เชื่อว่าปัญหาเรื่องสิว ถือว่าเป็นปัญหาที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก สมุนไพรรักษาสิว ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง โดยเฉพาะการรักษาสิวด้วยวิธีต่างๆ เพราะปัจจุบันมียารักษาสิวมากมายให้ได้เลือกใช้ แต่ก็ไม่น่าไว้ใจในเรื่องของความปลอดภัยที่จะตามมา เพราะการรักษาสิวบางวิธีอาจก่อให้เกิดอันตรายที่หนักขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง วันนี้เราจึงหยิบนำสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ วิธีการรักษาสิวด้วยสมุนไพรจากธรรมชาติ ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย หรือก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามขึ้นมาอีกนั่นเอง ถ้าอยากรู้ว่าสมุนไพรต่างๆ มีวีการรักษาแบบไหน ต้องตามมาอ่านพร้อมๆ กันเลยค่ะ
1.หอมแดงสด
ทราบกันหรือไม่ว่าหอมแดงสด ประกอบไปด้วยน้ำมันหอมระเหยและสารต่างๆ ซึ่งล้วนมีคุณสมบัติที่ช่วยยับยั้งเรื่องของเชื้อโรค แบคทีเรีย ซึ่งถือว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดเป็นสิวบนใบหน้านั่นเอง สำหรับวิธีการรักษาสิวด้วยหอมแดงสดก็ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่นำหอมแดงสดมาฝานเป็นแว่นบางๆ หรืออาจจะใช้วิธีการทุบแต่เพียงเบาๆ แล้วแตะน้ำที่ซึมออกมาจากหอมแดงสดนำมาทาตรงบริเวณที่เป็นสิวหรือรอยจุดด่างดำ จะทำให้รอยสิวค่อยๆ จางหายไปในไม่ช้านั่นเองค่ะ
2.มะม่วงสุก
เนื่องจากมะม่วงเป็นผลไม้ที่มีกรดอ่อนๆ ซึ่งมีความสามารถช่วยในการผลัดเซลล์ผิว ดังนั้นจึงสามารถนำมะม่วงมาใช้ในการแก้ปัญหาสิวได้เช่นเดียวกัน เพียงแค่นำมะม่วงสุก 1 ผล นำมายีจนข้นเหลว จากนั้นเติมน้ำมะนาวประมาณครึ่งช้อนโต๊ะ ดินสอพอง 1/4 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา จากนั้นก็ยีส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันอีกครั้ง แล้วนำมาปั่น นำส่วนผสมที่ได้มาทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาดต่อไป
3.ทุเรียน
ทุเรียนเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยธาตุกำมะถัน ซึ่งมีส่วนช่วยให้เม็ดสิวแห้งเร็วขึ้น อีกทั้งยังช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื่นไปพร้อมๆ กับการช่วยกระตุ้นให้รูขุมขนผลักสิ่งสกปรกที่มีอยู่ให้ออกมาด้วย สำหรับวิธีการนำทุเรียนมาใช้ในการรักษาสิวสามารถทำได้โดยการนำเนื้อทุเรียนห่ามประมาณ 3-5 ช้อนโต๊ะ หั่นเนื้อทุเรียนให้เป็นชิ้นเล็กๆ นำมาปั่นเข้าด้วยกันกับดินสอพอง 1/4 ช้อนโต๊ะ จนเป็นเนื้อครีมละเอียด แล้วต่อด้วยการล้างหน้าให้สะอาด จากนั้นนำครีมที่ได้มาพอกให้ทั่วใบหน้า ยกเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น แล้วค่อยตามด้วยน้ำเย็นเพื่อให้เกิดการกระชับรูขุมขน ทำประมาณสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าปัญหาสิวเสี้ยนบนใบหน้าค่อยๆ ลดลง แถมยังทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่มอีกด้วย
4.ใบบัวบก
ทราบกันหรือไม่ว่าสารสกัดในใบบัวบกนั้น มีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบและอาการแพ้ต่างๆ รวมทั้งช่วยในการสมานผิว ป้องกันแผลเป็น และลดการสะสมของแบคทีเรียได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว สำหรับการนำใบบัวบกมารักษาสิวนั้น สามารถทำได้โดยการนำใบบัวบกผงมาผสมกับน้ำสะอาด จากนั้นนำมาพอกให้ทั่วใบหน้า ทั้งนี้ควรระมัดระวังผิวรอบดวงตา เพราะอาจจะทำให้เกิดการระคายเคือง หากกระเด็นเข้าดวงตาได้ วิธีการนี้จะทำให้สิวบนใบหน้าแห้งและหายเร็วขึ้นนั่นเอง
5.ว่านหางจระเข้
อย่างที่หลายคนทราบกันดีว่าว่านหางจระเข้นั้น มีสรรพคุณในการช่วยบำรุงผิว อีกทั้งยังช่วยป้องกันฝ้า ลบรอยของจุดด่างดำ รวมทั้งรักษาสิวบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี สำหรับวิธีการนำว่านหางมาใช้ในการรักษาสิวนั้น สามารถทำได้ด้วยการนำวุ้นจากใบสดของว่านหางจระเข้ มาทาบริเวณที่มีสิว ปล่อยให้แห้งโดยไม่ต้องล้างออก ทำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ปัญหาเรื่องสิวจะค่อยๆ หายไปจากใบหน้าได้มากแล้วล่ะค่ะ
6.ขมิ้นชัน
ขมิ้นชัน ถือเป็นสมุนไพรที่ได้รับการยกย่องในเรื่องของการรักษาแผลต่างๆ ในร่างกาย อีกทั้งยังมีส่วนในการทำให้ผิวสวยใสได้เป็นอย่างดี เพราะมันมีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวใหม่ เพียงแค่นำ ขมิ้นชันผง 1 ช้อนชา ปูนแดงประมาณครึ่งช้อนชา และน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ นำทั้งสามส่วนผสมมาผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน หลังจากนั้นล้างหน้าให้สะอาด แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาแต้มที่หัวสิว ทิ้งไว้จนกว่าเนื้อครีมจะแห้ง แนะนำให้แต้มทุกเช้า-เย็น จนกว่าหัวสิวจะยุบและหายไปค่ะ
7.ไพล
ไพลเป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการช่วยผลัดเซลล์ผิวใหม่ ซึ่งนำมาใช้ในการรักษาสิวได้ด้วยการนำไพลมาละลายลงในน้ำสะอาด จากนั้นนำมาทำความสะอาดในบริเวณที่เป็นสิวอักเสบเป็นประจำทุกวัน วิธีนี้ จะช่วยลดอาการอักเสบของสิวบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี
8.เสลดพังพอน
เสลดพังพอนเป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ซึ่งสามารถนำมารักษาสิวบนใบหน้าได้ด้วยการนำน้ำที่สกัดจากเสลดพังพอน มาทาในบริเวณที่เป็นสิวอักเสบ รับรองได้เลยว่าวิธีนี้จะช่วยลดอาการอักเสบของสิวลงได้อย่างแน่นอน
สาวๆ ที่กำลังมีปัญหาเรื่องของสิวบนใบหน้า จนไม่รู้ว่าจะเลือกใช้วิธีการรักษาอย่างไร เพื่อให้เกิดความปลอดภัยหลังจากการรักษา ขอแนะนำให้ลองหันมาใช้ สมุนไพรรักษาสิว โดยสมุนไพรต่างๆ ที่เราได้นำเสนอกันไปข้างต้นค่ะ เพราะสมุนไพรเหล่านั้น นอกจากจะช่วยในการรักษาสิวได้เป็นอย่างดีแล้ว มันยังไม่ก่อให้เกิดอันตายใดๆ แก่ผิวหน้าอีกด้วยค่ะ