที่รับประทาน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะไม่ถูกกับอาหารชนิดใดทำให้เกิดภาวะย่อยยาก เช่น ถั่ว นมวัว น้ำอัดลม หัวหอมใหญ่ บรอกโคลี กะหล่ำปลี ส้มโอ ลูกพรุน เนื้อสัตว์บางชนิด ซึ่งร่างกายอาจย่อยได้ไม่ดี ทำให้เกิดอาการท้องอืด เรอและผายลม
- มีอาการผิดปกติในระบบย่อยอาหารอยู่ก่อน เช่น โรคกระเพาะ โรคกรดไหลย้อน โรคลำไส้แปรปรวน หรือแม้แต่ความเครียด หรือเคี้ยวอาหารไม่ละเอียดก็ทำให้เกิดแก๊สในลำไส้มากได้เช่นกัน
ถ้าไม่อยากให้ตัวเองผายลมและเรอมากไป ก็ต้องสังเกตและหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ถูกกับร่างกาย งดดื่มน้ำอัดลมที่มีแก๊สมาก เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน หลังรับประทานอาหารพยายามเดินย่อยก่อนสัก 5-10 นาที แต่ถ้ารู้สึกว่ามีอาการท้องอืด จุกแน่น เรอหรือผายลมมากผิดปกติ เป็นติดต่อกันนานๆ ขอแนะนำให้พบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
ความลับถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลก็จริง แต่ถ้าเป็นเรื่องน่าอายส่งผลต่อสุขภาพและบุคลิกแบบนี้ คุณควรจะแบ่งปันความทุกข์ในใจให้สมาชิกในครอบครัว หรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อชี้ทางออกให้นะคะ

ที่มา:
HealthToday

22.5.09

การดูแล รักษา ถุงน่อง

การดูแล รักษา ถุงน่อง

1. การป้องกันไม่ให้ถุงน่องขาดวิ่นเป็นริ้วง่าย ๆ คือ การนำถุงน่องแช่ไว้ในตู้เย็นสักคืน หลังจากการซื้อมาในวันแรก

2. ก่อนใส่ถุงน่อง ควรทำการดึงหรือยืดเพื่อให้ถุงน่องคลายตัว ง่ายต่อการสวมใส่

3. ควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้เกิดรอยขาดกับถุงน่อง ควรมีความรอบคอบเป็นอย่างมาก อย่าไว้ใจแม้แต่สิ่งเล็กน้อย

4. กรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ควรมีน้ำยาแต้มถุงน่อง (หาซื้อได้ตามท้องตลาด) พกติดตัวไว้เพื่อใช้ในยามที่ถุงน่องขาดหรือวิ่นเป็นริ้นยาว

5. กรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน แล้วไม่มีน้ำยาแต้มถุงน่อง อาจจะใช้ยาทาเล็บแต้มเบา ๆ ในบริเวณที่มีรอยขาดนั้นเพื่อไม่ให้เกิดการวิ่งเป็นแนวยาว

ลองนำวิธีที่แนะไปดูแลรักษาถุงน่องกันดูได้ แล้วจะมีถุงน่องที่ทนต่อการใช้งานได้นาน...


21.5.09

9 เทคนิคฝึกสมองไบรท์

9 เทคนิคฝึกสมองไบรท์

ใครอยากสมองไบรท์ฟังทางนี้ เรามี 9 เทคนิคฝึกสมองไบรท์มาบอก

1. จิบน้ำบ่อย ๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมอง ก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อย ๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และ สร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มี ครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึก ๆ สมองใช้ออกซิเจน 20 25% ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 % การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากมีสมองไบร์ท ลองนำไปฝึกกันได้.

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

19.5.09

วิธี ขับถ่าย ปัสสาวะเพื่อ สุขภาพ ที่ดี

วิธี ขับถ่าย ปัสสาวะเพื่อ สุขภาพ ที่ดี

ทราบหรือไม่ว่า การขับถ่ายปัสสาวะให้เป็นปกติเพื่อสุขภาพที่ดีนั้นทำอย่างไร วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาฝาก...
- อย่ากลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะ

- เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดปัสสาวะชำรุดได้

- ควรถ่ายปัสสาวะให้เหลือน้อยที่สุดในหนึ่งครั้ง คือ เมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา

- ไม่ควรบังคับให้ถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัย เวลาที่เหมาะสมคือ 2-4 ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง

- ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ และน้ำปัสสาวะทุกครั้งว่า ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่ น้ำปัสสาวะลำพุ่งดีหรือไม่ ลำน้ำปัสสาวะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเหลืองใสหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบอกโรคได้

- อาจจะล้างทำความสะอาดหลังปัสสาวะ แต่อย่าให้บริเวณนั้นเปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้ ทางที่ดีหลังปัสสาวะทุกครั้ง ควรซับให้แห้ง

- เมื่อปัสสาวะไม่ออก ต้องหาสาเหตุโดยการไปพบแพทย์ อย่าซื้อยาขับปัสสาวะรับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้

- เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด

- ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ

- ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลังมีเพศสัมพันธ์ คุณผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

- น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ถ้ามีมูก หนอง น้ำเหลือง เลือดปนออกมา ถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์

- การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องขับถ่ายคล่องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากนับว่าเป็นอาการผิดปกติ ต้องรีบไปพบแพทย์

- ทุกคนต้องปัสสาวะทุกวัน วันละ 4-6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะเลย 1 วันถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตรายต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน

รู้อย่างนี้แล้ว ควรขับถ่ายปัสสาวะให้เป็นปกติเพื่อสุขภาพที่ดี.

17.5.09

คนแบบไหนที่ต้องการวิตามินซี

คนแบบไหนที่ต้องการวิตามินซี

ทราบหรือไม่ว่า คนแบบไหนที่ต้องเพิ่มวิตามินซีให้ตัวเองด่วน! วันนี้รามีมาฝาก

.. วิตามินซี เป็นสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายอีกชนิดหนึ่ง ที่ช่วยปกป้องเซลล์และสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง แถมยังช่วยเยียวยาร่างกายจากการบาดเจ็บ ช่วยให้ร่างกายต่อต้านการอักเสบ และ ป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย โดยทั่วไปแล้ววิตามินซีพบได้ในอาหารจำพวกผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ส้มสุกลูกไม้ต่าง ๆ ยิ่งในยุคสมัยใหม่อย่างนี้ก็มีผู้ผลิตนำมาอัดเม็ด เป็นอาหารเสริมจำหน่ายกันมากมายในปริมาณต่าง ๆ กันไป นอกจากที่ว่าคนทั่วไปต้องการวิตามินซีแล้ว คนบางกลุ่มที่สุขภาพไม่ค่อยดี หรือมีความจำเป็นต้องได้รับอาหารเสริมวิตามินซีเพิ่มขึ้นมากกว่าคนทั่วไปก็มีเช่นกัน

กลุ่มคนที่สูบบุหรี่
กลุ่มคนที่เตรียมตัวผ่าตัด หรือเพิ่งฟื้นตัวจากการผ่าตัด
ผู้ป่วยที่มีไตเทียม
คนที่อยู่ในสถานที่อากาศเย็นเป็นเวลานาน

ใครที่อยู่ในข่ายเหล่านี้ ก็อย่าลืมหาอาหารที่มีวิตามินซี เป็นส่วนประกอบมาทานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพที่ดี.

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

15.5.09

ขจัดริ้วรอยเหี่ยวย่นให้หายไป

ผิวจะเกิดใหม่ประมาณเดือนละครั้ง อาหารที่รับประทานเข้าไปจะมีผลต่อสี และความสมบูรณ์ของผิว จึงควรรับประทานอาหารให้ถูกต้อง การควบคุมอาหารมีผลต่อความสมบูรณ์ของผิว ถ้ามีการลดหรือเพิ่มน้ำหนักอย่างรวดเร็วอยู่บ่อย ๆ จำทำให้ผิวหย่อนยาน เมื่อน้ำหนักเพิ่มไขมันส่วนเกินจะไปแทนที่รอยเหี่ยวย่นคือ มีใบหน้าตึง แต่พอลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ผิวอาจปรับสภาพยืดหยุ่นได้ไม่ทัน จึงทำให้ผิวหนังหย่อนยานได้

อาจเลี่ยงไม่ได้เกิดรอยเหี่ยวย่นได้โดยนอนหงาย ถ้านอนหน้าแนบหมอนจนเกิดรอยย่นคืนละหลาย ๆ ชั่วโมง ก็จะทำให้ใบหน้ามีรอยเหี่ยวย่นได้ สรุปว่าขอให้พยายามป้องกันผิวให้มากที่สุด อาจจะมีรอยเหี่ยวย่นตามธรรมชาติบ้าง แต่รอยเหี่ยวย่นจะมีมากขึ้นหากละเลยไม่ดูแลผิวพรรณของเราเอง

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะดูแลผิวดีแค่ไหน หรือมีผิวชนิดใดนั้น ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงธรรมชาติและกาลเวลาได้ ในวัยวัยยี่สิบกว่า ๆ ก็อาจเริ่มมีรอยบาง ๆ รอบ ๆ ตา และอาจมีอีกสองสามเส้นในบริเวณหน้าผาก พออายุสามสิบขึ้นไปรอยต่าง ๆ เหล่านี้จะยิ่งลึกมากขึ้น และจะมีรอยอันเกิดจากการหัวเราะแถว ๆ บริเวณจมูก และริมฝีปาก พอถึงวัยสี่สิบขึ้นไป เนื้อเยื่อจะหย่อนยานมากขึ้นอีกหน่อย และริ้วรอยต่าง ๆ ก็จะยิ่งลึกขึ้น

ถ้าทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนั้นเพียงพอที่จะทำให้คุณหย่อนยาน และเหี่ยวย่นไปทั้งตัวละก็ทำใจเสียเถอะ ธรรมชาติได้ชดเชยการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในช่วงสิบปี ถ้าทุกอย่างดำเนินไปโดยเรียบร้อย แต่ละช่วงสิบปีจะทำให้เรามีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ทำให้ชีวิตเรียบง่ายและรื่นรมย์ขึ้น

ถ้าคุณเป็นผู้ที่มีอารมณ์ขัน ริ้วรอยต่าง ๆ ก็จะเป็นรอยยิ้มเป็นส่วนใหญ่ คุณจะมีใบหน้าเหมือนเดิมตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงวัยกลางคน นั่นก็หมายความว่าคุณมีใบหน้าที่ดีแล้ว ดังนั้น ขอให้คิดแต่สิ่งที่ดีแล้วคุณก็จะมีความสุข ขอให้คิดถึงสุภาพสตรีวัยเลยสี่สิบหลาย ๆ คนที่เป็นดาราดังในทางสื่อมวลชน ถึงแม้ว่าวัยกลางคนจะย่างเข้ามา แต่ก็ได้รับประสบการณ์ เพิ่มขึ้นมากมายเช่นกัน

13.5.09

แดดหน้าร้อน,

แสงแดดทำให้ผิวเสียก่อนวัน และทำให้ผิวหยาบกร้านเหมือนหนังสัตว์ ทั้งยังเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งอีกหลายชนิดด้วย

ลองมองไปรอบ ๆ ตัวในสถานที่ที่มีผู้นิยมอาบแดดมาชุมนุมกัน ให้มองหาคนที่มีอายุระหว่างยี่สิบห้าถึงสามสิบปี และเป็นผู้ที่อาบแดดทุกปี ทีนี้ขอให้มองหาผู้หญิงอายุระหว่างสี่สิบถึงห้าสิบปี และเป็นผู้ที่ตกแดดมาก ๆ ขอให้เปรียบเทียบสภาพผิวหนังด้านหลังของลำคอกับผิวหนังบริเวณต่ำจากคอลงมาสักสองหรือสามนิ้ว จะเห็นว่าผิวหนังในบริเวณทั้งสองแตกต่างกันมาก

ที่บริเวณทางใต้ของรัฐเท็กซัส ถ้าคุณยืนอยู่กลางแดดตอนบ่าย ๆ ในเดือนมิถุนายน กรกฏาคม หรือสิงหาคม และปล่อยให้ผิวโดนแดดเพียงแค่สิบนาที ผิวคุณจะไหม้นิดหน่อยขนาดแค่เดินไปที่ตู้จดหมายเท่านั้น ผิวก็ยังเปลี่ยนเป็นสีชมพูเลย


สำหรับผู้ที่ยังยืนยันที่จะย่างตัวเองละก็ ขอให้พิจารณาสิ่งต่อไปนี้ องค์การอาหารและยาเสพย์ติด ได้กำหนดปัจจัยป้องกันแสงแดด (เอสพีเอฟ) ไว้ในผลิตภัณฑ์ป้องกันอันตรายจากแสงแดด และอันตรายต่าง ๆ นี้ได้พิมพ์ไว้บนขวดที่บรรจุผลิตภัณฑ์ดังกล่าว


เอสพีเอฟ 2 ถึง 4 ป้องกันน้อยที่สุด เหมาะสำหรับผู้โชคดีที่ผิวไม่เกรียมง่ายและผิวคล้ำได้ง่าย ๆ
เอสพีเอฟ 4 ถึง 6 ป้องกันได้ปานกลาง สำหรับผู้ที่ผิวคล้ำได้ดี
เอสพีเอฟ 6 ถึง 8 ป้องกันพิเศษ สำหรับผู้ที่ผิวเกรียบปานปลาง และผิวคล้ำแดดช้า
เอสพีเอฟ 8 ถึง 14 ป้องกันได้มากที่สุด สำหรับผู้ที่ผิวเกรียมแดดง่าย และผิวคล้ำแดดยาก
เอสพีเอฟ 15 ขึ้นไป ป้องกันมากพิเศษสำหรับคนที่ผิวเกรียมง่าย และผิวไม่เคยคล้ำแดดเลย


ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามส่วนใหญ่กล่าวว่าผลิตภัณฑ์ชนิดใดก็ได้ที่มีตัวยาในระดับ 8 ขึ้นไปจะใช้ป้องกันผิวได้ดี


ไม่ว่าครีมกันแดดจะมีเอสพีเอฟในระดับไหนก็ตาม ตัวยาป้องกันเหล่านั้นก็อาจหลุดลอกได้ง่าย ควรแน่ใจว่าได้ทายากันแดดในขณะที่ตากแดดและทาซ้ำหลังจากว่ายน้ำแล้ว การใช้ครีมกันแดดนั้นต้องใช้เมื่อผิวแห้งสะอาด จากนั้นลูบตัวยาให้เสมอ ๆ กันไปในทางเดียวกัน คือ ไม่ทาย้อนขึ้นย้อนลง การถูจะทำให้ครีมนี้หลุดออกไป โปรดอย่าลืมทาครีมกันแดด หลังจากที่ทาครีมหรือน้ำยาให้ความชุ่มชื้นแล้ว จากนั้นจึงทาทับด้วยครีมรองพื้นอีกชั้นหนึ่งควรทำเช่นนี้ทุกเช้าจนเป็นกิจวัตรประจำวัน


สารเคมีในผลิตภัณฑ์กันแดดประกอบด้วยไทเทเนียมไดออกไซด์ และ ซิงค์ออกไซต์สารเหล่านี้เป็นสารทึบแสงทำให้แสงแดดไม่กระทบถึงผิวหน้า พวกยามรักษาการณ์บริเวณชายหาดริมน้ำ มักใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบเหล่านี้


น้ำยากันแดด และเยลลีกันแดดจะดูดซับแสงที่รวมเอา พาบา คือ กรดพาราอะมิโนเป็นโซอิค หรือสารเคมีที่ได้จากสารอื่น และเป็นโซฟีโนน ขอให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีทั้ง พาบาและเป็นโซฟีโนน และอย่าลืมเคลือบริมฝีปาก จมูก และบริเวณรอบ ๆ ตา ซึ่งเป็นส่วนที่บอบบาง ถ้าคุณมีวง คล้ำ ๆ รอบ ๆ นัยน์ตา การตากแดดจะยิ่งทำให้รอบตาคล้ำมากยิ่งขึ้น


เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องป้องกันริมฝีปากด้วยครีมกันแดด ถ้าเราโดนแดดจัด ๆ ขณะที่กำลังเหนื่อย ๆ และเครียดแล้ว อาจจะเกิดอาการเจ็บหรือบวมได้ ถ้าหากเป็นห่วงว่าทาครีมกันแดดแล้วริมฝีปากจะไม่สวย อาจหาซื้อยากันแดดสำหรับทาริมฝีปากที่มีลักษณะคล้าย ๆ ลิปสติกที่ทาเคลือบให้ริมฝีปากชุ่มชื้นได้
ผิวที่แห้งมาก อย่าใช้น้ำยากันแดดที่ผสมแอลกอฮอล์ และโปรดจำไว้ว่าน้ำยาที่ผสมน้ำมันที่คุณทาผิวเพียงครั้งเดียว จะเท่ากับเยลแห้งเร็วที่คุณทาเคลือบไว้ถึงสองชั้น


อย่าลืมทดสอบน้ำยากันแดดที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายคุณก่อนที่จะชโลมน้ำยากันแดดไปทั้งตัว เพราะคุณอาจจะแพ้กรดพาราอะมิโนเบ็นโซอิค หรือพาบาก็ได้


ถ้าคุณคิดว่าน้ำมัเบบี้ออยล์หรือน้ำมันมะพร้าวช่วยป้องกันผิวไม่ให้เกรียมแดดละก็คุณกำลังจะพบปัญหาผิวแล้ว การวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าการชโลมน้ำมันแล้วไปตากแดดนั้นเหมือนกับเราเอาผิวหนังไปย่างอย่างไรอย่างนั้นเลย คุณจะโดนย่างจริง ๆ เร็วขึ้นถ้าคุณชโลมน้ำมันแล้วไปนั่งผึ่งแดด


โปรดจำไว้ด้วยว่า ยาบางชนิดจะทำให้ผิวเกรียมแดดง่ายกว่าปรกติ ดังนั้นคุณควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาที่รับประทานก่อนที่จะไปอาบแดด บรรดาสารที่จะทำให้ผิวรับแดดไว้ขึ้นได้แก่ ยาร์บิทูเรต ยาน้ำ ยาระงับประสาท ยาแก้แพ้ ยาลดความดันโลหิต และยาคุมกำเนิด

งานวิจัยบางชิ้นเสนอว่าการดื่มน้ำโซดาลดความอ้วน และการอาบน้ำด้วยสบู่ด้วยกลิ่นก่อนอาบแดดอาจยิ่งทำให้ผิวเกรียมแดดยิ่งขึ้น น้ำหอมก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ถ้าใส่น้ำหอมแล้วออกไปอาบแดด อาจทำให้เกิดผื่นคันหรือชาเฉพาะที่

11.5.09

ดื่มนมเปรี้ยวไม่ทำให้ผอม

นมเปรี้ยวกำลังเป็นที่นิยมดื่มในหมู่สาวๆ ที่กลัวอ้วน อยากลดน้ำหนัก ทั้งพ่อแม่ก็นิยมซื้อให้ลูกดื่มด้วยเข้าใจว่ามีประโยชน์เหมือนดื่มนมสด

แถมยังเข้าใจว่าดื่มแล้วไม่อ้วนอีกด้วย ซึ่งก็เป็นผลจากภาพโฆษณาที่ใช้นางแบบรูปร่างผอมบาง จึงชวนให้เชื่อว่าดื่มแล้วผอมเหมือนนางแบบ

นมเปรี้ยวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำนม มาหมักด้วยจุลินทรีย์ที่ไม่ทำให้เกิดโรค จุลินทรีย์จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น และทำปฏิกิริยากับน้ำตาลแลคโตส ซึ่งเป็นน้ำตาลธรรมชาติในน้ำนม เกิดกรดแลคติคที่มีรสเปรี้ยว ได้นมที่มีลักษณะเป็นครีมข้นๆ เรียกว่า โยเกิร์ตชนิดรสธรรมชาติ แต่ในบ้านเรานิยมเติมน้ำตาล น้ำเชื่อม ผลไม้เชื่อมลงไป หรือทำให้เหลวแล้วเติมน้ำตาล และแต่งรสผลไม้เป็นนมเปรี้ยวชนิดดื่ม ซึ่งเป็นชนิดที่นิยมกันมาก

แต่นมเปรี้ยวชนิดดื่มที่นิยมกันอย่างมากในปัจจุบันนั้น ส่วนใหญ่มีนมเป็นส่วนประกอบเพียงร้อยละ 35-50 และที่สำคัญนมเปรี้ยวชนิดดื่มเหล่านี้ รวมทั้งชนิดไลท์ที่ทำมาจากนมพร่องมันเนย มีน้ำตาลผสมสูงถึงร้อยละ 8-20 สูงกว่านมหวานอย่างมาก และสูงใกล้เคียงกับน้ำอัดลมทีเดียว

"ดื่มนมเปรี้ยว 1 กล่อง (180 มล.) จึงได้น้ำตาล 3 ช้อนชา บางยี่ห้อมีน้ำตาลสูงถึง 7 ช้อนชา ในขณะที่แนะนำให้กินน้ำตาลไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา ดื่มนมเปรี้ยววันละ 2 กล่อง จึงหมดโควตาแล้ว จึงไม่ต้องสงสัยว่ายิ่งดื่มนมเปรี้ยวมาก วันละหลายกล่อง แทนที่จะผอมลง กลับน้ำหนักเพิ่มขึ้น เพราะนมเปรี้ยวที่มีน้ำตาลสูงเหล่านี้ให้พลังงานพอๆ กับนมสดรสจืด และสูงกว่านมจืดพร่องมันเนย แต่มีโปรตีน แคลเซียม วิตามิน และแร่ธาตุอื่นเพียงครึ่งเดียว และไม่ต้องหวังว่าจะได้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิต เนื่องจากกระบวนการผลิตนมเปรี้ยวชนิดดื่มแบบยูเอชที จุลินทรีย์ตายหมดแล้ว

จึงควรเข้าใจเสียใหม่ว่านมเปรี้ยวไม่ได้ช่วยให้ผอม คนอ้วนจึงควรดื่มนมจืดพร่องมันเนย ถ้าดื่มนมสดแล้วไม่สบายท้องหรืออยากเปลี่ยนรสชาติบ้าง ก็ให้เลือกโยเกิร์ตรสธรรมชาติ หรือเพลนโยเกิร์ต จะดีกว่า คนที่ไม่อ้วนถ้าอยากดื่มนมเปรี้ยวให้เลือกชนิดที่มีส่วนผสมเป็นนมวัวสูง และมีน้ำตาลต่ำ

ที่มา : adsthai.net

8.5.09

ดื่มนม แล้ว ท้องเสีย เลิกดื่ม ดีไหม

ดื่มนม แล้ว ท้องเสีย เลิกดื่ม ดีไหม

แต่มันช่วยสร้างแคลเซียม ป้องกันมะเร็งและเบาหวาน ปัญหา การดื่มนมแล้วท้องเสียนี้พบได้บ่อยพอสมควร โดยเฉพาะในคนไทยและคนในทวีปเอเชียและแอฟริกา เมื่อพบปัญหานี้ คนส่วนใหญ่มักจะแก้ไขโดยการหลีกเลี่ยงการดื่มนมไปเลย ก็ถือว่าเป็นการกำจัดที่ต้นเหตุที่ถูกต้องวิธีหนึ่ง แต่มีผลเสียคือ ทำให้ขาดการดื่มนม ซึ่งอาจทำให้ความแข็งแรงของกระดูกในร่างกายลดลงได้ นมถือได้ว่าเป็นแหล่งอาหารที่ให้แคลเซียมมากที่สุด การจะรับประทานอาหารอื่น ๆ เพื่อให้ได้จำนวนแคลเซียมเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายนั้นทำได้ยาก และต้องรับประทานอาหารจำนวนมาก และเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นไปได้ยาก เมื่อเปรียบเทียบกับการดื่มนม ซึ่งทำได้ง่ายและสะดวกกว่า อีกทั้งการดื่มนมเพียงวันละ 2-3 แก้ว ก็จะได้รับจำนวนแคลเซียมเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

ทำไมดื่มนมแล้วจึงท้องเสีย? คำ ถามนี้เป็นคำถามที่มีผู้ให้ความกระจ่างได้น้อย หลาย ๆ คนที่เกิดอาการนี้มักจะคิดว่า ตนเองแพ้นมวัว ดื่มนมทีไร ท้องเสียทุกครั้ง ความจริงก็คือ คนไทย คนแถบเอเชียและคนแถบแอฟริกานั้น จะมีน้ำย่อยสำหรับย่อยน้ำตาลแลคโตสตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 4-5 ปี หลังจากอายุนี้ น้ำย่อยนี้จะลดน้อยลงจนหมดไป จึงย่อยน้ำตาลแลคโตส ไม่ได้ ต้องเข้าใจให้ดีว่า น้ำตาลแลคโตสนี้พบในน้ำนม ที่ได้มาจากสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นนมวัวหรือนมแพะ จึงทำให้ดื่มนมที่ได้จากสัตว์ทีไรทำให้ท้องเสียทุกครั้งไป

แต่ ในปัจจุบันมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ดื่มนมวัวแล้วไม่เกิดอาการใด ๆ เลย ในทางการแพทย์เชื่อว่าเมื่อมีการดื่มนมวัวอย่างต่อเนื่อง แบคทีเรียในลำไส้จะมีการสร้างน้ำย่อยน้ำตาลแลคโตสนี้ขึ้นมา ซึ่งจะย่อยน้ำตาลแลคโตส ได้ จึงทำให้คนที่ดื่มนมอย่างต่อเนื่องจะไม่เกิดปัญหาการย่อยนมที่ดื่ม

นอก จากอาการท้องเสียแล้ว อาการอื่นที่คนทั่วไปอาจนึกไม่ถึงว่าเกิดจากการย่อยนมไม่ได้ดีก็คือ อาการท้องอืด จุกเสียด และแน่นหน้าอก รวมทั้งการผายลมบ่อย ๆ

เมื่อ พบปัญหานี้คือ ท้องเสีย จุกเสียด แน่นท้อง ทุกครั้งที่ดื่มนม คนส่วนใหญ่ก็มักจะเลิกดื่มนมไปเลย แต่ความเป็นจริง เราสามารถจะชนะอาการเหล่านี้ได้ทุกคน ขออย่าได้ท้อแท้ โดยในขั้นแรกให้ดื่มนมหลังรับประทานอาหารเช้า โดยดื่มประมาณ 30 มล. วันเว้นวัน ถ้ามีอาการดังที่กล่าวมาอย่างใดอย่างหนึ่ง ในครั้งต่อไปก็ให้ลดจำนวนนมลงมาครึ่งหนึ่ง จนมั่นใจว่า ไม่มีอาการ เช่น ดื่มนมหลังอาหารเช้าเพียง 15 มล. แล้วไม่เกิดอาการใด ๆ ก็ให้คงการดื่มนั้น ไปสัก 7 วัน ในสัปดาห์ต่อมาให้ดื่มนมเพิ่มเป็น 30 มล. โดยให้ดื่มทุกวันหลังอาหารเช้าเช่นเดิม และในสัปดาห์ต่อมาจึงเพิ่มเป็น 60 มล. ทุก ๆ วัน แล้วเพิ่มครั้งละ 30 มล. ในทุกสัปดาห์ ถ้าไม่มีอาการใด ๆ ก็ให้เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ จน ถึง 240 มล. หรือประมาณ 1 แก้ว หรือ 1 กล่องนม ก็จะเป็นจำนวนนมที่ต้องการได้ ในกรณีที่เพิ่มไปได้เพียง 150 มล. แล้วเกิดอาการจุกเสียด ก็ให้ลดลงมาในระดับก่อนหน้าที่ไม่เกิดอาการ แล้วคงระดับนั้นไปอีก 2-3 สัปดาห์จึงค่อยเพิ่มจำนวนอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อ สามารถดื่มนมได้ครั้งละ 240 มล. หลังอาหารโดยไม่เกิดอาการใด ๆ ก็มีโอกาสสูงที่จะสามารถดื่มนมในขณะท้องว่างหรือก่อนอาหารได้ โดยในขั้นแรกอาจจะลองดื่มเพียง 60 มล. ก่อน แล้วค่อยเพิ่มเป็นครั้งละ 120, 180 และ 240 มล. ตามลำดับถ้าสามารถดื่มนมครั้งละ 240 มล. ในขณะท้องว่างโดยไม่เกิดอาการใด ๆ ภายหลังดื่ม 8 ชั่วโมง ก็แสดงว่าไม่มีปัญหาการย่อยและดูดซึมนมแล้ว ต่อไปก็ควรเพิ่มการดื่มนมเป็นวันละ 2 แก้ว หรือ 2 กล่อง

เนื่อง จากนมวัวที่เรานำมาดื่มนั้นมีการปรับแต่ง ทำให้มีหลายคุณภาพ โดยเฉพาะทางด้านไขมัน ที่เราเรียกว่า นมสด หรือรสจืดจะมีไขมันอยู่ 4% นมพร่องมันเนยจะมีไขมันอยู่ 2% และนมขาดมันเนยจะไม่มีไขมันเลย แต่นมทั้ง 3 ชนิดมีน้ำตาลแลคโตสเท่ากันคือ 4-5% จึงแตกต่างกันเฉพาะจำนวนไขมัน จึงให้พลังงานที่แตกต่างกัน แต่ให้จำนวนแคลเซียม แร่ธาตุ น้ำตาลนมและโปรตีนเท่ากัน โดยนมวัวสด นมพร่องมันเนย และนมขาดมันเนย จะให้พลังงาน 170, 130 และ 85 กิโลแคลอรีต่อ 240 มล. ตามลำดับ สำหรับผู้ใหญ่และเด็กที่มีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมแล้ว แนะนำให้ดื่มนมขาดมันเนย เพื่อจะลดจำนวนพลังงานที่ได้จากนม

ยัง มีนมวัวที่อยู่ในรูปอื่น ๆ ที่อาจจะรับประทานระหว่างวัน เช่น ชีส เค้ก หรือไอศกรีม ก็จะเป็นแหล่งที่ให้แคลเซียมเพิ่มเติม นอกจากนั้น ผักใบเขียว โดยเฉพาะบริเวณก้านก็จะให้แคลเซียมได้มากพอสมควร เช่น คะน้า และผักบรอกโคลี เพียงแต่การดูดซึมแคลเซียมจากผักอาจจะไม่ได้ดีเท่ากับ การดูดซึมจากนมและ ในบางโอกาสอาจจะไม่อยากดื่มนม หรือไม่มีโอกาสดื่มนมหรือไม่ชอบดื่มนม ก็สมควรที่จะรับประทานยาเม็ดแคลเซียมเสริมเป็นประจำทุกวัน อย่างต่ำวันละ 1,000 มิลลิกรัม ทั้งนี้เพื่อบำรุงกระดูกให้มีความแข็งแกร่งตลอดเวลา โดยร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และได้รับแสงแดดเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 20 นาทีขึ้นไป ก็จะทำให้คุณภาพของกระดูกในร่างกายแข็งแรงอย่างเต็มที่ และยังช่วยป้องกันมะเร็งและเบาหวานได้ด้วย.

ที่มา : adsthai.net

6.5.09

อาการระหว่างตั้งครรภ์

อาการระหว่างตั้งครรภ์

เมื่อลูกในท้องเติบโตขึ้น คุณแม่อาจเริ่มรู้สึกไม่สบายตัว การแบกรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาทำให้ปวดหลังและอ่อนเพลีย เมื่อมดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นไปเบียดกระเพาะและลำไส้ จะทำให้เกิดอาการแสบแน่นหน้าอก ยิ่งกว่านั้นยังมีอาการ
ท้องผูก และ ริดสีดวงทวาร ด้วย ผลข้างเคียงอื่นๆ ของการตั้งครรภ์ยังรวมไปถึงภาวะบวมน้ำ ทำให้ข้อเท้าบวม และอาการเส้นประสาทข้อมือบาดเจ็บ (ทำให้นิ้วมือชา ปวดข้อมือ) ท้ายที่สุด คุณอาจมีเส้นเลือดขอดพร้อมๆ กับริ้วรอยแตกลายบนหน้าท้องและหน้าอก!

คลายความอ่อนเพลีย

งีบสัก 30 นาทีทุกวัน โดยยกเท้าขึ้นสูงกว่าลำตัวเพื่อให้ขาทั้งสองผ่อนคลาย
ออกกำลังกายเบาๆ ทุกวัน เช่น เดินหรือว่ายน้ำ เพื่อความแข็งแรงและช่วยให้คลอดง่าย
แก้เท้าบวม

แช่เท้าในน้ำร้อนและน้ำเย็นสลับกันเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น เอาน้ำร้อนเทใส่อ่างใบใหญ่ใบหนึ่ง และเทน้ำเย็นใส่อ่างอีกใบ แช่เท้าทั้งสองในอ่างน้ำร้อนนาน 3 นาที แล้วแช่ในอ่างน้ำเย็น 30 วินาที สลับกันอย่างนี้ 6 ครั้งโดยจบลงที่อ่างน้ำเย็น

หลังจากแช่เท้าแล้ว นั่งพักอย่างน้อย 10 นาทีโดยยกเท้าพักไว้
แก้แสบแน่นหน้าอก

1,001 ตำรับยาใกล้ตัว

นอกจากเด็กที่กำลังเติบโตจะเพิ่มความกดดันให้ท้องคุณแล้ว ฮอร์โมนระหว่างตั้งครรภ์ยังทำให้กล้ามเนื้อปลายหลอดอาหารของคุณหย่อน กรดในกระเพาะอาหารจึงถูกดันให้ไหลย้อนขึ้นมาตามหลอดอาหารได้ง่าย ลองใช้วิธีต่อไปนี้...

2.5.09

ผักผลไม้ 7 อย่าง ที่คุณผู้หญิง ไม่ควรพลาด

ผักผลไม้ 7 อย่าง ที่คุณผู้หญิง ไม่ควรพลาด

เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของคุณสาวๆ ขอแนะนำผักผลไม้ 7 ชนิด สำหรับคุณผู้หญิง ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีสารที่เป็นประโยชน์แก่หญิงทุกวัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม และยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย ดังนี้

ลูกพรุน (Prunes)
ลูก พรุน เป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ที่สำคัญพรุน ช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด ผู้หญิงเราเมื่อผ่านช่วงสดใสของชีวิต คือวัยยี่สิบห้า ร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันเริ่มเข้าสะสมตามที่ต่างๆ มากมาย ใบหน้าที่เคยอวบอิ่มด้วยเลือดฝาด ก็เริ่มหมองคล้ำผิวพรรณจะเป็นสีชมพู- ระเรื่อหรือซีดโทรม เกิดได้หลายสาเหตุ เช่นผิวมีความหนามากขึ้นตามวัย จนมองไม่เห็น เลือดฝาด หรือเลือดไม่มีให้ฝาด คือเป็นโรคโลหิตจางนั่นเอง พรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78มิลลิกรัมและมีวิตามิน ซี ซึ่งช่วยในการดูดซึมธาตุต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากคุณผู้หญิงอยากมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ริมฝีปากแดงสดเหมือนสตรอเบอรี่ แก้มแดงใสเหมือนลูกเชอรี่ โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอางดู เป็นคนที่มีสุขภาพดีสมบูรณ์ด้วยเลือดฝาด ลองรับประทานลูกพรุนสดๆ หรือลูกพลัมดูสิค่ะไม่เลวเลยทีเดียว

ถั่ว
ผู้หญิง ทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสม“ถั่วช่วยคุณได้ค่ะ ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่า เมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งถั่วมีอยู่แล้วมากมาย) ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่ม-นานความอยากอาหารจะลดลง ซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์กับคุณสุภาพสตรี ที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก

บรอคโคลี่
เป็น พืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่ง สำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลาย เพราะบรอคโคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติ ซึ่งเจ้าตัวซีลีเนียมนี้แหละค่ะ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ (ซีลีเนียม จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว ) แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย

แอปเปิ้ล

มี สารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ “เพคติน”แต่ที่น่าสนใจสำคัญคุณผู้หญิงทั้งหลายคือ เจ้าตัว “เพคติน”นี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดโคเลสเตอรอลหากคุณหิวจนตาลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารแอปเปิ้ลสักลูก จะช่วยลดความหิวได้ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาล ในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 % ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึม น้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็ว และนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้น ความอยากอาหารจึงลดลงทำให้คุณไม่รู้สึกหงุดหงิด หรือ อ่อนเพลีย แอปเปิ้ล 2-3 ผลต่อวัน ช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ เพราะแอปเปิ้ลมีเพคตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ผลจากการวิจัยชี้ว่า เมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมัน และแยกโคเลสเตอรอลออกมาเสร็จสิ้นแล้ว เพคตินจากแอปเปิ้ล จะไปคอยดักจับโคเลสเตอรอลเหล่านั้น และพาไปทิ้งก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าร่างกาย

กล้วยไข่
กล้วย ทุกชนิดดีต่อสุขภาพ แต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษ ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดี คือ เบต้าแคโรทีนโดยธรรมชาติ เมื่อเราอายุพ้นยี่สิบสองไปแล้ว ความเจริญเติบโตของร่างกาย จะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆ ของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ ขณะนั้นเองมีสองสิ่งที่สำคัญเกิดขี้นในร่างกายของเรา ซึ่งก็คือ สิ่งแรก เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์จะผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น สิ่งที่สองความสามารถในการซ่อมแซม ส่วนที่สึกหรอของร่างกายจะลดลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นความสามารถ ในการจำกัดอนุมูลอิสระ ( Detoxification )ก็ลดลงอย่างน่าตกใจเช่นกัน ดังนั้น กลยุทธ์ที่คุณจะสู้กับความแก่ด้วยตนเอง ก็คือ คุณต้องรับประทานอาหาร ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระให้มาก ซึ่งสารนี้เรารู้จักในชื่อที่ เรียกว่า แอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidants) ซึ่งในกล้วยไข่ 1 ขีด มีสารเบต้าแคโรทีนถึง 492 มิลลิกรัม

ฝรั่ง
คุณ ผู้หญิงทั้งหลายทราบหรือไม่คะว่าฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซี มีบทบาทในการสร้างคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึง ไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เอง ที่ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพ ผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกาวิตามินซี มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (ConnectiveTissue) เซลล์นับล้านๆ ตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณผู้หญิงทั้งหลายเต่งตึงนั่นเอง และเพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆ ทั้งหลายที่อยากคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ผิวสวยไว้นานๆ น่าจะลองหันมารับประทานฝรั่งเป็นประจำนะคะ

ส้ม
แหล่ง วิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติ การรับประทานส้มโดยไม่คายกาก จะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับ คนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค้กก้อนโต หรือโดนัทชิ้นใหญ่ ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทน จะได้ประโยชน์มากกว่าในราคาที่ถูกกว่าด้วยนะคะ

ผักและผลไม้ทั้ง 7 ชนิดที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นสำหรับคุณๆ ผู้หญิงทุกท่านที่ต้องการรักษาสุขภาพ นอกจากผักผลไม้ทั้งเจ็ดนี้แล้ว ผักและผลไม้อื่นๆ ก็มีคุณประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน สถาบันโภชนาการแห่งชาติอเมริกา จึงได้แนะนำขนาดในการรับประทานผักผลไม้ในแต่ละวันว่า ควรจะรับประทานรวมกันให้ได้ วันละครึ่งกิโล หรือ 5 ขีดจะช่วยให้คุณๆ ทั้งหลาย มีสุขภาพแข็งแรง แจ่มใส ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมารบกวนค่ะ