อาหาร 6 ชนิด ที่ผู้หญิงควรจะกินให้เพิ่มขึ้น เพื่อสุขภาพที่ดี
มะเขือเทศ โดยเฉพาะมะเขือเทศสุก เพราะการปรุงอาหาร เช่น มะเขือเทศในซอสสปาเกตตี้และพิซซ่า จะมีไลโคฟีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลงได้
องุ่นแดง เช่นเดียวกับไวน์แดง โพลีฟีนอล ในองุ่นแดงจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและมะเร็ง
หอมหัวใหญ่ ไม่ว่าจะสุกหรือดิบก็ตามในหัวหอมใหญ่ก็จะอุดมไปด้วย วิตามินซี ที่จะช่วยระบายท้อง และยังมีโฟแลตอีกด้วย
เนื้อแดงไม่ติดมัน เพราะจะอุดมไปด้วยโปรตีน และธาตุเหล็กที่จะช่วยบำรุงเลือดและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอให้กับร่างกาย
ถั่ววอลนัท เพราะถั่ววอลนัท อุดมไปด้วยกรดไขมัน โอเมก้า 3 และไฟเบอร์ที่จะช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงสมอง และยังทำให้ขับถ่ายได้ดีอีกด้วย
ดาร์ค ช็อกโกแลต ก็คือ ช็อกโกแลตที่เข้มจนออกจะขม (ไม่ใช่ช็อกโกแลตนมสำหรับเด็ก) เพราะในดาร์ค ช็อกโกแลต จะมีฟลาโวนอยด์ และไฟโตสเตอรอล ที่จะช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรองในกระแสเลือด และช่วยป้องกันโรคหัวใจ
ที่มา : Spicy
26.11.08
5 วิธีดูแลกายใจให้สดใส..แม้ยามอกหัก
5 วิธีดูแลกายใจให้สดใส..แม้ยามอกหัก
“อกหักแล้วกินไม่ได้ นอนไม่หลับ วัน ๆ เอาแต่นั่งซึมและร้องไห้อย่างนี้ไม่ดีเลย”
ช่วงที่เราอกหักนี่แหละเป็นช่วงที่ร่างกายอ่อนแอที่สุดก็ว่าได้ เพราะนอกจากจิตใจจะอ่อนล้าแล้ว ถ้าไม่ดูแลตัวเองให้ดี ๆ ก็อาจพานทำให้ร่างกายอ่อนแอและล้มป่วยได้ง่าย ๆ
วันแล้วต้องหันมาเอาใจใส่ตัวเองกันสักหน่อย ด้วย 5 วิธีง่าย ๆ ดูแลสุขภาพกายและใจตัวเองแม้ในยามอกหัก ที่เกร็ดสุขภาพนำมาฝากกันค่ะ
-กินดี ถึงจะกลืนอะไรไม่ค่อยลงแต่ก็ต้องฝืนกันบ้าง โดยเลือดอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น สลัดผักมื้อเล็ก ๆ หรือหากหมดเรี่ยวแรงจะเตรียม อาจรองท้องด้วยผลไม้ไว้ก่อนก็ยังดี
-ผ่อนคลายตัวเอง ช่วงนี้ร่างกายของเราอาจจะอ่อนแอ เพราะมีฮอร์โมนความเครียดและคิดถึงเขาจนไม่เป็นอันหลับนอน ดังนั้นต้องพยายามผ่อนคลายตัวเอง อาจด้วยการออกกำลังกายหรือทำสมาธิก็ได้ เพื่อจะได้หลับพักผ่อน
-หาเพื่อนหรือสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ อย่าปล่อยให้ตัวเองอยู่คนเดียว มองหากิจกรรมต่าง ๆ ทำ เช่น ออกไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง หรือกินข้าวกับคนที่บ้านให้มากขึ้น
-คิดว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง รักกันได้ก็เลิกกันได้ หยุดทบทวนหรือย้ำอยู่กับคำสัญญาเก่า ๆ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณรู้สึกแย่ลงไปอีก
-เติมสีสันให้กับตัวเอง ช่วงนี้ห้ามใส่เสื้อผ้าสีดำหรือสีเทาอย่างเด็ดขาด ควรเลือกสีที่สดใสเข้าไว้ จะช่วยให้จิตใจสดใสตาม นอกจากนี้ อย่าลืมดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ เพราะยิ่งถ้าปล่อยตัวเองให้ดูโทรม ก็จะรู้สึกหดหู่ยิ่งขึ้น
ที่นี้อกหักก็เป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถทำร้ายคุณได้อีก เพราะเมื่อคุณมีร่างกายแข็งแรงและจิตใจสดใสแล้ว โครที่ได้อยู่ใกล้ ๆ ก็จะมีความสุขและมอบความรักให้กับคุณค่ะ
ที่มา : ชีวจิต
“อกหักแล้วกินไม่ได้ นอนไม่หลับ วัน ๆ เอาแต่นั่งซึมและร้องไห้อย่างนี้ไม่ดีเลย”
ช่วงที่เราอกหักนี่แหละเป็นช่วงที่ร่างกายอ่อนแอที่สุดก็ว่าได้ เพราะนอกจากจิตใจจะอ่อนล้าแล้ว ถ้าไม่ดูแลตัวเองให้ดี ๆ ก็อาจพานทำให้ร่างกายอ่อนแอและล้มป่วยได้ง่าย ๆ
วันแล้วต้องหันมาเอาใจใส่ตัวเองกันสักหน่อย ด้วย 5 วิธีง่าย ๆ ดูแลสุขภาพกายและใจตัวเองแม้ในยามอกหัก ที่เกร็ดสุขภาพนำมาฝากกันค่ะ
-กินดี ถึงจะกลืนอะไรไม่ค่อยลงแต่ก็ต้องฝืนกันบ้าง โดยเลือดอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น สลัดผักมื้อเล็ก ๆ หรือหากหมดเรี่ยวแรงจะเตรียม อาจรองท้องด้วยผลไม้ไว้ก่อนก็ยังดี
-ผ่อนคลายตัวเอง ช่วงนี้ร่างกายของเราอาจจะอ่อนแอ เพราะมีฮอร์โมนความเครียดและคิดถึงเขาจนไม่เป็นอันหลับนอน ดังนั้นต้องพยายามผ่อนคลายตัวเอง อาจด้วยการออกกำลังกายหรือทำสมาธิก็ได้ เพื่อจะได้หลับพักผ่อน
-หาเพื่อนหรือสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ อย่าปล่อยให้ตัวเองอยู่คนเดียว มองหากิจกรรมต่าง ๆ ทำ เช่น ออกไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง หรือกินข้าวกับคนที่บ้านให้มากขึ้น
-คิดว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง รักกันได้ก็เลิกกันได้ หยุดทบทวนหรือย้ำอยู่กับคำสัญญาเก่า ๆ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณรู้สึกแย่ลงไปอีก
-เติมสีสันให้กับตัวเอง ช่วงนี้ห้ามใส่เสื้อผ้าสีดำหรือสีเทาอย่างเด็ดขาด ควรเลือกสีที่สดใสเข้าไว้ จะช่วยให้จิตใจสดใสตาม นอกจากนี้ อย่าลืมดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ เพราะยิ่งถ้าปล่อยตัวเองให้ดูโทรม ก็จะรู้สึกหดหู่ยิ่งขึ้น
ที่นี้อกหักก็เป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถทำร้ายคุณได้อีก เพราะเมื่อคุณมีร่างกายแข็งแรงและจิตใจสดใสแล้ว โครที่ได้อยู่ใกล้ ๆ ก็จะมีความสุขและมอบความรักให้กับคุณค่ะ
ที่มา : ชีวจิต
24.11.08
น้ำอัดลมทำให้ร่ากายดูดซึมแคลเซียมน้อยลง
น้ำอัดลมทำให้ร่ากายดูดซึมแคลเซียมน้อยลง
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทัฟท์ แห่งสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ผู้หญิงเราควรจะดื่มเครื่องดื่มประเภทโคล่าแต่น้อย หรือจะไม่ดื่มแลยก็ได้เพราะจากการวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มน้ำอัดลมประเภทโคล่า วันละ 12 ออนซ์ เป็นประจำทุกวันกว่า 4 ปี จะมีมวลกระดูกน้อยกว่าผู้หญิงที่ดื่มเครื่องดื่มประเภทนี้สัปดาห์ละครั้งถึง 5% เพราะกรดฟอสโฟริค ในเครื่องดื่มประเภทนี้ จะทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมในอาหารได้น้อยลงและเมื่อแคลเซียมน้อย โรคกระดูกก็ย่อมจะถามหาเป็นธรรมดานั่นเอง
ที่มา : Spicy
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทัฟท์ แห่งสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ผู้หญิงเราควรจะดื่มเครื่องดื่มประเภทโคล่าแต่น้อย หรือจะไม่ดื่มแลยก็ได้เพราะจากการวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มน้ำอัดลมประเภทโคล่า วันละ 12 ออนซ์ เป็นประจำทุกวันกว่า 4 ปี จะมีมวลกระดูกน้อยกว่าผู้หญิงที่ดื่มเครื่องดื่มประเภทนี้สัปดาห์ละครั้งถึง 5% เพราะกรดฟอสโฟริค ในเครื่องดื่มประเภทนี้ จะทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมในอาหารได้น้อยลงและเมื่อแคลเซียมน้อย โรคกระดูกก็ย่อมจะถามหาเป็นธรรมดานั่นเอง
ที่มา : Spicy
22.11.08
สุขภาพหญิงกับเชื้อโรครอบตัว
สุขภาพหญิงกับเชื้อโรครอบตัว
ในขณะที่ดำเนินกิจวัตรประจำวัน
ทุกคนต้องเผชิญกับมลภาวะที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงโอกาสติดเชื้อโรคต่างๆ ที่นับวันจะยิ่งร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสถานที่สาธารณะส่วนใหญ่จะเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อโรค โดยเฉพาะในที่ที่มีผู้คนหนาแน่น มีการแบ่งปันหรือใช้สิ่งของร่วมกัน คุณอาจสงสัยว่า ผู้หญิงกับผู้ชายมีโอกาสเสี่ยงรับเชื้อต่างกันหรือไม่ คงตอบได้ว่าพอๆ กันแต่น่าสังเกตว่าโดยลักษณะนิสัยตามธรรมชาติ แม้ผู้หญิงจะใส่ใจความสะอาด สนใจการดูแลสุขภาพร่างกายมากกว่าชาย แต่ก็ต้องเผชิญกับการรับเชื้อโรคไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ซึ่งกิจกรรมในชีวิตประจำวันต่อไปนี้ล้วนเป็นสิ่งใกล้ตัวที่ผู้หญิงควรให้ความสำคัญและเอาใจใส่มากขึ้น เพื่อลดอัตราการติดเชื้อที่จะเกิดขึ้น
ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะระวังเชื้อโรค
ในยุคน้ำมันแพงเช่นนี้ หลายคนจึงดำเนินนโยบายรัดเข็มขัด ประหยัดค่าใช้จ่าย พึ่งพาบริการรถโดยสารสาธารณะเท่าที่ทำได้ เช่น เรือ รถประจำทาง รถไฟฟ้า หรือรถไฟใต้ดิน ซึ่งคำนวณแล้วประหยัดกว่าขับรถ หรือนั่งรถรับจ้างสาธารณะพอสมควร แต่ก็มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อโรคมากเช่นกันเนื่องจากมีผู้โดยสารใช้บริการมาก เกิดความแออัดในห้องโดยสารที่ไม่มีการระบายอากาศที่ดีพอ บานกระจก บานประตู ราวจับ เบาะโดยสาร ฯลฯ ผ่านการจับ หรือสัมผัสจากมือนับไม่ถ้วน ซึ่งหากมีคนใดคนหนึ่งป่วย ก็อาจแพร่กระจายโรคไปสู่คนอื่นอย่างง่ายดาย ยกตัวอย่างเช่น เชื้อไข้หวัด โรคตาแดง ผื่นคัน เป็นต้น เนื่องจากส่วนใหญ่ผู้หญิงติดนิสัยสำรวจตนเองให้ดูดี จึงอาจเผลอเสยผม ลูบผม จับหน้า ฯลฯ เปิดโอกาสให้ร่างกายรับเชื้อง่ายขึ้น ดังนั้นหลังจากขึ้น-ลงรถโดยสารทุกครั้งพยายามล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสหน้า ขยี้ตา เพราะอย่างน้อยก็อาจทำให้เกิดสิวอักเสบได้ง่าย
โต๊ะทำงานแหล่งสะสมเชื้อโรค!
ฟังดูแล้วอาจไม่น่าเชื่อ แต่โต๊ะคอมพิวเตอร์มีเชื้อโรคมากกว่าโถชักโครกถึง 400 เท่า หากละเลยการทำความสะอาดโต๊ะทำงาน ไม่ได้เช็ดถูเป็นประจำทุกวัน ยิ่งสาวๆ คนใดนิยมหยิบขนมรับประทานพลางขณะพิมพ์งาน เศษขนมเอย ความมันของอาหารที่ติดที่มือก็ยังคงติดอยู่บนแป้นพิมพ์ โต๊ะทำงาน ฯลฯ อย่างไรก็ตามแม้ว่าเชื้อโรคที่ตรวจพบบนโต๊ะทำงานส่วนใหญ่จะไม่อันตราย แต่ก็มีเชื้อไวรัสปะปนอยู่ บ้างก็เป็นไวรัสไข้หวัด ไวรัสหูด โดยจะตรวจพบบ่อยตามโทรศัพท์ แป้นพิมพ์ เพราะทั้งสองอย่างล้วนเป็นสิ่งที่จับต้องบ่อย ยิ่งเอื้ออำนวยให้ติดเชื้อง่ายยิ่งขึ้นหากร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำ ดังนั้นวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ การทำความสะอาดโต๊ะทำงานเป็นประจำ ใช้ทิชชูเนื้อหนา หรือผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ด ก่อนลงมือทำงานทุกเช้า หรือใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดแป้นพิมพ์สัปดาห์ละครั้งก็ยังดี ถ้าเป็นหูโทรศัพท์ให้ใช้แอลกอฮอล์ชุบสำลีเช็ดบางๆ และอย่าลืมล้างมือให้สะอาดก่อนจับ หรือสัมผัสหน้า
หุ่นสวยที่ฟิตเนสแต่กลับติดเชื้อที่ผิวหนังแทน?
โดยทั่วไปฟิตเนสที่ได้มาตรฐานจะมีการจัดการและดูแลความสะอาดอย่างดี อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีผู้ใช้บริการจำนวนมากในแต่ละวัน จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่สามารถติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อไวรัสและราอย่างดี เพราะทั้งเปียกและชื้นจากเหงื่อหรือน้ำเฉอะแฉะในห้องอาบน้ำ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คนเดินย่ำไปมาทำให้เชื้อโรคอาศัยอยู่ตามพื้น โรคส่วนใหญ่ที่เกิดคือ หูดที่เกิดจากไวรัส หรืออาการคันตามง่ามนิ้วเท้าจากการติดเชื้อรา ดังนั้นจึงควรใส่รองเท้าฟองน้ำก่อนเข้าห้องน้ำทุกครั้ง และไม่ควรเดินเท้าเปล่าบริเวณห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า นอกจากนี้หลังออกกำลังกายอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ให้เช็ดเท้าให้แห้งทุกครั้งก่อนสวมใส่รองเท้า เปลี่ยนใส่ถุงเท้าคู่ใหม่ เพื่อป้องกันเท้าอับชื้น ซึ่งเป็นสาเหตุการเกิดเชื้อราที่เท้าเช่นกัน ส่วนหญิงที่ติดเล็บปลอม หรือต่อเล็บอะคริลิค ยิ่งต้องใส่ใจทำความสะอาดเล็บยิ่งกว่าคนอื่น เนื่องจากการติดเล็บปลอมทำให้เชื้อแบคทีเรีย และยีสต์เข้าไปซุกซ่อนตามขอบเล็บ และเข้าไปเติบโตได้ง่าย ดังนั้นหยิบจับสิ่งใดต้องหมั่นใช้แปรงขัดเล็บให้สะอาด หรือหากต้องสัมผัสอาหารด้วยมือโดยตรง ควรล้างมือให้สะอาดก่อนเสมอ
ทำธุระเบาหรือหนัก ตามห้องน้ำสาธารณะยิ่งต้องระวัง
ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิง ไปไหนมาไหนต้องใส่ใจเรื่องสุขอนามัยเป็นอันดับแรกๆ การเข้าห้องน้ำยิ่งต้องใส่ใจเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษ ห้องน้ำปกติเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคมากมาย แม้แต่ห้องน้ำส่วนตัวที่ใช้เป็นประจำทุกวันยังมั่นใจในความสะอาดได้ไม่ถึง 100% เมื่อไปใช้ห้องน้ำสาธารณะ ความมั่นใจยิ่งลดลงหลายเท่าตัว
ในกรณีห้องน้ำชักโครก ก่อนนั่งควรทำความสะอาดฝารองนั่งให้สะอาด ใช้ทิชชูแบบเปียกชนิดฆ่าเชื้อ กระดาษชำระเช็ดให้สะอาด หรือปูกระดาษรองนั่งก่อนทำธุระ (พกติดกระเป๋าไว้) นอกจากนี้ยังต้องสังเกตว่าสายชำระสะอาดหรือไม่ ทางที่ดีควรฉีดให้น้ำไหลทิ้งประมาณ 1 นาที เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่ปะปนบริเวณรอบๆ สายชำระ หากมีสนิมขึ้นบริเวณหัวฉีด แนะนำให้ใช้ทิชชู ดีกว่า สุดท้ายหลังทำธุระทุกครั้งต้องล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดทุกครั้ง
อุปกรณ์แต่งหน้าเพิ่มความสวยแต่เต็มไปด้วยเชื้อโรค
อุปกรณ์แต่งหน้าไม่ว่าจะเป็นฟองน้ำ แปรงแต่งหน้าซึ่งทำจากขนประเภทใด เมื่อใช้ไประยะหนึ่งจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคผิวหนัง เช่น สิวอักเสบ หรือตาแดง จากเชื้อ Staphylococcus ดังนั้นก่อนแต่งหน้าทุกครั้ง ต้องทำความสะอาดใบหน้าและมือทุกครั้ง หมั่นล้างพวกฟองน้ำ แปรงแต่งหน้าทุกอาทิตย์ ตากให้แห้งในที่ลมพัด อากาศถ่ายเท จนกระทั่งแห้งสนิทค่อยเก็บไปใช้ หรือหากไม่มีเวลาให้เช็ดแปรงต่างๆ ด้วยแอลกอฮอล์ ที่สำคัญต้องไม่ใช้เครื่องสำอางร่วมกับคนอื่น เพราะยิ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ติดเชื้อ แพร่กระจายเชื้อได้อย่างดี ยกตัวอย่างเช่น เคาน์เตอร์เครื่องสำอางตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป มักมีบริการทดลองแต่งหน้าแก่ผู้ที่สนใจ ซึ่งอุปกรณ์แต่งหน้ามักต้องแบ่งใช้ หากสังเกตดีๆ บางแห่งใช้จนฟองน้ำกลายเป็นสีคล้ำ แปรงแต่งหน้ามีฝุ่นจากเครื่องสำอางจับหนา ดังนั้นหากต้องการทดลองแต่งหน้า สามารถบอกให้ช่างทำความสะอาดอุปกรณ์ก่อนทุกครั้ง หรือยื่นอุปกรณ์แต่งหน้าส่วนตัวให้ใช้จะดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาสคาร่า และลิปสติกแบบน้ำ ซึ่งต้องสัมผัสกับขนตา และผิวหนังโดยตรง หากลองใช้ อาจติดเชื้อตาอักเสบ หรือเป็นเริมที่ริมฝีปากเป็นของแถม แทนที่จะสวยกลับต้องไปหาหมอ เสียเงินรักษา
โดยธรรมชาติผู้หญิงถูกกำหนดให้มีทรวดทรง รูปร่ างที่ซับซ้อน รักความสวยงาม มักมีการปรับปรุงแต่งเติมต่างๆ จึงจำเป็นต้องใส่ใจรักษาความสะอาดเป็นพิเศษ ดังนั้นสภาพแวดล้อมใดที่เป็นปัจจัยที่ทำให้ติดเชื้อง่าย ก็ควรหลีกเลี่ยง หาทางป้องกันเสียก่อน เพราะหากเป็นขึ้นมาแล้วจะยิ่งดูแลลำบากมากขึ้น แม้ว่าเกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก แต่หากหมั่นดูแลร่างกาย จะสบายและภูมิใจที่เป็นหญิงค่ะ
ที่มา : HealthToday
ในขณะที่ดำเนินกิจวัตรประจำวัน
ทุกคนต้องเผชิญกับมลภาวะที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงโอกาสติดเชื้อโรคต่างๆ ที่นับวันจะยิ่งร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสถานที่สาธารณะส่วนใหญ่จะเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อโรค โดยเฉพาะในที่ที่มีผู้คนหนาแน่น มีการแบ่งปันหรือใช้สิ่งของร่วมกัน คุณอาจสงสัยว่า ผู้หญิงกับผู้ชายมีโอกาสเสี่ยงรับเชื้อต่างกันหรือไม่ คงตอบได้ว่าพอๆ กันแต่น่าสังเกตว่าโดยลักษณะนิสัยตามธรรมชาติ แม้ผู้หญิงจะใส่ใจความสะอาด สนใจการดูแลสุขภาพร่างกายมากกว่าชาย แต่ก็ต้องเผชิญกับการรับเชื้อโรคไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ซึ่งกิจกรรมในชีวิตประจำวันต่อไปนี้ล้วนเป็นสิ่งใกล้ตัวที่ผู้หญิงควรให้ความสำคัญและเอาใจใส่มากขึ้น เพื่อลดอัตราการติดเชื้อที่จะเกิดขึ้น
ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะระวังเชื้อโรค
ในยุคน้ำมันแพงเช่นนี้ หลายคนจึงดำเนินนโยบายรัดเข็มขัด ประหยัดค่าใช้จ่าย พึ่งพาบริการรถโดยสารสาธารณะเท่าที่ทำได้ เช่น เรือ รถประจำทาง รถไฟฟ้า หรือรถไฟใต้ดิน ซึ่งคำนวณแล้วประหยัดกว่าขับรถ หรือนั่งรถรับจ้างสาธารณะพอสมควร แต่ก็มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อโรคมากเช่นกันเนื่องจากมีผู้โดยสารใช้บริการมาก เกิดความแออัดในห้องโดยสารที่ไม่มีการระบายอากาศที่ดีพอ บานกระจก บานประตู ราวจับ เบาะโดยสาร ฯลฯ ผ่านการจับ หรือสัมผัสจากมือนับไม่ถ้วน ซึ่งหากมีคนใดคนหนึ่งป่วย ก็อาจแพร่กระจายโรคไปสู่คนอื่นอย่างง่ายดาย ยกตัวอย่างเช่น เชื้อไข้หวัด โรคตาแดง ผื่นคัน เป็นต้น เนื่องจากส่วนใหญ่ผู้หญิงติดนิสัยสำรวจตนเองให้ดูดี จึงอาจเผลอเสยผม ลูบผม จับหน้า ฯลฯ เปิดโอกาสให้ร่างกายรับเชื้อง่ายขึ้น ดังนั้นหลังจากขึ้น-ลงรถโดยสารทุกครั้งพยายามล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสหน้า ขยี้ตา เพราะอย่างน้อยก็อาจทำให้เกิดสิวอักเสบได้ง่าย
โต๊ะทำงานแหล่งสะสมเชื้อโรค!
ฟังดูแล้วอาจไม่น่าเชื่อ แต่โต๊ะคอมพิวเตอร์มีเชื้อโรคมากกว่าโถชักโครกถึง 400 เท่า หากละเลยการทำความสะอาดโต๊ะทำงาน ไม่ได้เช็ดถูเป็นประจำทุกวัน ยิ่งสาวๆ คนใดนิยมหยิบขนมรับประทานพลางขณะพิมพ์งาน เศษขนมเอย ความมันของอาหารที่ติดที่มือก็ยังคงติดอยู่บนแป้นพิมพ์ โต๊ะทำงาน ฯลฯ อย่างไรก็ตามแม้ว่าเชื้อโรคที่ตรวจพบบนโต๊ะทำงานส่วนใหญ่จะไม่อันตราย แต่ก็มีเชื้อไวรัสปะปนอยู่ บ้างก็เป็นไวรัสไข้หวัด ไวรัสหูด โดยจะตรวจพบบ่อยตามโทรศัพท์ แป้นพิมพ์ เพราะทั้งสองอย่างล้วนเป็นสิ่งที่จับต้องบ่อย ยิ่งเอื้ออำนวยให้ติดเชื้อง่ายยิ่งขึ้นหากร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำ ดังนั้นวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ การทำความสะอาดโต๊ะทำงานเป็นประจำ ใช้ทิชชูเนื้อหนา หรือผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ด ก่อนลงมือทำงานทุกเช้า หรือใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดแป้นพิมพ์สัปดาห์ละครั้งก็ยังดี ถ้าเป็นหูโทรศัพท์ให้ใช้แอลกอฮอล์ชุบสำลีเช็ดบางๆ และอย่าลืมล้างมือให้สะอาดก่อนจับ หรือสัมผัสหน้า
หุ่นสวยที่ฟิตเนสแต่กลับติดเชื้อที่ผิวหนังแทน?
โดยทั่วไปฟิตเนสที่ได้มาตรฐานจะมีการจัดการและดูแลความสะอาดอย่างดี อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีผู้ใช้บริการจำนวนมากในแต่ละวัน จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่สามารถติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อไวรัสและราอย่างดี เพราะทั้งเปียกและชื้นจากเหงื่อหรือน้ำเฉอะแฉะในห้องอาบน้ำ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คนเดินย่ำไปมาทำให้เชื้อโรคอาศัยอยู่ตามพื้น โรคส่วนใหญ่ที่เกิดคือ หูดที่เกิดจากไวรัส หรืออาการคันตามง่ามนิ้วเท้าจากการติดเชื้อรา ดังนั้นจึงควรใส่รองเท้าฟองน้ำก่อนเข้าห้องน้ำทุกครั้ง และไม่ควรเดินเท้าเปล่าบริเวณห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า นอกจากนี้หลังออกกำลังกายอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ให้เช็ดเท้าให้แห้งทุกครั้งก่อนสวมใส่รองเท้า เปลี่ยนใส่ถุงเท้าคู่ใหม่ เพื่อป้องกันเท้าอับชื้น ซึ่งเป็นสาเหตุการเกิดเชื้อราที่เท้าเช่นกัน ส่วนหญิงที่ติดเล็บปลอม หรือต่อเล็บอะคริลิค ยิ่งต้องใส่ใจทำความสะอาดเล็บยิ่งกว่าคนอื่น เนื่องจากการติดเล็บปลอมทำให้เชื้อแบคทีเรีย และยีสต์เข้าไปซุกซ่อนตามขอบเล็บ และเข้าไปเติบโตได้ง่าย ดังนั้นหยิบจับสิ่งใดต้องหมั่นใช้แปรงขัดเล็บให้สะอาด หรือหากต้องสัมผัสอาหารด้วยมือโดยตรง ควรล้างมือให้สะอาดก่อนเสมอ
ทำธุระเบาหรือหนัก ตามห้องน้ำสาธารณะยิ่งต้องระวัง
ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิง ไปไหนมาไหนต้องใส่ใจเรื่องสุขอนามัยเป็นอันดับแรกๆ การเข้าห้องน้ำยิ่งต้องใส่ใจเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษ ห้องน้ำปกติเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคมากมาย แม้แต่ห้องน้ำส่วนตัวที่ใช้เป็นประจำทุกวันยังมั่นใจในความสะอาดได้ไม่ถึง 100% เมื่อไปใช้ห้องน้ำสาธารณะ ความมั่นใจยิ่งลดลงหลายเท่าตัว
ในกรณีห้องน้ำชักโครก ก่อนนั่งควรทำความสะอาดฝารองนั่งให้สะอาด ใช้ทิชชูแบบเปียกชนิดฆ่าเชื้อ กระดาษชำระเช็ดให้สะอาด หรือปูกระดาษรองนั่งก่อนทำธุระ (พกติดกระเป๋าไว้) นอกจากนี้ยังต้องสังเกตว่าสายชำระสะอาดหรือไม่ ทางที่ดีควรฉีดให้น้ำไหลทิ้งประมาณ 1 นาที เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่ปะปนบริเวณรอบๆ สายชำระ หากมีสนิมขึ้นบริเวณหัวฉีด แนะนำให้ใช้ทิชชู ดีกว่า สุดท้ายหลังทำธุระทุกครั้งต้องล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดทุกครั้ง
อุปกรณ์แต่งหน้าเพิ่มความสวยแต่เต็มไปด้วยเชื้อโรค
อุปกรณ์แต่งหน้าไม่ว่าจะเป็นฟองน้ำ แปรงแต่งหน้าซึ่งทำจากขนประเภทใด เมื่อใช้ไประยะหนึ่งจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคผิวหนัง เช่น สิวอักเสบ หรือตาแดง จากเชื้อ Staphylococcus ดังนั้นก่อนแต่งหน้าทุกครั้ง ต้องทำความสะอาดใบหน้าและมือทุกครั้ง หมั่นล้างพวกฟองน้ำ แปรงแต่งหน้าทุกอาทิตย์ ตากให้แห้งในที่ลมพัด อากาศถ่ายเท จนกระทั่งแห้งสนิทค่อยเก็บไปใช้ หรือหากไม่มีเวลาให้เช็ดแปรงต่างๆ ด้วยแอลกอฮอล์ ที่สำคัญต้องไม่ใช้เครื่องสำอางร่วมกับคนอื่น เพราะยิ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ติดเชื้อ แพร่กระจายเชื้อได้อย่างดี ยกตัวอย่างเช่น เคาน์เตอร์เครื่องสำอางตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป มักมีบริการทดลองแต่งหน้าแก่ผู้ที่สนใจ ซึ่งอุปกรณ์แต่งหน้ามักต้องแบ่งใช้ หากสังเกตดีๆ บางแห่งใช้จนฟองน้ำกลายเป็นสีคล้ำ แปรงแต่งหน้ามีฝุ่นจากเครื่องสำอางจับหนา ดังนั้นหากต้องการทดลองแต่งหน้า สามารถบอกให้ช่างทำความสะอาดอุปกรณ์ก่อนทุกครั้ง หรือยื่นอุปกรณ์แต่งหน้าส่วนตัวให้ใช้จะดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาสคาร่า และลิปสติกแบบน้ำ ซึ่งต้องสัมผัสกับขนตา และผิวหนังโดยตรง หากลองใช้ อาจติดเชื้อตาอักเสบ หรือเป็นเริมที่ริมฝีปากเป็นของแถม แทนที่จะสวยกลับต้องไปหาหมอ เสียเงินรักษา
โดยธรรมชาติผู้หญิงถูกกำหนดให้มีทรวดทรง รูปร่ างที่ซับซ้อน รักความสวยงาม มักมีการปรับปรุงแต่งเติมต่างๆ จึงจำเป็นต้องใส่ใจรักษาความสะอาดเป็นพิเศษ ดังนั้นสภาพแวดล้อมใดที่เป็นปัจจัยที่ทำให้ติดเชื้อง่าย ก็ควรหลีกเลี่ยง หาทางป้องกันเสียก่อน เพราะหากเป็นขึ้นมาแล้วจะยิ่งดูแลลำบากมากขึ้น แม้ว่าเกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก แต่หากหมั่นดูแลร่างกาย จะสบายและภูมิใจที่เป็นหญิงค่ะ
ที่มา : HealthToday
21.11.08
5 กฎเล็กสุขภาพดีสไตล์ชีวจิต
5 กฎเล็กสุขภาพดีสไตล์ชีวจิต
รู้ไหมว่าใครเป็นหมอที่เก่งที่สุดในโลก?...
คำตอบคือ ตัวคุณเองนั่นแหละ ที่สามารถเป็นหมอที่เก่งที่สุดในโลกได้ เพียงแต่ก่อนอื่นคุณต้องรู้จักตัวคุณเองให้ดีที่สุดเสียก่อน ซึ่งทำได้ด้วยการสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายอย่างสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้หน้าที่รักษาบำบัดโรคให้หมอในโรงพยาบาลเท่านั้น เพราะบ้านคือโรงพยาบาลชั้นดี และอาหารก็คือยาชั้นเลิศเช่นกัน พฤติกรรมประจำวันที่ถูกต้องคือวัคซีนชั้นยอดที่จะเป็นเกราะกำบังโรคภัยไข้เจ็บได้
** เริ่มจากกฎเล็ก เรื่องเล็กที่ไม่เล็ก
ด้วยโรคภัยที่อยู่ใกล้เราแค่ปลายช้อนที่ตักอาหารเข้าปาก ประกอบกับโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวันทำให้ ดร.สาทิส อินทรกำแหง เจ้าของรางวัลนราธิป ปี 2549 และผู้บุกเบิกเส้นทางของแนวคิดแบบชีวจิต เผยเคล็ดลับที่ทำให้สุขภาพดีอยู่เสมอ ด้วย 5 กฎเล็ก ซึ่งล้วนเป็นพื้นฐานเบื้องต้นในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่หากจะให้ได้ผลละก็ ต้องเชื่อ!!! ว่าคุณทำได้ และที่สำคัญ ต้องเริ่มต้นให้ได้ ซึ่งสามารถทำง่ายๆ ได้ด้วยตนเอง ได้แก่ กินให้ถูกต้อง นอนให้ถูก พักผ่อนให้ถูก ออกกำลังกายให้ถูก และทำงานให้ถูก เท่านี้พลังชีวิตของเราก็จะกลับมา
“อาจจะดูเป็นเรื่องยาก จริงๆ ก็ทำได้แต่ไม่ยอมทำ เหมือนคนเราที่บอกตัวเองว่าอย่ากินข้าวขาหมู แต่พอเจอก็กินอยู่ดี บอกว่ามันไม่ดีๆ ก็รู้แต่ก็ยังทำเพราะมันเป็นนิสัย” ดร.สาทิส เปรียบเปรย
**กินหรือทำงานต้องให้สุข
สำหรับกฎข้อแรกเรื่องการกินนั้นดูจะเป็นปัญหามากสำหรับคนที่ติดกิน โดยเฉพาะพี่ไทยเรานี่ที่ติดกินข้าวให้มากเข้าไว้ และบางคนก็มีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการกินอยู่มาก เพราะถ้าตำราไหนบอกว่ากินปลาทะเลมากๆ เพิ่มโอเมกา 3 ก็กินแต่ปลาทะเลทุกวัน ซึ่งมากเกินไป จะให้ดีกินสัปดาห์ละ 2 ครั้งก็เพียงพอ เพราะคนไม่มีความพอดี
ทั้งนี้ สูตรของการกินสไตล์ชีวจิตจึงเน้นความพอเหมาะโดยจัดเป็นสัดส่วนของอาหาร 1 จานนั้นมีอาหาร 100 เปอร์เซ็นต์ ต้องแบ่งเป็นข้าวไม่ขัดขาวอยู่ 50 เปอร์เซ็นต์ ผักในจานต้องมี 25 เปอร์เซ็นต์ จัดโปรตีนก็ให้อยู่ในสัดส่วน 15 เปอร์เซ็นต์ และเบ็ดเตล็ดอีกประเภทถั่ว ธัญพืชอีก 10 เปอร์เซ็นต์ แต่หากเป็นคนท้วมหนักไปทางอ้วนหรือเป็นเบาหวานละก็ ให้ลดแป้งในจานเหลือ 30 เปอร์เซ็นต์ โดยเพิ่มผักและโปรตีนให้เป็น 35 และ25 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ
“โปรตีนที่เรารับจะต้องมาจากพืชเป็นส่วนใหญ่ ปลาทะเลไม่ต้องกระหน่ำกินมาก เพราะร่างกายเราจะนำไปใช้เท่าที่จำเป็น บางอย่างมากไปก็ไม่ดี โปรตีนต้องมาจากพืชพวกถั่วเหลือง เต้าหู้ก็จะดีถ้าใครผมหงอกเร็ว หรือว่าผมร่วง โปรตีนจากพืชและธัญพืชช่วยได้” ผู้บุกเบิกแนวคิดชีวจิตแจกแจง
และในสังคมที่แข่งขันเร่งรีบอย่างทุกวันนี้ ใครๆ ก็แข่งกันเครียด ยิ่งในวันทำงานยิ่งทวีความเครียดให้ร่างกายเข้าไปอีก ทางแก้เริ่มได้ที่ตัวเราโดยคิดอย่างท้าทายและทำงานให้สนุก ถ้าไม่สนุกก็หาทางเลี่ยง แต่ส่วนใหญ่จะเลี่ยงไม่ได้เพราะถูกบังคับ แต่ก็ต้องพยายามหามุมมองการทำงานในแง่ดี เมื่อเครียดหรือรู้สึกอึดอัดในการทำงาน ให้หายใจยาวๆ พักผ่อนสายตา อย่าทำงานให้มากเกินไป หรืออย่าเฉื่อยแฉะจนชีวิตขาดความกระตือรือร้น เพราะเหล่านี้ล้วนทำให้เกิดความเจ็บป่วยได้เท่ากัน
** พักผ่อน นอนหลับให้สบาย
เมื่อทำงานมาตลอดวัน ตลอดสัปดาห์ ร่างกายที่เหนื่อยล้าก็ต้องพักผ่อนเพื่อคลายความตึงเครียดกันบ้าง การเดินเล่นในสวนสาธารณะสูดอากาศบริสุทธิ์ทำให้จิตใจสบายขึ้น จะให้ดีถ้าต้องการกระตุ้นจินตนาการและออกกำลังสมองแบบไม่หนักนักก็พกหนังสือที่ชอบสักเล่มหรือฟังเพลงให้สบายอารมณ์ และอีกทางก็คือการอยู่บ้านกับสัตว์เลี้ยงตัวโปรดและงานอดิเรกที่ชอบเท่านี้วันพักก็จะเปี่ยมด้วยประโยชน์และผ่อนคลายได้ แต่ถ้าพูดถึงการพักผ่อน หรือเวลาว่างหลายคนมักจะให้คำตอบว่า
“ได้หยุดทั้งทีก็ขอนอนให้ฉ่ำใจสิ” บางคนเลือกพักผ่อนโดยการท่องราตรีในวันศุกร์ ได้นอนอีกทีในเช้าวันเสาร์ ตื่นมากิน แล้วนอนต่อ เรื่อยไปจนดึกวันอาทิตย์ และเดินเหมือนศพเดินได้ในเช้าวันจันทร์ พร้อมคำบ่นไม่อยากทำงานเพราะเหนื่อยเหลือทน แต่สังเกตกันไหมว่าทำไมยิ่งนอนมากยิ่งเหนื่อย นั่นเพราะเรานอนไม่ถูกต้องยังไง เมื่อนอนไม่ถูก นอนมากเกินจำเป็น ประกอบกับความเครียดจากการทำงาน กระตุ้นให้บางคราวเกิดนอนไม่หลับ หรือถ้าหลับก็รู้สึกไม่สบาย หลับๆ ตื่นๆ ทำให้เช้าของวันต่อๆ มาไม่สดชื่น
ดร.สาทิส บอกตามทฤษฎีของชีวจิต ว่า จริงๆ แล้วคนเราไม่จำเป็นต้องนอนให้ครบ 8 ชั่วโมงก็ได้เพียงหลับให้สนิท 5 ชั่วโมงก็พอแล้ว 6 ชั่วโมงกำลังดี แต่การนอนแบบเด็กสมัยใหม่แบบกินบ้านกินเมืองนั้นเป็นการนอนที่ผิด และทำให้ป่วยได้ง่ายด้วย
“ไอ้ที่นอนนานๆ แล้วไม่มีแรงเขานอนผิด ถ้าจะนอนหลับให้สนิทและเป็นสุขก็ต้องให้ร่างกายผ่อนคลายก่อน ซึ่งการจะให้ผ่อนคลายก็ต้องฝึก ง่ายๆ ลองยื่นแขนขวาไปด้านข้างแล้วกำมือแล้วเกร็งจนรู้สึกว่าไม่ไหวค่อยปล่อย จากนั้นก็ทำแบบเดียวกันกับแขนซ้าย เกร็งขาทีละข้างแล้วก็คลาย จากนั้นก็มาที่ต้นคอ ที่ท้อง หายใจเข้าออกยาวๆให้ผ่อนคลายเพื่อให้หลับสบาย ซึ่งรับรองว่าได้ผลแน่นอนแต่ต้องฝึก” ดร.สาทิส แนะนำ
** ออกกำลังเรื่องง่ายเริ่มได้เร็ว
การออกกำลังกายเป็นการสร้างยาวิเศษให้หัวใจ การออกกำลังกายทำให้หัวใจเต้นสม่ำเสมอ มีพลังชีวิต ซึ่ง ดร.สาทิส ให้ความเห็นว่า เป็นกฎข้อที่สามารถเริ่มได้ง่ายที่สุด แต่อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับหลายคน ซึ่งทางแก้ที่ดีเพื่อให้การออกกำลังกายด้วยวิธีต่างๆ ถึงฝั่งฝันก็คือ การหาเพื่อนออกกำลัง โดยหาวันที่แน่นอน เพราะการทำอะไรเป็นกลุ่มย่อมทำให้กำลังใจเพิ่มมากกว่าทำโดยลำพังอยู่แล้ว
“การออกแรงมากๆ กลับจะทำให้มีแรงมาก คนที่มีปัญหาระบบประสาทการออกกำลังกายบางประเภทช่วยได้ เช่น การรำกระบอง หรือการเต้นแอโรบิก การออกกำลังที่ทำให้หัวใจเต้น ร่างกายจะสร้างสารเอ็นโดรฟิน คนที่ออกกำลังกายช่วงแรกจะบ่นปวดๆ แต่อย่าหยุดให้ทำไปเรื่อยๆ เท่าที่ร่างกายทำได้ แล้วจากนั้นจะสบายเอง” ดร.สาทิส กล่าว
...5 กฎเล็กตามสไตล์ชีวจิต เป็นเรื่องสำคัญในแต่ละวันที่เราจะต้องเจอะเจอ โดยรวมแล้วจะเห็นว่าชีวิตจะมีสุขและแข็งแรงสดใสได้จะต้องตั้งอยู่บนความพอดี ไม่กินอย่างหนึ่งอย่างใดมากเกินไป ไม่นอนมากเกินไป และไม่ทำงานหนักจนเครียดเกินไป หากใครทำตามกฎนี้ได้ชีวิตดีขึ้นแน่นอน รับรองว่า...แข็งแรงไม่เจ็บ ไม่ป่วย ดูเป็นหนุ่มเป็นสาวชัวร์....คอนเฟิร์มเลย
ที่มา..ผู้จัดการออนไลน์
รู้ไหมว่าใครเป็นหมอที่เก่งที่สุดในโลก?...
คำตอบคือ ตัวคุณเองนั่นแหละ ที่สามารถเป็นหมอที่เก่งที่สุดในโลกได้ เพียงแต่ก่อนอื่นคุณต้องรู้จักตัวคุณเองให้ดีที่สุดเสียก่อน ซึ่งทำได้ด้วยการสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายอย่างสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้หน้าที่รักษาบำบัดโรคให้หมอในโรงพยาบาลเท่านั้น เพราะบ้านคือโรงพยาบาลชั้นดี และอาหารก็คือยาชั้นเลิศเช่นกัน พฤติกรรมประจำวันที่ถูกต้องคือวัคซีนชั้นยอดที่จะเป็นเกราะกำบังโรคภัยไข้เจ็บได้
** เริ่มจากกฎเล็ก เรื่องเล็กที่ไม่เล็ก
ด้วยโรคภัยที่อยู่ใกล้เราแค่ปลายช้อนที่ตักอาหารเข้าปาก ประกอบกับโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวันทำให้ ดร.สาทิส อินทรกำแหง เจ้าของรางวัลนราธิป ปี 2549 และผู้บุกเบิกเส้นทางของแนวคิดแบบชีวจิต เผยเคล็ดลับที่ทำให้สุขภาพดีอยู่เสมอ ด้วย 5 กฎเล็ก ซึ่งล้วนเป็นพื้นฐานเบื้องต้นในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่หากจะให้ได้ผลละก็ ต้องเชื่อ!!! ว่าคุณทำได้ และที่สำคัญ ต้องเริ่มต้นให้ได้ ซึ่งสามารถทำง่ายๆ ได้ด้วยตนเอง ได้แก่ กินให้ถูกต้อง นอนให้ถูก พักผ่อนให้ถูก ออกกำลังกายให้ถูก และทำงานให้ถูก เท่านี้พลังชีวิตของเราก็จะกลับมา
“อาจจะดูเป็นเรื่องยาก จริงๆ ก็ทำได้แต่ไม่ยอมทำ เหมือนคนเราที่บอกตัวเองว่าอย่ากินข้าวขาหมู แต่พอเจอก็กินอยู่ดี บอกว่ามันไม่ดีๆ ก็รู้แต่ก็ยังทำเพราะมันเป็นนิสัย” ดร.สาทิส เปรียบเปรย
**กินหรือทำงานต้องให้สุข
สำหรับกฎข้อแรกเรื่องการกินนั้นดูจะเป็นปัญหามากสำหรับคนที่ติดกิน โดยเฉพาะพี่ไทยเรานี่ที่ติดกินข้าวให้มากเข้าไว้ และบางคนก็มีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการกินอยู่มาก เพราะถ้าตำราไหนบอกว่ากินปลาทะเลมากๆ เพิ่มโอเมกา 3 ก็กินแต่ปลาทะเลทุกวัน ซึ่งมากเกินไป จะให้ดีกินสัปดาห์ละ 2 ครั้งก็เพียงพอ เพราะคนไม่มีความพอดี
ทั้งนี้ สูตรของการกินสไตล์ชีวจิตจึงเน้นความพอเหมาะโดยจัดเป็นสัดส่วนของอาหาร 1 จานนั้นมีอาหาร 100 เปอร์เซ็นต์ ต้องแบ่งเป็นข้าวไม่ขัดขาวอยู่ 50 เปอร์เซ็นต์ ผักในจานต้องมี 25 เปอร์เซ็นต์ จัดโปรตีนก็ให้อยู่ในสัดส่วน 15 เปอร์เซ็นต์ และเบ็ดเตล็ดอีกประเภทถั่ว ธัญพืชอีก 10 เปอร์เซ็นต์ แต่หากเป็นคนท้วมหนักไปทางอ้วนหรือเป็นเบาหวานละก็ ให้ลดแป้งในจานเหลือ 30 เปอร์เซ็นต์ โดยเพิ่มผักและโปรตีนให้เป็น 35 และ25 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ
“โปรตีนที่เรารับจะต้องมาจากพืชเป็นส่วนใหญ่ ปลาทะเลไม่ต้องกระหน่ำกินมาก เพราะร่างกายเราจะนำไปใช้เท่าที่จำเป็น บางอย่างมากไปก็ไม่ดี โปรตีนต้องมาจากพืชพวกถั่วเหลือง เต้าหู้ก็จะดีถ้าใครผมหงอกเร็ว หรือว่าผมร่วง โปรตีนจากพืชและธัญพืชช่วยได้” ผู้บุกเบิกแนวคิดชีวจิตแจกแจง
และในสังคมที่แข่งขันเร่งรีบอย่างทุกวันนี้ ใครๆ ก็แข่งกันเครียด ยิ่งในวันทำงานยิ่งทวีความเครียดให้ร่างกายเข้าไปอีก ทางแก้เริ่มได้ที่ตัวเราโดยคิดอย่างท้าทายและทำงานให้สนุก ถ้าไม่สนุกก็หาทางเลี่ยง แต่ส่วนใหญ่จะเลี่ยงไม่ได้เพราะถูกบังคับ แต่ก็ต้องพยายามหามุมมองการทำงานในแง่ดี เมื่อเครียดหรือรู้สึกอึดอัดในการทำงาน ให้หายใจยาวๆ พักผ่อนสายตา อย่าทำงานให้มากเกินไป หรืออย่าเฉื่อยแฉะจนชีวิตขาดความกระตือรือร้น เพราะเหล่านี้ล้วนทำให้เกิดความเจ็บป่วยได้เท่ากัน
** พักผ่อน นอนหลับให้สบาย
เมื่อทำงานมาตลอดวัน ตลอดสัปดาห์ ร่างกายที่เหนื่อยล้าก็ต้องพักผ่อนเพื่อคลายความตึงเครียดกันบ้าง การเดินเล่นในสวนสาธารณะสูดอากาศบริสุทธิ์ทำให้จิตใจสบายขึ้น จะให้ดีถ้าต้องการกระตุ้นจินตนาการและออกกำลังสมองแบบไม่หนักนักก็พกหนังสือที่ชอบสักเล่มหรือฟังเพลงให้สบายอารมณ์ และอีกทางก็คือการอยู่บ้านกับสัตว์เลี้ยงตัวโปรดและงานอดิเรกที่ชอบเท่านี้วันพักก็จะเปี่ยมด้วยประโยชน์และผ่อนคลายได้ แต่ถ้าพูดถึงการพักผ่อน หรือเวลาว่างหลายคนมักจะให้คำตอบว่า
“ได้หยุดทั้งทีก็ขอนอนให้ฉ่ำใจสิ” บางคนเลือกพักผ่อนโดยการท่องราตรีในวันศุกร์ ได้นอนอีกทีในเช้าวันเสาร์ ตื่นมากิน แล้วนอนต่อ เรื่อยไปจนดึกวันอาทิตย์ และเดินเหมือนศพเดินได้ในเช้าวันจันทร์ พร้อมคำบ่นไม่อยากทำงานเพราะเหนื่อยเหลือทน แต่สังเกตกันไหมว่าทำไมยิ่งนอนมากยิ่งเหนื่อย นั่นเพราะเรานอนไม่ถูกต้องยังไง เมื่อนอนไม่ถูก นอนมากเกินจำเป็น ประกอบกับความเครียดจากการทำงาน กระตุ้นให้บางคราวเกิดนอนไม่หลับ หรือถ้าหลับก็รู้สึกไม่สบาย หลับๆ ตื่นๆ ทำให้เช้าของวันต่อๆ มาไม่สดชื่น
ดร.สาทิส บอกตามทฤษฎีของชีวจิต ว่า จริงๆ แล้วคนเราไม่จำเป็นต้องนอนให้ครบ 8 ชั่วโมงก็ได้เพียงหลับให้สนิท 5 ชั่วโมงก็พอแล้ว 6 ชั่วโมงกำลังดี แต่การนอนแบบเด็กสมัยใหม่แบบกินบ้านกินเมืองนั้นเป็นการนอนที่ผิด และทำให้ป่วยได้ง่ายด้วย
“ไอ้ที่นอนนานๆ แล้วไม่มีแรงเขานอนผิด ถ้าจะนอนหลับให้สนิทและเป็นสุขก็ต้องให้ร่างกายผ่อนคลายก่อน ซึ่งการจะให้ผ่อนคลายก็ต้องฝึก ง่ายๆ ลองยื่นแขนขวาไปด้านข้างแล้วกำมือแล้วเกร็งจนรู้สึกว่าไม่ไหวค่อยปล่อย จากนั้นก็ทำแบบเดียวกันกับแขนซ้าย เกร็งขาทีละข้างแล้วก็คลาย จากนั้นก็มาที่ต้นคอ ที่ท้อง หายใจเข้าออกยาวๆให้ผ่อนคลายเพื่อให้หลับสบาย ซึ่งรับรองว่าได้ผลแน่นอนแต่ต้องฝึก” ดร.สาทิส แนะนำ
** ออกกำลังเรื่องง่ายเริ่มได้เร็ว
การออกกำลังกายเป็นการสร้างยาวิเศษให้หัวใจ การออกกำลังกายทำให้หัวใจเต้นสม่ำเสมอ มีพลังชีวิต ซึ่ง ดร.สาทิส ให้ความเห็นว่า เป็นกฎข้อที่สามารถเริ่มได้ง่ายที่สุด แต่อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับหลายคน ซึ่งทางแก้ที่ดีเพื่อให้การออกกำลังกายด้วยวิธีต่างๆ ถึงฝั่งฝันก็คือ การหาเพื่อนออกกำลัง โดยหาวันที่แน่นอน เพราะการทำอะไรเป็นกลุ่มย่อมทำให้กำลังใจเพิ่มมากกว่าทำโดยลำพังอยู่แล้ว
“การออกแรงมากๆ กลับจะทำให้มีแรงมาก คนที่มีปัญหาระบบประสาทการออกกำลังกายบางประเภทช่วยได้ เช่น การรำกระบอง หรือการเต้นแอโรบิก การออกกำลังที่ทำให้หัวใจเต้น ร่างกายจะสร้างสารเอ็นโดรฟิน คนที่ออกกำลังกายช่วงแรกจะบ่นปวดๆ แต่อย่าหยุดให้ทำไปเรื่อยๆ เท่าที่ร่างกายทำได้ แล้วจากนั้นจะสบายเอง” ดร.สาทิส กล่าว
...5 กฎเล็กตามสไตล์ชีวจิต เป็นเรื่องสำคัญในแต่ละวันที่เราจะต้องเจอะเจอ โดยรวมแล้วจะเห็นว่าชีวิตจะมีสุขและแข็งแรงสดใสได้จะต้องตั้งอยู่บนความพอดี ไม่กินอย่างหนึ่งอย่างใดมากเกินไป ไม่นอนมากเกินไป และไม่ทำงานหนักจนเครียดเกินไป หากใครทำตามกฎนี้ได้ชีวิตดีขึ้นแน่นอน รับรองว่า...แข็งแรงไม่เจ็บ ไม่ป่วย ดูเป็นหนุ่มเป็นสาวชัวร์....คอนเฟิร์มเลย
ที่มา..ผู้จัดการออนไลน์
20.11.08
แต่งหน้าใสสไตล์ธรรมชาติ
แต่งหน้าใสสไตล์ธรรมชาติ
อินเทรนด์ อัพเดท สัปดาห์นี้ ‘เดลินิวส์ ออนไลน์' ขอเอาใจคุณสาวๆ หลังจากไปร่วมงานมีตติ้งที่เว็บไวต์จีบัน (jeban.com) จัดขึ้น ด้วยการแนะนำเทคนิคแต่งหน้าง่ายๆ ดูเป็นธรรมชาติ และช่วยปกปิดริ้วรอยไม่พึงประสงค์ ซึ่งสาวๆ สามารถนำไปใช้แต่งสวยให้ใบหน้าได้ตลอดวัน
เริ่มจากเตรียมผิวก่อนแต่งหน้า ด้วยการทามอยเจอไรเซอร์สูตรบางให้ทั่วผิวหน้า จะใช้มือหรือฟองน้ำก็ได้ ปรับสภาพสีผิวด้วยการลงเบส เมคอัพ เพื่อให้สีผิวดูเรียบเนียน และช่วยให้เครื่องสำอางติดทนนาน หลังจากนั้นลงรองพื้นที่มีเฉดสีใกล้เคียงกับผิวหน้า ค่อยๆ ใช้นิ้วเก็บรายละเอียดทีละจุดลงคอนซีลเลอร์ใต้ตาเพื่อการปกปิดรอยคล้ำ ควรเลือกชนิดที่มีความชุ่มชื้นสูง มีส่วนผสมของวิตามินอี เพื่อช่วยถนอมผิวใต้ตา นิยมใช้โทนสีเหลืองทำให้ดูกลมกลืนการลงแป้ง ที่ไม่จำเป็นต้องลงให้หนา เพราะเมื่อหน้ามันจะปรากฎเป็นคราบแป้ง ควรใช้เติมระหว่างวันแทน และก่อนเติมแป้ง ใช้กระดาษซับมันซับหน้าก่อน เพื่อป้องกันใบหน้าเป็นคราบ
ตามด้วยการปัดแก้ม นิยมโทนสีส้ม ชมพูอ่อนๆ โดยลงบรัช ไม่เข้มมาก เทรนด์ที่นิยมต้องมีประกายเล็กน้อยสำหรับการดัดขนตา ระวังอย่าให้ขนตาหักจะทำให้ปัดมาสคาร่าไม่สวย หลังจากนั้นปัดขนตาทั้งบนและล่าง ซึ่งการปัดขนตาถือเป็นหัวใจของการแต่งตา ขนตาจะเรียงตัวสวย หนา ทำให้ตาดูคมขึ้นใช้ eyebrow mascara สีน้ำตาล ปัดสีคิ้วให้ดูอ่อนหวาน แล้วใช้ eyebrow set ปัดไล้คิ้วให้ได้รูปขั้นตอนสุดท้ายลงกรอสโทนสีอ่อน โดยเลือกที่มีวิตามินบำรุงผิวปากให้นุ่มชุ่มชื้น กรอสจะช่วยให้ร่องผิวปากเต็มตื้นขึ้น ทำให้ดูสุขภาพดีและใบหน้าดูสดใสเทคนิคการแต่งหน้าแบบง่ายๆ นี้ ใช้เวลาไม่มาก เหมาะสำหรับสาวๆ ที่เร่งรีบ แต่ก็ยังสวยใสได้เสมอ.
ที่มา : เดลินิวส์
อินเทรนด์ อัพเดท สัปดาห์นี้ ‘เดลินิวส์ ออนไลน์' ขอเอาใจคุณสาวๆ หลังจากไปร่วมงานมีตติ้งที่เว็บไวต์จีบัน (jeban.com) จัดขึ้น ด้วยการแนะนำเทคนิคแต่งหน้าง่ายๆ ดูเป็นธรรมชาติ และช่วยปกปิดริ้วรอยไม่พึงประสงค์ ซึ่งสาวๆ สามารถนำไปใช้แต่งสวยให้ใบหน้าได้ตลอดวัน
เริ่มจากเตรียมผิวก่อนแต่งหน้า ด้วยการทามอยเจอไรเซอร์สูตรบางให้ทั่วผิวหน้า จะใช้มือหรือฟองน้ำก็ได้ ปรับสภาพสีผิวด้วยการลงเบส เมคอัพ เพื่อให้สีผิวดูเรียบเนียน และช่วยให้เครื่องสำอางติดทนนาน หลังจากนั้นลงรองพื้นที่มีเฉดสีใกล้เคียงกับผิวหน้า ค่อยๆ ใช้นิ้วเก็บรายละเอียดทีละจุดลงคอนซีลเลอร์ใต้ตาเพื่อการปกปิดรอยคล้ำ ควรเลือกชนิดที่มีความชุ่มชื้นสูง มีส่วนผสมของวิตามินอี เพื่อช่วยถนอมผิวใต้ตา นิยมใช้โทนสีเหลืองทำให้ดูกลมกลืนการลงแป้ง ที่ไม่จำเป็นต้องลงให้หนา เพราะเมื่อหน้ามันจะปรากฎเป็นคราบแป้ง ควรใช้เติมระหว่างวันแทน และก่อนเติมแป้ง ใช้กระดาษซับมันซับหน้าก่อน เพื่อป้องกันใบหน้าเป็นคราบ
ตามด้วยการปัดแก้ม นิยมโทนสีส้ม ชมพูอ่อนๆ โดยลงบรัช ไม่เข้มมาก เทรนด์ที่นิยมต้องมีประกายเล็กน้อยสำหรับการดัดขนตา ระวังอย่าให้ขนตาหักจะทำให้ปัดมาสคาร่าไม่สวย หลังจากนั้นปัดขนตาทั้งบนและล่าง ซึ่งการปัดขนตาถือเป็นหัวใจของการแต่งตา ขนตาจะเรียงตัวสวย หนา ทำให้ตาดูคมขึ้นใช้ eyebrow mascara สีน้ำตาล ปัดสีคิ้วให้ดูอ่อนหวาน แล้วใช้ eyebrow set ปัดไล้คิ้วให้ได้รูปขั้นตอนสุดท้ายลงกรอสโทนสีอ่อน โดยเลือกที่มีวิตามินบำรุงผิวปากให้นุ่มชุ่มชื้น กรอสจะช่วยให้ร่องผิวปากเต็มตื้นขึ้น ทำให้ดูสุขภาพดีและใบหน้าดูสดใสเทคนิคการแต่งหน้าแบบง่ายๆ นี้ ใช้เวลาไม่มาก เหมาะสำหรับสาวๆ ที่เร่งรีบ แต่ก็ยังสวยใสได้เสมอ.
ที่มา : เดลินิวส์
19.11.08
แต่งหน้าสวย โหงวเฮ้งดี รับทรัพย์ตลอดปี
แต่งหน้าสวย โหงวเฮ้งดี รับทรัพย์ตลอดปี
ทุกวันนี้การแต่งหน้าไม่ได้เน้นเพียงแค่แต่งให้ออกมาสวยอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงองค์ประกอบอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะ การแต่งตามลักษณะโหวงเฮ้งของแต่ละคนถ้าสาวๆ สามารถแต่งหน้าเสริมจุดเด่น กลบจุดด้อยได้ตามโหงวเฮ้งแล้ว ก็จะมีส่วนช่วยให้การแต่งหน้าออกมาสวยสง่ามากกว่าเดิม อีกทั้งยังเพิ่มบารมีให้กับเจ้าของใบหน้าได้อีกด้วยในงานแนะนำ “เครื่องสำอาง Make Up For Ever กลุ่มใหม่ High Definition (HD) ได้แนะเคล็ดลับแต่งหน้าเสริมโหงวเฮ้ง “ The Financial Tsunami Crisis ต้านภัยเศรษฐกิจ” ในคอนเซ็ปต์ I’ll Survive
โดยนักโหราศาสตร์ชื่อดังอย่าง อ.นันทวัฒน์ มั่นคง มาร่วมไขปริศนาความงามกัน ณ บิวตี้ ฮอลล์ สยามพารากอนสำหรับการแต่งหน้าเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจนั้น อ.นันทวัฒน์ แนะนำว่า ปีนี้ถึงปีหน้า ดวงโลกยังผันผวนต่อเนื่องไม่หยุด สำหรับประเทศไทยถือว่ายังเบากว่าประเทศอื่นๆ ในส่วนของการแต่งหน้าแก้โหงวเฮ้ง เพื่อรับเศรษฐกิจที่ผันผวนในปี 2551-2552 นั้น
ควรแต่งหน้าในคอนเซ็ปต์ “I’ll Survive” มุ่งเน้นให้ธุรกิจการงานไปรอด และไปรุ่งตลอดปีโดยเริ่มจากควรเลือกเครื่องสำอางที่สามารถช่วยปกปิด หรือลดเส็ก (โหงวเฮ้งที่ไม่ดี) ซึ่งเชื่อกันว่า เส็กจะเพิ่มอุปสรรค และความยากลำบากให้ชีวิต เช่น ไฝ ฝ้า กระ รอยย่น ริ้วรอยหมองคล้ำ และผิวพรรณที่หยาบกร้าน) ดังนั้น ควรเน้นให้ผิวหน้ามีความเนียนละเอียด ด้วยการแต่งใต้ตาให้สว่างไสว และใช้คอนซีลเลอร์ช่วยในการปกปิดรอยหมองคล้ำ เพื่อทำให้จิตใจรื่นเริงขึ้น และได้รับโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ
ส่วนพวงแก้มนั้น จะแสดงถึงเรื่องของคดีความและการหมุนเวียนเงิน ดังนั้น ควรรองพื้นให้เนียนเรียบให้แลดูนวลใส พอถึงกลางหน้าผากให้ใช้คอนซีลเลอร์ และรองพื้นช่วยในการปกปิดริ้วรอย รอยย่น
สำหรับขมับ ควรให้ผ่องใส ด้วยการใช้ไฮไลต์แต้มและเกลี่ยให้เนียน เพื่อเสริมความเฮง โดยเฉพาะ ผู้ที่ทำงานด้านนำเข้า-ส่งออก หรือบริษัทต่างชาติควรแต่งมากที่สุด เพราะจะได้เปิดรับโอกาสใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต
ปลายจมูก คือ ถุงเงิน ควรทำให้ผ่องใสด้วยการใช้โทนสีคอนซีลเลอร์ประกายทอง เหลืองอมชมพู มาเกลี่ยให้เนียน หากจมูกมีรอยแดงสามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้เบส สีเขียวมาแต้ม ส่วนรอยคล้ำให้ใช้ไฮไลต์ช่วยปกปิด และถ้ามีสิวเสี้ยนต้องขัดออกให้หมด เพื่อรับทรัพย์
ขณะที่ ริมฝีปาก ห้ามให้เป็นขุยเด็ดขาด ควรลอกออกให้หมดด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดริมฝีปาก จากนั้นค่อยใช้ลิปสติกสีสดหรือสีใสมาทาที่ริมฝีปาก เพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้ริมฝีปากตลอดวัน แสดงให้เห็นว่าเป็นคนที่มีอันจะกินเพราะปากมันอยู่ตลอดเวลาส่วนสาวๆ ที่มีริมฝีปากแห้งก็แก้ไขด้วยการใช้ ลิปกลอส เพื่อเพิ่มความมันวาวสดใสให้กับริมฝีปาก เพื่อจะได้มีกินง่ายๆ และให้ใช้ลิปกลอส ทาที่ริมฝีปากบน เมื่อต้องการจะสั่งให้ใครทำอะไรให้ และทาที่ริมฝีปากล่างเมื่อต้องการจะรับของหากสาวๆ คนไหนต้องการเน้นเรื่องความรักหรือแฟน ก็ง่ายนิดเดียว ให้แต้มชิมเมอร์ที่หางตาทั้ง 2 ข้างให้แลดูสว่างใส
สำหรับคุณผู้ชาย อ.นันทวัฒน์ แนะนำเคล็ดลับการดูแลตัวเองเพื่อเสริมโหวงเฮ้งดังนี้ ผู้ชายสามารถใช้พวกสกินแคร์ และคอนซีลเลอร์ช่วยในการปกปิด และดูแลรักษาผิวหน้าได้ โดยเน้นในส่วนของหน้าผาก ไม่ควรให้หน้าผากมีริ้วรอย เพราะเป็นจุดของหน้าที่การงาน ไม่ควรให้ใต้ตาเกิดความหมองคล้ำ เพราะทำให้การเสนองานไม่ราบรื่นและปลายจมูกควรดูแลให้สะอาดเพราะเป็นถุงเงิน โครงแก้ม เป็นจุดของอำนาจ ควรใช้คอนซีลเลอร์ช่วยในการปกปิดริ้วรอย หรือจุดบกพร่องต่างๆ ที่สำคัญ ไม่ควรไว้เครา เพราะจะมีเรื่องเกี่ยวกับคดีความ สิ่งสำคัญที่สุดคือ คุณผู้ชายทุกคนควรยิ้มบ่อยๆ เพราะเมื่อยิ้มแล้วจะทำให้ปากกว้างขึ้น ซึ่งจะทำให้มีอำนาจ และในขณะที่ยิ้มจะทำให้โครงแก้มยกขึ้น เสมือนเป็นการเสริมอำนาจยิ่งขึ้นอีกด้วยถึงแม้ว่าช่วงนี้ชีวิตจะประสบกับปัญหาบ้างก็ตาม แต่ถ้าวางแผนการเงินดีๆ ขยันทำบุญ นั่งสมาธิ ทำจิตใจให้โปร่งใส และใช้การแต่งหน้า เพื่อแก้ไข และเสริมบารมีบนใบหน้า ก็คงทำให้ความเครียดเบาบางลงได้บ้าง
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
ทุกวันนี้การแต่งหน้าไม่ได้เน้นเพียงแค่แต่งให้ออกมาสวยอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงองค์ประกอบอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะ การแต่งตามลักษณะโหวงเฮ้งของแต่ละคนถ้าสาวๆ สามารถแต่งหน้าเสริมจุดเด่น กลบจุดด้อยได้ตามโหงวเฮ้งแล้ว ก็จะมีส่วนช่วยให้การแต่งหน้าออกมาสวยสง่ามากกว่าเดิม อีกทั้งยังเพิ่มบารมีให้กับเจ้าของใบหน้าได้อีกด้วยในงานแนะนำ “เครื่องสำอาง Make Up For Ever กลุ่มใหม่ High Definition (HD) ได้แนะเคล็ดลับแต่งหน้าเสริมโหงวเฮ้ง “ The Financial Tsunami Crisis ต้านภัยเศรษฐกิจ” ในคอนเซ็ปต์ I’ll Survive
โดยนักโหราศาสตร์ชื่อดังอย่าง อ.นันทวัฒน์ มั่นคง มาร่วมไขปริศนาความงามกัน ณ บิวตี้ ฮอลล์ สยามพารากอนสำหรับการแต่งหน้าเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจนั้น อ.นันทวัฒน์ แนะนำว่า ปีนี้ถึงปีหน้า ดวงโลกยังผันผวนต่อเนื่องไม่หยุด สำหรับประเทศไทยถือว่ายังเบากว่าประเทศอื่นๆ ในส่วนของการแต่งหน้าแก้โหงวเฮ้ง เพื่อรับเศรษฐกิจที่ผันผวนในปี 2551-2552 นั้น
ควรแต่งหน้าในคอนเซ็ปต์ “I’ll Survive” มุ่งเน้นให้ธุรกิจการงานไปรอด และไปรุ่งตลอดปีโดยเริ่มจากควรเลือกเครื่องสำอางที่สามารถช่วยปกปิด หรือลดเส็ก (โหงวเฮ้งที่ไม่ดี) ซึ่งเชื่อกันว่า เส็กจะเพิ่มอุปสรรค และความยากลำบากให้ชีวิต เช่น ไฝ ฝ้า กระ รอยย่น ริ้วรอยหมองคล้ำ และผิวพรรณที่หยาบกร้าน) ดังนั้น ควรเน้นให้ผิวหน้ามีความเนียนละเอียด ด้วยการแต่งใต้ตาให้สว่างไสว และใช้คอนซีลเลอร์ช่วยในการปกปิดรอยหมองคล้ำ เพื่อทำให้จิตใจรื่นเริงขึ้น และได้รับโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ
ส่วนพวงแก้มนั้น จะแสดงถึงเรื่องของคดีความและการหมุนเวียนเงิน ดังนั้น ควรรองพื้นให้เนียนเรียบให้แลดูนวลใส พอถึงกลางหน้าผากให้ใช้คอนซีลเลอร์ และรองพื้นช่วยในการปกปิดริ้วรอย รอยย่น
สำหรับขมับ ควรให้ผ่องใส ด้วยการใช้ไฮไลต์แต้มและเกลี่ยให้เนียน เพื่อเสริมความเฮง โดยเฉพาะ ผู้ที่ทำงานด้านนำเข้า-ส่งออก หรือบริษัทต่างชาติควรแต่งมากที่สุด เพราะจะได้เปิดรับโอกาสใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต
ปลายจมูก คือ ถุงเงิน ควรทำให้ผ่องใสด้วยการใช้โทนสีคอนซีลเลอร์ประกายทอง เหลืองอมชมพู มาเกลี่ยให้เนียน หากจมูกมีรอยแดงสามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้เบส สีเขียวมาแต้ม ส่วนรอยคล้ำให้ใช้ไฮไลต์ช่วยปกปิด และถ้ามีสิวเสี้ยนต้องขัดออกให้หมด เพื่อรับทรัพย์
ขณะที่ ริมฝีปาก ห้ามให้เป็นขุยเด็ดขาด ควรลอกออกให้หมดด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดริมฝีปาก จากนั้นค่อยใช้ลิปสติกสีสดหรือสีใสมาทาที่ริมฝีปาก เพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้ริมฝีปากตลอดวัน แสดงให้เห็นว่าเป็นคนที่มีอันจะกินเพราะปากมันอยู่ตลอดเวลาส่วนสาวๆ ที่มีริมฝีปากแห้งก็แก้ไขด้วยการใช้ ลิปกลอส เพื่อเพิ่มความมันวาวสดใสให้กับริมฝีปาก เพื่อจะได้มีกินง่ายๆ และให้ใช้ลิปกลอส ทาที่ริมฝีปากบน เมื่อต้องการจะสั่งให้ใครทำอะไรให้ และทาที่ริมฝีปากล่างเมื่อต้องการจะรับของหากสาวๆ คนไหนต้องการเน้นเรื่องความรักหรือแฟน ก็ง่ายนิดเดียว ให้แต้มชิมเมอร์ที่หางตาทั้ง 2 ข้างให้แลดูสว่างใส
สำหรับคุณผู้ชาย อ.นันทวัฒน์ แนะนำเคล็ดลับการดูแลตัวเองเพื่อเสริมโหวงเฮ้งดังนี้ ผู้ชายสามารถใช้พวกสกินแคร์ และคอนซีลเลอร์ช่วยในการปกปิด และดูแลรักษาผิวหน้าได้ โดยเน้นในส่วนของหน้าผาก ไม่ควรให้หน้าผากมีริ้วรอย เพราะเป็นจุดของหน้าที่การงาน ไม่ควรให้ใต้ตาเกิดความหมองคล้ำ เพราะทำให้การเสนองานไม่ราบรื่นและปลายจมูกควรดูแลให้สะอาดเพราะเป็นถุงเงิน โครงแก้ม เป็นจุดของอำนาจ ควรใช้คอนซีลเลอร์ช่วยในการปกปิดริ้วรอย หรือจุดบกพร่องต่างๆ ที่สำคัญ ไม่ควรไว้เครา เพราะจะมีเรื่องเกี่ยวกับคดีความ สิ่งสำคัญที่สุดคือ คุณผู้ชายทุกคนควรยิ้มบ่อยๆ เพราะเมื่อยิ้มแล้วจะทำให้ปากกว้างขึ้น ซึ่งจะทำให้มีอำนาจ และในขณะที่ยิ้มจะทำให้โครงแก้มยกขึ้น เสมือนเป็นการเสริมอำนาจยิ่งขึ้นอีกด้วยถึงแม้ว่าช่วงนี้ชีวิตจะประสบกับปัญหาบ้างก็ตาม แต่ถ้าวางแผนการเงินดีๆ ขยันทำบุญ นั่งสมาธิ ทำจิตใจให้โปร่งใส และใช้การแต่งหน้า เพื่อแก้ไข และเสริมบารมีบนใบหน้า ก็คงทำให้ความเครียดเบาบางลงได้บ้าง
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
18.11.08
เครียดอย่างไร...ให้สวยที่สุด
เครียดอย่างไร...ให้สวยที่สุด
จากสถิติของประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าเมื่อคนส่วนใหญ่อารมณ์เสีย เครียด โกรธ หรือหงุดหงิดนั้น 39 เปอร์เซ็นต์ มักจะเปิดเผยมันออกมาตรงๆ อย่างรุนแรงเสียด้วย ในขณะที่ 25 เปอร์เซ็นต์ เลือกเก็บไว้ก่อน จนกว่าจะถึงจุดเดือด และมีอีก 23 เปอร์เซ็นต์ ที่ชอบแอบไปอยู่คนเดียวเงียบๆ กับความเครียด โดยไม่บอกใคร เพราะไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนกับปัญหาของตัวเอง ท้ายสุดมักจะทำอะไรก็ได้เพื่อให้ลืมมัน เลิกนึกถึงมัน หันไปหาอะไรกิน คุยเล่นกับเพื่อน ไปดูหนัง ไปสปา พวกนี้เฉลี่ยแล้ว 13 เปอร์เซ็นต์ แต่เอ๊ะ! คุณล่ะ เวลาโกรธ เป็นคนแบบไหน...
หากคุณเป็นสาวช่างวีน ถ้าโกรธขึ้นมาเมื่อไรคุณเป็นต้องตอบโต้ทันที เพียงขอแค่ได้ระบายสักหน่อยล่ะก็ ข้อดี คือ การปลดปล่อยอารมณ์เช่นนี้ อาจทำให้คุณไม่ต้องเก็บกดเอาสารพันปัญหามาใส่ไว้ในสมอง ไม่ต้องมีอะไรมาค้างคาให้เก็บมาเครียดอีกแล้ว แม้ปกติจะดูมีผลเสียมากกว่า แต่จากการค้นคว้าของ The University of Michigan School of Public Health แล้ ว เปิดเผยข้อเท็จจริงใหม่ที่เพิ่งค้นพบว่าคู่รักที่ทะเลาะกันนั้น มักมีอายุยืนยาวกว่าคู่รักที่โกรธกันแต่ไม่เคยกล่าวความรู้สึกใดๆ ออกมา แต่การระเบิดอารมณ์ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีเสมอไป เพราะข้อเสียของมันคือผลร้ายต่อสุขภาพของคุณ เมื่อยามที่คุณโกรธจัด อัตราการเต้นของหัวใจคุณจะสูงขึ้นในทันใด ซึ่งมันจะยิ่งทำให้ผนังเส้นเลือดของคุณอ่อนแอและเป็นอันตรายได้ แล้วอย่างนี้คุณยังจะโมโหอีกเหรอ
แต่ถ้าคุณเลือกรับมือกับความเครียดด้วยการเป็นสาวสุขุม ไม่ว่าจะเดือดเป็นไฟแค่ไหน แต่ก็เลือกที่จะควบคุมอารมณ์ให้ได้ เพราะกลัวว่าการแสดงโทสะออกไป อาจทำให้เรื่องเลวร้ายกว่าเดิมนั่น เรียกได้ว่าคุณเป็นคนที่จัดการกับอารมณ์ของตนได้อย่างมีชั้นเชิง และมีเหตุมีผลคนหนึ่ง การพยายามคิดว่าทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้น และหาทางแก้ไข หรือใช้เทคนิคอื่น เช่น การมองในมุมมองของเขา เอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือหาเรื่องมาเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อบรรเทาอารมณ์ลง เป็นอีกหนึ่งในวิธีที่คุณจะเย็นลง แต่ทว่าข้อเสียของการนิ่งรับกับความเครียดและความโกรธแต่ฝ่ายเดียว ไม่ยอมพูดออกมานั้น มันไม่ดีต่อสุขภาพของคุณเท่าไหร่เลย เหมือนกับการอัดแก๊สใส่กระป๋องน้ำอัดลม พออัดมากๆ เข้า สักวันมันจะระเบิด สุดท้ายทำให้เรื่องรอบตัวเลวร้ายกว่าเดิม หรือในทางหนึ่งการเก็บความคิดเครียดๆ ไว้กับตัวนานๆ ด้วยเหตุผล “เรื่องที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง อีกฝ่ายพูดถูกเสมอ” หรือ “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะฉันแท้ๆ” ทั้งหมดนี้ อาจสะสมจนส่งผลให้คุณเป็นโรคซึมเศร้าได้ในที่สุด ดังนั้น เฉยไปก็ใช่ว่าจะดี
แล้วอย่างนี้ จะทำอย่างไรล่ะ...ท้ายสุด ในนิตยสารมาดาม ฟิกาโร ได้แนะนำเพิ่มว่า วิธีจัดการกับความเครียดที่ดีที่สุดคือ ใจเย็น เมื่อคุณรู้ตัวว่าโทสะเริ่มพลุ่งพล่านเสียจนน่ากลัว ก็ให้ถอยหลังกลับมา แล้วตั้งหลักใหม่ หาวิธีเบี่ยงเบนความสนใจไปเรื่องอื่น พยายามหาอะไรบางอย่างที่ทำให้คุณใจจดใจจ่ออย่างเต็มที่ทำ เช่น การเล่นเกม การอ่านหนังสือ การเล่นกีฬา เป็นต้น และเมื่ออารมณ์ของคุณเย็นลง ก็ถึงเวลาปรับความเข้าใจกับคู่กรณีถึงปัญหาที่ทำให้คุณฉุนเฉียวโดยปราศจากอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ภายใต้หลักพยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา นี่ล่ะคือคำตอบที่ดีที่สุด เท่านี้คุณก็เป็นผู้หญิงที่รับมือกับความเครียดได้สวยที่สุดแล้ว
จากสถิติของประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าเมื่อคนส่วนใหญ่อารมณ์เสีย เครียด โกรธ หรือหงุดหงิดนั้น 39 เปอร์เซ็นต์ มักจะเปิดเผยมันออกมาตรงๆ อย่างรุนแรงเสียด้วย ในขณะที่ 25 เปอร์เซ็นต์ เลือกเก็บไว้ก่อน จนกว่าจะถึงจุดเดือด และมีอีก 23 เปอร์เซ็นต์ ที่ชอบแอบไปอยู่คนเดียวเงียบๆ กับความเครียด โดยไม่บอกใคร เพราะไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนกับปัญหาของตัวเอง ท้ายสุดมักจะทำอะไรก็ได้เพื่อให้ลืมมัน เลิกนึกถึงมัน หันไปหาอะไรกิน คุยเล่นกับเพื่อน ไปดูหนัง ไปสปา พวกนี้เฉลี่ยแล้ว 13 เปอร์เซ็นต์ แต่เอ๊ะ! คุณล่ะ เวลาโกรธ เป็นคนแบบไหน...
หากคุณเป็นสาวช่างวีน ถ้าโกรธขึ้นมาเมื่อไรคุณเป็นต้องตอบโต้ทันที เพียงขอแค่ได้ระบายสักหน่อยล่ะก็ ข้อดี คือ การปลดปล่อยอารมณ์เช่นนี้ อาจทำให้คุณไม่ต้องเก็บกดเอาสารพันปัญหามาใส่ไว้ในสมอง ไม่ต้องมีอะไรมาค้างคาให้เก็บมาเครียดอีกแล้ว แม้ปกติจะดูมีผลเสียมากกว่า แต่จากการค้นคว้าของ The University of Michigan School of Public Health แล้ ว เปิดเผยข้อเท็จจริงใหม่ที่เพิ่งค้นพบว่าคู่รักที่ทะเลาะกันนั้น มักมีอายุยืนยาวกว่าคู่รักที่โกรธกันแต่ไม่เคยกล่าวความรู้สึกใดๆ ออกมา แต่การระเบิดอารมณ์ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีเสมอไป เพราะข้อเสียของมันคือผลร้ายต่อสุขภาพของคุณ เมื่อยามที่คุณโกรธจัด อัตราการเต้นของหัวใจคุณจะสูงขึ้นในทันใด ซึ่งมันจะยิ่งทำให้ผนังเส้นเลือดของคุณอ่อนแอและเป็นอันตรายได้ แล้วอย่างนี้คุณยังจะโมโหอีกเหรอ
แต่ถ้าคุณเลือกรับมือกับความเครียดด้วยการเป็นสาวสุขุม ไม่ว่าจะเดือดเป็นไฟแค่ไหน แต่ก็เลือกที่จะควบคุมอารมณ์ให้ได้ เพราะกลัวว่าการแสดงโทสะออกไป อาจทำให้เรื่องเลวร้ายกว่าเดิมนั่น เรียกได้ว่าคุณเป็นคนที่จัดการกับอารมณ์ของตนได้อย่างมีชั้นเชิง และมีเหตุมีผลคนหนึ่ง การพยายามคิดว่าทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้น และหาทางแก้ไข หรือใช้เทคนิคอื่น เช่น การมองในมุมมองของเขา เอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือหาเรื่องมาเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อบรรเทาอารมณ์ลง เป็นอีกหนึ่งในวิธีที่คุณจะเย็นลง แต่ทว่าข้อเสียของการนิ่งรับกับความเครียดและความโกรธแต่ฝ่ายเดียว ไม่ยอมพูดออกมานั้น มันไม่ดีต่อสุขภาพของคุณเท่าไหร่เลย เหมือนกับการอัดแก๊สใส่กระป๋องน้ำอัดลม พออัดมากๆ เข้า สักวันมันจะระเบิด สุดท้ายทำให้เรื่องรอบตัวเลวร้ายกว่าเดิม หรือในทางหนึ่งการเก็บความคิดเครียดๆ ไว้กับตัวนานๆ ด้วยเหตุผล “เรื่องที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง อีกฝ่ายพูดถูกเสมอ” หรือ “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะฉันแท้ๆ” ทั้งหมดนี้ อาจสะสมจนส่งผลให้คุณเป็นโรคซึมเศร้าได้ในที่สุด ดังนั้น เฉยไปก็ใช่ว่าจะดี
แล้วอย่างนี้ จะทำอย่างไรล่ะ...ท้ายสุด ในนิตยสารมาดาม ฟิกาโร ได้แนะนำเพิ่มว่า วิธีจัดการกับความเครียดที่ดีที่สุดคือ ใจเย็น เมื่อคุณรู้ตัวว่าโทสะเริ่มพลุ่งพล่านเสียจนน่ากลัว ก็ให้ถอยหลังกลับมา แล้วตั้งหลักใหม่ หาวิธีเบี่ยงเบนความสนใจไปเรื่องอื่น พยายามหาอะไรบางอย่างที่ทำให้คุณใจจดใจจ่ออย่างเต็มที่ทำ เช่น การเล่นเกม การอ่านหนังสือ การเล่นกีฬา เป็นต้น และเมื่ออารมณ์ของคุณเย็นลง ก็ถึงเวลาปรับความเข้าใจกับคู่กรณีถึงปัญหาที่ทำให้คุณฉุนเฉียวโดยปราศจากอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ภายใต้หลักพยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา นี่ล่ะคือคำตอบที่ดีที่สุด เท่านี้คุณก็เป็นผู้หญิงที่รับมือกับความเครียดได้สวยที่สุดแล้ว
17.11.08
เคล็ดลับการแต่งหน้าครั้งแรกของสาวหน้าใส
เคล็ดลับการแต่งหน้าครั้งแรกของสาวหน้าใส
เสน่ห์ที่ขาดเสียไม่ได้ในการแต่งตัวแต่ละครั้งของผู้หญิง ก็คือ การแต่งแต้มสีสันลงบนใบหน้า หรือการแต่งหน้านั่นเอง ซึ่งในการแต่งหน้าแต่ละครั้งจะออกมาสวยงามเหมาะกับคุณหรือไม่เพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคการแต่งหน้าของแต่ละคน
แต่สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มจะแต่งหน้าเป็นครั้งแรก และไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจากตรงไหนก่อน วันนี้เราก็มีเคล็ดลับการแต่งหน้าแบบง่าย ๆ มาฝากกันค่ะ
ล้างหน้าให้สะอาดก่อนทุกครั้ง
ก่อนที่เราจะลงมือแต่งหน้าทุกครั้ง สิ่งที่ต้องปฏิบัติให้เป็นนิสัย นั่นคือการล้างหน้าให้สะอาด โดยใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า เช็ดเครื่องสำอาง และสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ที่ผิวหน้าของคุณออกให้หมดก่อน จากนั้นก็ล้างหน้าตามปกติ ซับหน้าให้แห้ง แล้วเตรียมแต่งหน้ากันเลย อย่าลืม! ทาครีมบำรุงผิวก่อนลงครีมรองพื้น
หลังล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว ก็อย่าลืมที่จะทาครีมบำรุงผิว (ครีมที่คุณใช้อยู่ทุกวันนั่นแหละ) หลังจากนั้นจึงตามด้วย ครีมรองพื้น เพื่อปรับสีผิวบนใบหน้าของคุณให้เรียบเนียนเสมอกัน โดยแตะครีมรองพื้นตรงบริเวณที่ไม่มีริ้วรอยก่อน แล้วค่อย ๆ เกลี่ยไล่ให้ทั่ว ระวังอย่าให้มีขอบบริเวณกรอบหน้า ควรเกลี่ยรองพื้นให้หายเข้าไปในไรผมรวมถึงบริเวณริมฝีปากด้วย (อาจใช้เฉพาะผู้ที่มีสีผิวที่ไม่เสมอกัน) ส่วนในการเลือกครีมรองพื้น ก็ควรเลือกสีที่ใกล้เคียงกับสีผิวบริเวณคอของคุณมากที่สุด
ตามด้วยแป้งฝุ่น หรือแป้งแข็ง
สำหรับที่เลือกใช้แป้งฝุ่น ก็ควรเลือกแป้งฝุ่นชนิดโปร่งแสง เพราะจะไม่ทำให้สีของรองพื้นที่เลือกแล้วเปลี่ยนเป็นขาวขึ้นหรือคล้ำลง ในการทาแป้งให้ใช้พัฟหรือแปรงด้ามใหญ่สุดจุ่มแป้งฝุ่นหรือแป้งแข็งแล้วเกลี่ยบนใบหน้าให้ทั่ว
เขียนคิ้วให้ได้รูป
ก่อนที่จะเริ่มเขียนคิ้ว เราก็ต้องกันคิ้วให้ได้รูปทรงที่สวยงามเสียก่อน จากนั้นก็ลงมือเขียนคิ้วกันเลย แต่ไม่ควรเลือกดินสอเขียนคิ้วสีดำ เพราะจะทำให้คุณหน้าดุ และดูสูงวัย ลองเปลี่ยนเป็นดินสอเขียนคิ้วสีน้ำตาล จะทำให้ดูเป็นธรรมชาติขึ้นกว่าเยอะเลย
ขั้นตอนการเขียนคิ้ว ควรเริ่มเขียนห่างจากหัวคิ้วประมาณ 1 ซม. แล้วไล้ไปตามเส้นขนคิ้ว จากนั้น ใช้แปรงเกลี่ยหรืออาจแตะอายแชโดว์สีน้ำตาลเกลี่ยทับอีกครั้ง แล้วใช้แปรงเขียนคิ้วเกลี่ยย้อนมาทางหัวคิ้ว เพิ่มสีตาด้วยอายแชโดว์
ก่อนที่จะลงมือทาอายแชโดว์ ควรแตะแป้งฝุ่นบริเวณใต้ตาเสียก่อน จากนั้นก็เลือกสีที่ต้องการทา โดยใช้สีที่อ่อน เช่น สีขาว สีครีม สีชมพูอ่อน ๆ ทาให้ทั่วเปลือกตา ถ้าใส่เสื้อผ้าสีโทนร้อนควรใช้อายแชโดว์สีส้มเกลี่ยจากแนวหางตามาทางหัวตา แล้วใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลเกลี่ยชิดแนวขอบตา เริ่มจากหางตาเข้ามากึ่งกลางตา ขอบตาล่างก็ควรทำเช่นเดียวกันเพื่อให้เกิดความสมดุลแห่งสีสัน แต่ถ้าใส่เสื้อผ้าสีโทนเย็นควรใช้อายแชโดว์สีชมพูหรือม่วง แล้วใช้อายแชโดว์สีน้ำเงินหรือสีเทาเกลี่ยชิดแนวขอบตา
ปัดความงามให้ขนตา
ในปัจจุบันก็มีมาสคาร่าออกมามากมายหลายแบบให้เราได้เลือก ทั้งชนิด เพิ่มความยาวให้กับขนตา เพิ่มความหนา และแบบธรรมดา สำหรับสาวที่มีขนตายาว งอน สวยเป็นทุน ก่อนที่จะปัดมาสคาร่าในแต่ละครั้ง สำหรับผู้ที่มีขนตาเป็นเส้นตรง ไม่โค้งงอน ก็ต้องเพิ่มความอ่อนหวานกันสักหน่อย โดยการดัดขนตา แต่ไม่ควรที่จะกดแรงเกินไป เพราะขนตาอาจจะขาดได้ หลังจากนั้นก็เลือกมาสคาร่าสีที่เข้ากับอายแชโดที่เราทาลงไป หรือจะเป็นสีน้ำตาลเข้มก็ ดูเป็นธรรมชาติดี โดยเริ่มปัดจากโคนขนตาด้านบน ไล่ขึ้นมาจนถึงปลาย แล้วก็อย่าลืมที่จะปัดขนตาล่างด้วยล่ะ
ปัดแก้มให้ดูมีเลือดฝาด
วิธีการแต่งแต้มพวงแก้มของคุณให้เป็นสาวสุขภาพดี แก้มมีเลือดฝาด ต้องเริ่มจากการใช้แปรงขนนุ่มขนาดใหญ่ ไล้สีตรงส่วนที่กินบริเวณมากที่สุดของแก้มคุณ ก็คือใต้โหนกแก้ม หรือสันแก้มตรงตำแหน่งใต้ตา จากนั้นยิ้มให้กับตัวเองในกระจก และปัดไล่ขึ้นตามแนวสันแก้มขึ้นไปหาขมับ เกลี่ยสีให้กลมกลืนกับสีผิวขึ้นไปหาแนวตีนผม เพื่อให้ละเมียดละไมเป็นธรรมชาติ แต่อย่าปัดให้ดูแดงเกินไปจนเหมือนโดนตบล่ะ เติมสีปากเป็นอันเสร็จเรียบร้อย
สุดท้ายก็เป็นการแต่งแต้มเรียวปากของคุณ ให้ดูเป็นสาวสุขภาพดี ซึ่งลิปสติกเดี๋ยวนี้ก็มีออกมามากมายหลายแบบให้เราได้เลือก ทั้งลิปสติก ลิปกลอส ลิปปาล์ม หรือลิปทินท์ (Lip Tint) ซึ่งก่อนที่จะทาลิปในแต่ละครั้งก็ควรที่จะทาลิปปาล์มก่อน เพื่อเพิ่มความชุมชื้นให้กับริมฝีปาก จากนั้นจึงตามด้วยลิปกลอส หรือลิปสติก ส่วนลิปทินท์นั้น เป็นลิปเนื้อเหลวคล้ายๆกับลิปกลอส แต่ว่ามีความเหนียวน้อยกว่า ใช้แตะริมฝีปากพอให้เห็นสีบางๆ และยังเห็นพื้นผิวของริมฝีปากอยู่ ก็จะทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด
ถือว่าเป็นเทคนิคง่าย ๆ ลองนำไปใช้ดู แล้วครั้งต่อไป ไม่ว่าคุณจะแต่งหน้าให้เป็นสาวใส สาวหวาน สาวเปรี้ยว หรือสาวเซ็กซี่ ก็ไม่อยากอย่างที่คิดแล้ว แต่ขอเตือนไว้หน่อยว่า ในการแต่งหน้าแต่ละครั้งก็ควรแต่งให้ เข้ากับตัวคุณเอง และกาลเทศะด้วย เพราะมันจะทำให้คุณดูเป็นสาวที่ทรงเสน่ห์มาก ๆ ในทุกโอกาส แล้วครั้งหน้าเราจะมีเคล็ดลับอะไรดี ๆ มาฝากอีก ก็ต้องติดตามกันนะคะ...
เสน่ห์ที่ขาดเสียไม่ได้ในการแต่งตัวแต่ละครั้งของผู้หญิง ก็คือ การแต่งแต้มสีสันลงบนใบหน้า หรือการแต่งหน้านั่นเอง ซึ่งในการแต่งหน้าแต่ละครั้งจะออกมาสวยงามเหมาะกับคุณหรือไม่เพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคการแต่งหน้าของแต่ละคน
แต่สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มจะแต่งหน้าเป็นครั้งแรก และไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจากตรงไหนก่อน วันนี้เราก็มีเคล็ดลับการแต่งหน้าแบบง่าย ๆ มาฝากกันค่ะ
ล้างหน้าให้สะอาดก่อนทุกครั้ง
ก่อนที่เราจะลงมือแต่งหน้าทุกครั้ง สิ่งที่ต้องปฏิบัติให้เป็นนิสัย นั่นคือการล้างหน้าให้สะอาด โดยใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า เช็ดเครื่องสำอาง และสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ที่ผิวหน้าของคุณออกให้หมดก่อน จากนั้นก็ล้างหน้าตามปกติ ซับหน้าให้แห้ง แล้วเตรียมแต่งหน้ากันเลย อย่าลืม! ทาครีมบำรุงผิวก่อนลงครีมรองพื้น
หลังล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว ก็อย่าลืมที่จะทาครีมบำรุงผิว (ครีมที่คุณใช้อยู่ทุกวันนั่นแหละ) หลังจากนั้นจึงตามด้วย ครีมรองพื้น เพื่อปรับสีผิวบนใบหน้าของคุณให้เรียบเนียนเสมอกัน โดยแตะครีมรองพื้นตรงบริเวณที่ไม่มีริ้วรอยก่อน แล้วค่อย ๆ เกลี่ยไล่ให้ทั่ว ระวังอย่าให้มีขอบบริเวณกรอบหน้า ควรเกลี่ยรองพื้นให้หายเข้าไปในไรผมรวมถึงบริเวณริมฝีปากด้วย (อาจใช้เฉพาะผู้ที่มีสีผิวที่ไม่เสมอกัน) ส่วนในการเลือกครีมรองพื้น ก็ควรเลือกสีที่ใกล้เคียงกับสีผิวบริเวณคอของคุณมากที่สุด
ตามด้วยแป้งฝุ่น หรือแป้งแข็ง
สำหรับที่เลือกใช้แป้งฝุ่น ก็ควรเลือกแป้งฝุ่นชนิดโปร่งแสง เพราะจะไม่ทำให้สีของรองพื้นที่เลือกแล้วเปลี่ยนเป็นขาวขึ้นหรือคล้ำลง ในการทาแป้งให้ใช้พัฟหรือแปรงด้ามใหญ่สุดจุ่มแป้งฝุ่นหรือแป้งแข็งแล้วเกลี่ยบนใบหน้าให้ทั่ว
เขียนคิ้วให้ได้รูป
ก่อนที่จะเริ่มเขียนคิ้ว เราก็ต้องกันคิ้วให้ได้รูปทรงที่สวยงามเสียก่อน จากนั้นก็ลงมือเขียนคิ้วกันเลย แต่ไม่ควรเลือกดินสอเขียนคิ้วสีดำ เพราะจะทำให้คุณหน้าดุ และดูสูงวัย ลองเปลี่ยนเป็นดินสอเขียนคิ้วสีน้ำตาล จะทำให้ดูเป็นธรรมชาติขึ้นกว่าเยอะเลย
ขั้นตอนการเขียนคิ้ว ควรเริ่มเขียนห่างจากหัวคิ้วประมาณ 1 ซม. แล้วไล้ไปตามเส้นขนคิ้ว จากนั้น ใช้แปรงเกลี่ยหรืออาจแตะอายแชโดว์สีน้ำตาลเกลี่ยทับอีกครั้ง แล้วใช้แปรงเขียนคิ้วเกลี่ยย้อนมาทางหัวคิ้ว เพิ่มสีตาด้วยอายแชโดว์
ก่อนที่จะลงมือทาอายแชโดว์ ควรแตะแป้งฝุ่นบริเวณใต้ตาเสียก่อน จากนั้นก็เลือกสีที่ต้องการทา โดยใช้สีที่อ่อน เช่น สีขาว สีครีม สีชมพูอ่อน ๆ ทาให้ทั่วเปลือกตา ถ้าใส่เสื้อผ้าสีโทนร้อนควรใช้อายแชโดว์สีส้มเกลี่ยจากแนวหางตามาทางหัวตา แล้วใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลเกลี่ยชิดแนวขอบตา เริ่มจากหางตาเข้ามากึ่งกลางตา ขอบตาล่างก็ควรทำเช่นเดียวกันเพื่อให้เกิดความสมดุลแห่งสีสัน แต่ถ้าใส่เสื้อผ้าสีโทนเย็นควรใช้อายแชโดว์สีชมพูหรือม่วง แล้วใช้อายแชโดว์สีน้ำเงินหรือสีเทาเกลี่ยชิดแนวขอบตา
ปัดความงามให้ขนตา
ในปัจจุบันก็มีมาสคาร่าออกมามากมายหลายแบบให้เราได้เลือก ทั้งชนิด เพิ่มความยาวให้กับขนตา เพิ่มความหนา และแบบธรรมดา สำหรับสาวที่มีขนตายาว งอน สวยเป็นทุน ก่อนที่จะปัดมาสคาร่าในแต่ละครั้ง สำหรับผู้ที่มีขนตาเป็นเส้นตรง ไม่โค้งงอน ก็ต้องเพิ่มความอ่อนหวานกันสักหน่อย โดยการดัดขนตา แต่ไม่ควรที่จะกดแรงเกินไป เพราะขนตาอาจจะขาดได้ หลังจากนั้นก็เลือกมาสคาร่าสีที่เข้ากับอายแชโดที่เราทาลงไป หรือจะเป็นสีน้ำตาลเข้มก็ ดูเป็นธรรมชาติดี โดยเริ่มปัดจากโคนขนตาด้านบน ไล่ขึ้นมาจนถึงปลาย แล้วก็อย่าลืมที่จะปัดขนตาล่างด้วยล่ะ
ปัดแก้มให้ดูมีเลือดฝาด
วิธีการแต่งแต้มพวงแก้มของคุณให้เป็นสาวสุขภาพดี แก้มมีเลือดฝาด ต้องเริ่มจากการใช้แปรงขนนุ่มขนาดใหญ่ ไล้สีตรงส่วนที่กินบริเวณมากที่สุดของแก้มคุณ ก็คือใต้โหนกแก้ม หรือสันแก้มตรงตำแหน่งใต้ตา จากนั้นยิ้มให้กับตัวเองในกระจก และปัดไล่ขึ้นตามแนวสันแก้มขึ้นไปหาขมับ เกลี่ยสีให้กลมกลืนกับสีผิวขึ้นไปหาแนวตีนผม เพื่อให้ละเมียดละไมเป็นธรรมชาติ แต่อย่าปัดให้ดูแดงเกินไปจนเหมือนโดนตบล่ะ เติมสีปากเป็นอันเสร็จเรียบร้อย
สุดท้ายก็เป็นการแต่งแต้มเรียวปากของคุณ ให้ดูเป็นสาวสุขภาพดี ซึ่งลิปสติกเดี๋ยวนี้ก็มีออกมามากมายหลายแบบให้เราได้เลือก ทั้งลิปสติก ลิปกลอส ลิปปาล์ม หรือลิปทินท์ (Lip Tint) ซึ่งก่อนที่จะทาลิปในแต่ละครั้งก็ควรที่จะทาลิปปาล์มก่อน เพื่อเพิ่มความชุมชื้นให้กับริมฝีปาก จากนั้นจึงตามด้วยลิปกลอส หรือลิปสติก ส่วนลิปทินท์นั้น เป็นลิปเนื้อเหลวคล้ายๆกับลิปกลอส แต่ว่ามีความเหนียวน้อยกว่า ใช้แตะริมฝีปากพอให้เห็นสีบางๆ และยังเห็นพื้นผิวของริมฝีปากอยู่ ก็จะทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด
ถือว่าเป็นเทคนิคง่าย ๆ ลองนำไปใช้ดู แล้วครั้งต่อไป ไม่ว่าคุณจะแต่งหน้าให้เป็นสาวใส สาวหวาน สาวเปรี้ยว หรือสาวเซ็กซี่ ก็ไม่อยากอย่างที่คิดแล้ว แต่ขอเตือนไว้หน่อยว่า ในการแต่งหน้าแต่ละครั้งก็ควรแต่งให้ เข้ากับตัวคุณเอง และกาลเทศะด้วย เพราะมันจะทำให้คุณดูเป็นสาวที่ทรงเสน่ห์มาก ๆ ในทุกโอกาส แล้วครั้งหน้าเราจะมีเคล็ดลับอะไรดี ๆ มาฝากอีก ก็ต้องติดตามกันนะคะ...
16.11.08
หุ่นดีกับวิธี.. Coconut Diet
หุ่นดีกับวิธี.. Coconut Diet
วิธีใหม่เอี่ยมสำหรับวงการไดเอท คิดค้นโดย "เชอรี่ คัลบอม" นักโภชนาการชื่อดัง วิธีนี้กำหนดว่าเราต้องไดเอทด้วยอาหารไขมันต่ำที่ปรุงจากน้ำมันมะพร้าวเท่านั้น ข้อดีของน้ำมันมะพร้าวถึงน้ำมันมะพร้าวอาจจะมีไขมันอิ่มตัวบ้าง แต่ก็มีข้อดีตรงที่สามารถกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญของร่างกายเราได้ดี ทำให้น้ำหนักลดเร็ว ยิ่งถ้าทานคู่ไปกับอาหารไขมันต่ำ หุ่นก็จะยิ่งเพรียวขึ้น สำหรับคนที่กลัวว่าไขมันอิ่มตัวในมะพร้าวจะมีโคเลสเตอรอลมากเกินก็อนุโลมให้ใช้น้ำมันมะกอกแทนได้
วิธี Coconut Diet แผนการนี้มีกำหนด 3 สัปดาห์ โดยให้เลือกทานอาหารจากรายการต่อไปนี้ หลังจาก 3 สัปดาห์นี้แล้ว สามารถทานคาร์โบไฮเดรตเพิ่มขึ้นได้ โดยเลือกจากรายการอาหารในสัปดาห์ที่ 4-5
สัปดาห์ที่ 1-3
อาหารเช้า - ไข่คน 2 ฟอง ใส่น้ำกะทิ 1 ช้อน กับแฮมเนื้อล้วนๆ 1 ชิ้น หรือไข่ดาวทอดน้ำมันมะพร้าว 2 ใบกับแฮมเนื้อล้วนๆ 1 ชิ้น
อาหารกลางวัน - ไก่ไร้หนังทอดด้วยน้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ กินคู่กับสลัดผักสดเยอะๆ หรือปลาย่าง 1 ตัวกับผักสลัด และน้ำสลัดทำจากน้ำมันมะพร้าว หรือหมูสะเต๊ะ กับสลัดผัสด หรือสลัดกุ้งราดน้ำสลัดจากน้ำมันมะพร้าว
อาหารเย็น - สเต๊กปลา (ปลาทาน้ำมันมะพร้าวเอาไปอบหรือย่าง) ทานกับผักต้ม หรือยำวุ้นเส้นกินกับผักสดคลุกน้ำมันมะพร้าวเล็กน้อย หรือแกงจืดตามใจชอบ และอกไก่ทอดน้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ หรือผัดถั่วงอกใส่กุ้งกับพริก ใช้น้ำมันมะพร้าวในการผัด
สัปดาห์ที่ 4-5
อาหารเช้า - ไข่คน 2 ฟอง ใส่น้ำกะทิ 1 ช้อน กับแฮมเนื้อล้วนๆ 1 ชิ้น และขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น หรือไข่ดาวทอดน้ำมันมะพร้าว 2ใบกับแฮมเนื้อล้วนๆ 1 ชิ้น และขนมปังโฮลวีต 1 แผ่นหรือฟรุตสลัด (ผลไม้ตามใจชอบหั่นเป็นลูกเต๋าคลุกกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติ)
อาหารกลางวัน - ไข่ต้มกับปลา (ทากะทิ) ย่าง หรือปลาผัดพริก (ผัดด้วยน้ำมันมะพร้าว) กับผักต้ม หรือสเต็กอกไก่ทอดน้ำมันมะพร้าวกับสลัดผัก หรือสลัดกุ้งกับผักสด น้ำสลัดทำจากน้ำมันมะพร้าว
อาหารเย็น - กุ้งผัดพริกแกง (ใส่กะทิ) ทานกับผักสดหรือผักต้ม หรือแกงเผ็ดอกไก่ (ใส่กะทิ) จะใส่หน่อไม้หรือไม่ก็ได้กับข้าวกล้องหรือสลัดปลาทูน่ากับมันอบตามใจชอบ
..Tip..
-สามารถทานผักสลัดได้ทุกชนิด ยกเว้นข้าวโพดหวาน ถั่วลันเตา และมันฝรั่ง เพราะมีคาร์โบไฮเดรตสูง
- ถ้าไม่ชอบน้ำมันมะพร้าว จะใช้น้ำมันมะกอกแทนได้
- งดน้ำชา กาแฟ และน้ำอัดลม และควรดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
ที่มา : spicy
วิธีใหม่เอี่ยมสำหรับวงการไดเอท คิดค้นโดย "เชอรี่ คัลบอม" นักโภชนาการชื่อดัง วิธีนี้กำหนดว่าเราต้องไดเอทด้วยอาหารไขมันต่ำที่ปรุงจากน้ำมันมะพร้าวเท่านั้น ข้อดีของน้ำมันมะพร้าวถึงน้ำมันมะพร้าวอาจจะมีไขมันอิ่มตัวบ้าง แต่ก็มีข้อดีตรงที่สามารถกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญของร่างกายเราได้ดี ทำให้น้ำหนักลดเร็ว ยิ่งถ้าทานคู่ไปกับอาหารไขมันต่ำ หุ่นก็จะยิ่งเพรียวขึ้น สำหรับคนที่กลัวว่าไขมันอิ่มตัวในมะพร้าวจะมีโคเลสเตอรอลมากเกินก็อนุโลมให้ใช้น้ำมันมะกอกแทนได้
วิธี Coconut Diet แผนการนี้มีกำหนด 3 สัปดาห์ โดยให้เลือกทานอาหารจากรายการต่อไปนี้ หลังจาก 3 สัปดาห์นี้แล้ว สามารถทานคาร์โบไฮเดรตเพิ่มขึ้นได้ โดยเลือกจากรายการอาหารในสัปดาห์ที่ 4-5
สัปดาห์ที่ 1-3
อาหารเช้า - ไข่คน 2 ฟอง ใส่น้ำกะทิ 1 ช้อน กับแฮมเนื้อล้วนๆ 1 ชิ้น หรือไข่ดาวทอดน้ำมันมะพร้าว 2 ใบกับแฮมเนื้อล้วนๆ 1 ชิ้น
อาหารกลางวัน - ไก่ไร้หนังทอดด้วยน้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ กินคู่กับสลัดผักสดเยอะๆ หรือปลาย่าง 1 ตัวกับผักสลัด และน้ำสลัดทำจากน้ำมันมะพร้าว หรือหมูสะเต๊ะ กับสลัดผัสด หรือสลัดกุ้งราดน้ำสลัดจากน้ำมันมะพร้าว
อาหารเย็น - สเต๊กปลา (ปลาทาน้ำมันมะพร้าวเอาไปอบหรือย่าง) ทานกับผักต้ม หรือยำวุ้นเส้นกินกับผักสดคลุกน้ำมันมะพร้าวเล็กน้อย หรือแกงจืดตามใจชอบ และอกไก่ทอดน้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ หรือผัดถั่วงอกใส่กุ้งกับพริก ใช้น้ำมันมะพร้าวในการผัด
สัปดาห์ที่ 4-5
อาหารเช้า - ไข่คน 2 ฟอง ใส่น้ำกะทิ 1 ช้อน กับแฮมเนื้อล้วนๆ 1 ชิ้น และขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น หรือไข่ดาวทอดน้ำมันมะพร้าว 2ใบกับแฮมเนื้อล้วนๆ 1 ชิ้น และขนมปังโฮลวีต 1 แผ่นหรือฟรุตสลัด (ผลไม้ตามใจชอบหั่นเป็นลูกเต๋าคลุกกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติ)
อาหารกลางวัน - ไข่ต้มกับปลา (ทากะทิ) ย่าง หรือปลาผัดพริก (ผัดด้วยน้ำมันมะพร้าว) กับผักต้ม หรือสเต็กอกไก่ทอดน้ำมันมะพร้าวกับสลัดผัก หรือสลัดกุ้งกับผักสด น้ำสลัดทำจากน้ำมันมะพร้าว
อาหารเย็น - กุ้งผัดพริกแกง (ใส่กะทิ) ทานกับผักสดหรือผักต้ม หรือแกงเผ็ดอกไก่ (ใส่กะทิ) จะใส่หน่อไม้หรือไม่ก็ได้กับข้าวกล้องหรือสลัดปลาทูน่ากับมันอบตามใจชอบ
..Tip..
-สามารถทานผักสลัดได้ทุกชนิด ยกเว้นข้าวโพดหวาน ถั่วลันเตา และมันฝรั่ง เพราะมีคาร์โบไฮเดรตสูง
- ถ้าไม่ชอบน้ำมันมะพร้าว จะใช้น้ำมันมะกอกแทนได้
- งดน้ำชา กาแฟ และน้ำอัดลม และควรดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
ที่มา : spicy
5 วิธีดูแลกายใจให้สดใส..แม้ยามอกหัก
5 วิธีดูแลกายใจให้สดใส..แม้ยามอกหัก
“อกหักแล้วกินไม่ได้ นอนไม่หลับ วัน ๆ เอาแต่นั่งซึมและร้องไห้อย่างนี้ไม่ดีเลย”
ช่วงที่เราอกหักนี่แหละเป็นช่วงที่ร่างกายอ่อนแอที่สุดก็ว่าได้ เพราะนอกจากจิตใจจะอ่อนล้าแล้ว ถ้าไม่ดูแลตัวเองให้ดี ๆ ก็อาจพานทำให้ร่างกายอ่อนแอและล้มป่วยได้ง่าย ๆ
วันแล้วต้องหันมาเอาใจใส่ตัวเองกันสักหน่อย ด้วย 5 วิธีง่าย ๆ ดูแลสุขภาพกายและใจตัวเองแม้ในยามอกหัก ที่เกร็ดสุขภาพนำมาฝากกันค่ะ
-กินดี ถึงจะกลืนอะไรไม่ค่อยลงแต่ก็ต้องฝืนกันบ้าง โดยเลือดอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น สลัดผักมื้อเล็ก ๆ หรือหากหมดเรี่ยวแรงจะเตรียม อาจรองท้องด้วยผลไม้ไว้ก่อนก็ยังดี
-ผ่อนคลายตัวเอง ช่วงนี้ร่างกายของเราอาจจะอ่อนแอ เพราะมีฮอร์โมนความเครียดและคิดถึงเขาจนไม่เป็นอันหลับนอน ดังนั้นต้องพยายามผ่อนคลายตัวเอง อาจด้วยการออกกำลังกายหรือทำสมาธิก็ได้ เพื่อจะได้หลับพักผ่อน
-หาเพื่อนหรือสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ อย่าปล่อยให้ตัวเองอยู่คนเดียว มองหากิจกรรมต่าง ๆ ทำ เช่น ออกไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง หรือกินข้าวกับคนที่บ้านให้มากขึ้น
-คิดว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง รักกันได้ก็เลิกกันได้ หยุดทบทวนหรือย้ำอยู่กับคำสัญญาเก่า ๆ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณรู้สึกแย่ลงไปอีก
-เติมสีสันให้กับตัวเอง ช่วงนี้ห้ามใส่เสื้อผ้าสีดำหรือสีเทาอย่างเด็ดขาด ควรเลือกสีที่สดใสเข้าไว้ จะช่วยให้จิตใจสดใสตาม นอกจากนี้ อย่าลืมดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ เพราะยิ่งถ้าปล่อยตัวเองให้ดูโทรม ก็จะรู้สึกหดหู่ยิ่งขึ้น
ที่นี้อกหักก็เป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถทำร้ายคุณได้อีก เพราะเมื่อคุณมีร่างกายแข็งแรงและจิตใจสดใสแล้ว โครที่ได้อยู่ใกล้ ๆ ก็จะมีความสุขและมอบความรักให้กับคุณค่ะ
ที่มา : ชีวจิต
“อกหักแล้วกินไม่ได้ นอนไม่หลับ วัน ๆ เอาแต่นั่งซึมและร้องไห้อย่างนี้ไม่ดีเลย”
ช่วงที่เราอกหักนี่แหละเป็นช่วงที่ร่างกายอ่อนแอที่สุดก็ว่าได้ เพราะนอกจากจิตใจจะอ่อนล้าแล้ว ถ้าไม่ดูแลตัวเองให้ดี ๆ ก็อาจพานทำให้ร่างกายอ่อนแอและล้มป่วยได้ง่าย ๆ
วันแล้วต้องหันมาเอาใจใส่ตัวเองกันสักหน่อย ด้วย 5 วิธีง่าย ๆ ดูแลสุขภาพกายและใจตัวเองแม้ในยามอกหัก ที่เกร็ดสุขภาพนำมาฝากกันค่ะ
-กินดี ถึงจะกลืนอะไรไม่ค่อยลงแต่ก็ต้องฝืนกันบ้าง โดยเลือดอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น สลัดผักมื้อเล็ก ๆ หรือหากหมดเรี่ยวแรงจะเตรียม อาจรองท้องด้วยผลไม้ไว้ก่อนก็ยังดี
-ผ่อนคลายตัวเอง ช่วงนี้ร่างกายของเราอาจจะอ่อนแอ เพราะมีฮอร์โมนความเครียดและคิดถึงเขาจนไม่เป็นอันหลับนอน ดังนั้นต้องพยายามผ่อนคลายตัวเอง อาจด้วยการออกกำลังกายหรือทำสมาธิก็ได้ เพื่อจะได้หลับพักผ่อน
-หาเพื่อนหรือสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ อย่าปล่อยให้ตัวเองอยู่คนเดียว มองหากิจกรรมต่าง ๆ ทำ เช่น ออกไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง หรือกินข้าวกับคนที่บ้านให้มากขึ้น
-คิดว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง รักกันได้ก็เลิกกันได้ หยุดทบทวนหรือย้ำอยู่กับคำสัญญาเก่า ๆ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณรู้สึกแย่ลงไปอีก
-เติมสีสันให้กับตัวเอง ช่วงนี้ห้ามใส่เสื้อผ้าสีดำหรือสีเทาอย่างเด็ดขาด ควรเลือกสีที่สดใสเข้าไว้ จะช่วยให้จิตใจสดใสตาม นอกจากนี้ อย่าลืมดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ เพราะยิ่งถ้าปล่อยตัวเองให้ดูโทรม ก็จะรู้สึกหดหู่ยิ่งขึ้น
ที่นี้อกหักก็เป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถทำร้ายคุณได้อีก เพราะเมื่อคุณมีร่างกายแข็งแรงและจิตใจสดใสแล้ว โครที่ได้อยู่ใกล้ ๆ ก็จะมีความสุขและมอบความรักให้กับคุณค่ะ
ที่มา : ชีวจิต
15.11.08
อาหารคู่ใจนักไดเอท
อาหารคู่ใจนักไดเอท
อาหารที่ให้พลังงานและสารอาหารสูง แถมยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วย จึงเหมาะที่นักไดเอทจะพกไว้เป็นเสบียงคู่ใจเพื่อต่อสู้กับความหิวที่จะมาเยือนเวลาเราลดน้ำหนัก
1. แอปเปิ้ล
จะไดเอทกี่ทีก็ต้องมีแอปเปิ้ล เพราะมันเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารมาก กินแล้วหนักท้องดีนัก แถมยังไม่หวานจัด แคลอรีต่ำ และมีคุณค่าอาหารเพียบ ดีขนาดนี้ แม้แต่เวลาที่ไม่ไดเอท ก็ไม่ควรมองข้ามแอปเปิ้ลหรอกนะ
2. ลูกเกด
ลูกเกดมีแมงกานีสที่ช่วยให้ระบบการเผาผลาญอาหารของเราทำงานได้ดีขึ้น ช่วยให้การลดความอ้วนได้ผลและระบบย่อยก็ทำงานเป็นปกติ ส่วนระดับน้ำตาลในเลือดซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของสาวๆ ที่กำลังไดเอทนั้น เจ้าลูกเกดก็จะช่วยให้เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ทำให้ไม่หิวบ่อย จะได้ไม่ต้องกินอะไรเพิ่ม
3. ลูกพรุน
ลูกพรุนคือสุดยอดแหล่งรวมวิตามิน กินแล้วช่วยให้ผิวสวย เหมาะสำหรับนักไดเอทที่มักจะมีผิวพรรณเหี่ยวแห้ง หน้าตาซีดเซียว นอกจากนี้ลูกพรุนยังทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ หมดปัญหาเรื่องหน้ามืดตาลายและทำให้ระบบขับถ่ายทำงานดี น้ำหนักจะได้ลดลงสมใจ
4. ข้าวกล้องและธัญพืชไม่ขัดขาว
ข้าวกล้องจะช่วยให้สาวๆ อิ่มนาน เพราะมันมีเส้นใยสูงมาก ทำให้หนักท้อง ตัดปัญหาเรื่องอยากกินของว่างหรือของจุกจิกทิ้งไปได้เลย ส่วนสารอาหารที่อุดมสมบูรณ์มากๆ ในข้าวกล้องก็ดีต่อสุขภาพของเรา ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดี หมดปัญหาอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
5. อาหารทะเล
อาหารทะเลในที่นี้ไม่ได้หมายถึง หอยนางรม หรือปลาหมึกที่มีโคเลสเตอรอลสูง แต่ควรจะกินปลาตัวเล็กๆ ปลาทูน่า แซลมอน ปลาซีดีนเท่านั้น สารซีลีเนียม แมกนีเซียม แคลเซียม และสังกะสี ในปลาพวกนี้จะช่วยรักษาความสมดุลของระบบประสาท คุณจะได้ไม่กลายเป็นน้องเอ๋อ สมองเสื่อม คิดอะไรไม่ออกระหว่างที่ลดความอ้วนไง
6. ถั่ว
คนที่ลดน้ำหนักมักจะอารมณ์ไม่ค่อยดี หงุดหงิดงุ่นง่านเห็นช้างเท่าหมูได้ทั้งวัน แต่ถ้าได้กินถั่วจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้ เพราะร่างกายจะได้รับวิตามินบีและแมกนีเซียม ซึ่งช่วยการทำงานของระบบประสาทให้เป็นปกติ แค่นี้ก็ไม่ต้องกลายเป็นแม่หญิงสวยประหารประจำกลุ่มแล้ว
ที่มา : spicy
อาหารที่ให้พลังงานและสารอาหารสูง แถมยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วย จึงเหมาะที่นักไดเอทจะพกไว้เป็นเสบียงคู่ใจเพื่อต่อสู้กับความหิวที่จะมาเยือนเวลาเราลดน้ำหนัก
1. แอปเปิ้ล
จะไดเอทกี่ทีก็ต้องมีแอปเปิ้ล เพราะมันเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารมาก กินแล้วหนักท้องดีนัก แถมยังไม่หวานจัด แคลอรีต่ำ และมีคุณค่าอาหารเพียบ ดีขนาดนี้ แม้แต่เวลาที่ไม่ไดเอท ก็ไม่ควรมองข้ามแอปเปิ้ลหรอกนะ
2. ลูกเกด
ลูกเกดมีแมงกานีสที่ช่วยให้ระบบการเผาผลาญอาหารของเราทำงานได้ดีขึ้น ช่วยให้การลดความอ้วนได้ผลและระบบย่อยก็ทำงานเป็นปกติ ส่วนระดับน้ำตาลในเลือดซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของสาวๆ ที่กำลังไดเอทนั้น เจ้าลูกเกดก็จะช่วยให้เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ทำให้ไม่หิวบ่อย จะได้ไม่ต้องกินอะไรเพิ่ม
3. ลูกพรุน
ลูกพรุนคือสุดยอดแหล่งรวมวิตามิน กินแล้วช่วยให้ผิวสวย เหมาะสำหรับนักไดเอทที่มักจะมีผิวพรรณเหี่ยวแห้ง หน้าตาซีดเซียว นอกจากนี้ลูกพรุนยังทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ หมดปัญหาเรื่องหน้ามืดตาลายและทำให้ระบบขับถ่ายทำงานดี น้ำหนักจะได้ลดลงสมใจ
4. ข้าวกล้องและธัญพืชไม่ขัดขาว
ข้าวกล้องจะช่วยให้สาวๆ อิ่มนาน เพราะมันมีเส้นใยสูงมาก ทำให้หนักท้อง ตัดปัญหาเรื่องอยากกินของว่างหรือของจุกจิกทิ้งไปได้เลย ส่วนสารอาหารที่อุดมสมบูรณ์มากๆ ในข้าวกล้องก็ดีต่อสุขภาพของเรา ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดี หมดปัญหาอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
5. อาหารทะเล
อาหารทะเลในที่นี้ไม่ได้หมายถึง หอยนางรม หรือปลาหมึกที่มีโคเลสเตอรอลสูง แต่ควรจะกินปลาตัวเล็กๆ ปลาทูน่า แซลมอน ปลาซีดีนเท่านั้น สารซีลีเนียม แมกนีเซียม แคลเซียม และสังกะสี ในปลาพวกนี้จะช่วยรักษาความสมดุลของระบบประสาท คุณจะได้ไม่กลายเป็นน้องเอ๋อ สมองเสื่อม คิดอะไรไม่ออกระหว่างที่ลดความอ้วนไง
6. ถั่ว
คนที่ลดน้ำหนักมักจะอารมณ์ไม่ค่อยดี หงุดหงิดงุ่นง่านเห็นช้างเท่าหมูได้ทั้งวัน แต่ถ้าได้กินถั่วจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้ เพราะร่างกายจะได้รับวิตามินบีและแมกนีเซียม ซึ่งช่วยการทำงานของระบบประสาทให้เป็นปกติ แค่นี้ก็ไม่ต้องกลายเป็นแม่หญิงสวยประหารประจำกลุ่มแล้ว
ที่มา : spicy
14.11.08
Diet ง่ายๆ สไตล์ญี่ปุ่น
Diet ง่ายๆ สไตล์ญี่ปุ่น
เคยสังเกตกันไหมว่า สาวญี่ปุ่นนอกจากจะคงความโนะเนะน่ารักของวัยใสไว้ได้จนกระทั่งเข้าวัยกลางคนแล้ว เธอยังคงทรวดทรงงดงามอ้อนแอ้นตามแบบหญิงเอเชีย ไม่อ้วนเผละไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น หรือพกห่วงยางไว้ให้อุ่นใจยามเตร็ดเตร่แถวชายทะเลเหมือนสาวประเทศอื่นๆ พวกเธอมีเคล็ดลับอย่างไรในการรักษาทรวดทรงองค์เอวให้อ้อนแอ้นอรชรเหมือนสาวแรกรุ่นตลอดเวลากันแน่ คำตอบง่ายๆ คือ วิธีการรับประทานอาหารของพวกเธอในแต่ละวันนั่นเอง เคล็ดลับที่จะนำเสนอนั้น นอกจากจะ ใช้ได้กับอาหารญี่ปุ่นแล้ว ยังปรับใช้ได้กับอาหารไทยอีกด้วย
เริ่มจากการเลือกถ้วยชามชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าถ้วยชามที่เหมาะสมกับการรับประทานอาหารแต่ละมื้อ คือถ้วยชามที่มีสีออกแนวเอิร์ธโทนอย่างเช่น ขาว ดำ เทา เพราะอาหารเป็นสิ่งที่รังสรรค์ขึ้นจากธรรมชาติ ความลงตัวของศิลปะในการกินจึงเป็นเรื่องสำคัญ
นอกจากนั้น ถ้วยชามที่ใช้ควรมีขนาดเล็ก ไม่ควรใช้จานเปลใหญ่ในการตักอาหาร เพราะเป็นหลักจิตวิทยาว่า ถ้าคนเห็นอาหารเต็มชาม แม้ชามจะขนาดเล็กกว่าปกติ จะทำให้คนเราอิ่มได้เร็วขึ้น ดังนั้น ควรลดขนาดภาชนะบนโต๊ะอาหารลงเสียตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าไม่อยากให้ฮิปโปโปเตมัสเข้าใจว่าคุณเป็นผู้ให้กำเนิด การใช้ตะเกียบพุ้ยข้าว จะทำให้คุณกินข้าวได้ช้าลง และปริมาณน้อยลง เนื่องจาก สมองรับรู้ความอิ่มหลังจากที่ร่างกายอิ่มไปแล้วประมาณสิบนาที เมื่อคุณทานช้าลง ระยะเวลาสิบนาทีของการประสานงานระหว่างสมองกับร่างกายจึงไม่มากพอทีจะทำให้คุณ ยัดทะนานจนกระทั่งจุกนั่นเอง
การกินอาหารหลากหลายประเภทพร้อมกับข้าว จะทำให้ร่างกายใช้พลังงานในการเผาผลาญมากขึ้น เนื่องจากความหลากหลายของพลังงานจะช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญให้ทำงานตลอดเวลา เพราะร่างกายจะคิดว่า มีอาหารชนิดใหม่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นจึงควรใช้ภาชนะขนาดเล็กตักกับข้าวหลากหลายเพื่อรับประทานในหนึ่งมื้อมากกว่าตักอาหารชนิดเดียวใส่ชามอ่าง แม้จะอิ่มเหมือนกัน แต่อ้วนไม่เหมือนกันแน่นอน
ที่มา : นิตยสาร VIVA Bangkok
เคยสังเกตกันไหมว่า สาวญี่ปุ่นนอกจากจะคงความโนะเนะน่ารักของวัยใสไว้ได้จนกระทั่งเข้าวัยกลางคนแล้ว เธอยังคงทรวดทรงงดงามอ้อนแอ้นตามแบบหญิงเอเชีย ไม่อ้วนเผละไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น หรือพกห่วงยางไว้ให้อุ่นใจยามเตร็ดเตร่แถวชายทะเลเหมือนสาวประเทศอื่นๆ พวกเธอมีเคล็ดลับอย่างไรในการรักษาทรวดทรงองค์เอวให้อ้อนแอ้นอรชรเหมือนสาวแรกรุ่นตลอดเวลากันแน่ คำตอบง่ายๆ คือ วิธีการรับประทานอาหารของพวกเธอในแต่ละวันนั่นเอง เคล็ดลับที่จะนำเสนอนั้น นอกจากจะ ใช้ได้กับอาหารญี่ปุ่นแล้ว ยังปรับใช้ได้กับอาหารไทยอีกด้วย
เริ่มจากการเลือกถ้วยชามชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าถ้วยชามที่เหมาะสมกับการรับประทานอาหารแต่ละมื้อ คือถ้วยชามที่มีสีออกแนวเอิร์ธโทนอย่างเช่น ขาว ดำ เทา เพราะอาหารเป็นสิ่งที่รังสรรค์ขึ้นจากธรรมชาติ ความลงตัวของศิลปะในการกินจึงเป็นเรื่องสำคัญ
นอกจากนั้น ถ้วยชามที่ใช้ควรมีขนาดเล็ก ไม่ควรใช้จานเปลใหญ่ในการตักอาหาร เพราะเป็นหลักจิตวิทยาว่า ถ้าคนเห็นอาหารเต็มชาม แม้ชามจะขนาดเล็กกว่าปกติ จะทำให้คนเราอิ่มได้เร็วขึ้น ดังนั้น ควรลดขนาดภาชนะบนโต๊ะอาหารลงเสียตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าไม่อยากให้ฮิปโปโปเตมัสเข้าใจว่าคุณเป็นผู้ให้กำเนิด การใช้ตะเกียบพุ้ยข้าว จะทำให้คุณกินข้าวได้ช้าลง และปริมาณน้อยลง เนื่องจาก สมองรับรู้ความอิ่มหลังจากที่ร่างกายอิ่มไปแล้วประมาณสิบนาที เมื่อคุณทานช้าลง ระยะเวลาสิบนาทีของการประสานงานระหว่างสมองกับร่างกายจึงไม่มากพอทีจะทำให้คุณ ยัดทะนานจนกระทั่งจุกนั่นเอง
การกินอาหารหลากหลายประเภทพร้อมกับข้าว จะทำให้ร่างกายใช้พลังงานในการเผาผลาญมากขึ้น เนื่องจากความหลากหลายของพลังงานจะช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญให้ทำงานตลอดเวลา เพราะร่างกายจะคิดว่า มีอาหารชนิดใหม่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นจึงควรใช้ภาชนะขนาดเล็กตักกับข้าวหลากหลายเพื่อรับประทานในหนึ่งมื้อมากกว่าตักอาหารชนิดเดียวใส่ชามอ่าง แม้จะอิ่มเหมือนกัน แต่อ้วนไม่เหมือนกันแน่นอน
ที่มา : นิตยสาร VIVA Bangkok
13.11.08
10 นิสัยที่สาวไดเอทควรมี
10 นิสัยที่สาวไดเอทควรมี
นิสัยแบบนี้ ขอรีเควสให้สาวๆ มีติดตัวเอาไว้ เพื่อหุ่นเพรียวเรียวสลิมจะได้เป็นของคุณทุกคนเลยไง
1. จดบันทึกสิ่งที่กิน
ทั้งมื้อเช้า กลางวัน เย็น รวมทั้งของว่างที่คุณส่งลงกระเพาะทั้งหมดด้วย เพื่อจะได้รู้ว่าน้ำหนักส่วนเกินของคุณมาจากอาหารประเภทไหน จะได้ตัดมันทิ้งไปจากชีวิตซะเลย
2. เลิกวิธีไดเอทที่ไม่เวิร์ค
การลดความอ้วนทำได้หลายแบบ แทนที่จะทู่ซี้อยู่กับวิธีเดิมๆ ที่แสนจะทรมานแถมยังไม่ได้ผล สาวๆ ควรจะเลือกวิธีที่คุณชอบที่สุด และคิดว่าจะทำได้นานที่สุดจะดีกว่า อย่าทนใช้วิธีโหดๆ ที่ร่างกายคุณรับไม่ได้ หรือวิธีที่เพื่อนใช้ได้ผลมาแล้ว เพราะมันจะไม่เวิร์คกับคุณเลยก็ได้
3. ดื่มน้ำทุกครั้งที่หิว
นิสัยแบบนี้สุขภาพช้อบ..ชอบ เพราะสุขภาพเราจะดีขึ้นมาทันตาเห็น ถ้าดื่มน้ำมากๆ เป็นประจำ นอกจากนี้การจิบน้ำ 1 แก้วทุกครั้งที่หิวจะช่วยให้คุณกินอะไรได้น้อยลง บางทีดื่มน้ำแล้วอาจจะหายหิว ไม่ต้องกินไปเลยก็ได้
4. ทำให้การไดเอทเป็นนิสัยถาวร
ถ้ากินจนอ้วนแล้วค่อยกลับมาไดเอท บางทีวิธีเดิมที่เคยได้ผลก็อาจจะไม่ได้ผลแล้วก็ได้ เพราะร่างกายเราจะเกิดความเคยชินกับรูปแบบการไดเอทที่เคยผ่านมาแล้ว ทำให้ลดความอ้วนได้ยากขึ้นกว่าเดิม ฉะนั้นควรจะรักษารูปแบบการกินตอนไดเอทเอาไว้ตลอดเวลา ฝึกให้เป็นนิสัยประจำตัวไปเลย แบบนี้รับรองผอมนานสวยทน
5. เทอาหารใส่จานทุกครั้ง
ที่ให้ทำแบบนี้เพราะเวลาเราตักอาหารจากห่อหรือถึงขึ้นมากินตรงๆ เรามักจะเผลอกินจนเพลิน กว่าจะรู้ตัวอีกทีมันฝรั่งก็เกลี้ยงถุงหรือไอติมหมดถังซะแล้ว แต่ถ้าสาวๆ เทอาหารใส่จานก่อน คุณก็จะกะปริมาณได้ว่าควรจะกินแค่ไหนถึงจะไม่ฉีกกฏความผอม
6. ซื้ออาหารที่มีคำว่าไดเอทเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลมแบบไดเอท นมแบบไดเอท (นมพร่องมันเนย) ไอศกรีมแบบไดเอท (ไอศกรีมโยเกิร์ต) น้ำสลัดแบบไดเอท (ไขมันต่ำ) ถ้ายอมเสียเวลาเลือกสักหน่อย คุณจะได้หม่ำของอร่อยที่ไม่ทำให้อ้วน และอาหารไดเอทพวกนี้มักจะมีน้ำตาลน้อย กินแล้วช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้นด้วย
7. อย่าทำให้ตู้เย็นว่าง
นิสัยนี้น่าจะถูกใจสาวนักช้อปที่เราอยากให้สาวๆ มีของกินแคลอรี่ต่ำติดตู้เย็นเอาไว้เสมอ ก็เพื่อให้หยิบกินได้ทันทีเวลาหิว ไม่อย่างนั้นถ้าหิวซ่กกลับมาเจอกับตู้ว่างๆ ก็คงไม่แคล้วแพ้ใจตัวเอง โทร.สั่งพิซซ่าหรือไก่ทอดมากินแน่ๆ
8. กินผักเป็นอันดับแรก
ให้ทำเป็นนิสัยเลยว่าอาหารคำแรกของแต่ละมื้อจะต้องเป็นผัก หรือถ้าเป็นไปได้ควรจะกินสลัดผักไปเลย 1 จาน เพื่อให้ร่างกายได้รับใยอาหาร ซึ่งเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้น้ำหนักลดเร็วขึ้น และการกินผักก่อนยังทำให้คุณหนักท้อง กินอะไรได้น้อยลงด้วย
9. อย่าทำกิจกรรมอื่นระหว่างกิน
นี่คือกฏเหล็กที่สาวหุ่นเพรียวต้องฝึกให้เป็นนิสัยเพราะการกินไปดูทีวีไป หรือกินไปอ่านหนังสือไปจะทำให้คุณกินเพลิน ยี่งเคี้ยวยิ่งมันส์ จนลืมดูว่ากินไปมากแค่ไหน กว่าจะละครเรื่องโปรดจะจบคุณก็กวาดกับข้าวหมดโต๊ะแล้ว เจอแบบนี้บ่อยๆ เรื่องผอมน่ะลืมไปได้เลย
10. มองหานิสัยบ่อนทำลาย
ลองสังเกตพฤติกรรมตัวเองซิว่า การกระทำแบบไหนของคุณที่เป็นตัวบ่อนทำลายการไดเอท เช่น ชอบไปกินข้าวกับเพื่อนหลังเลิกงาน ชอบดื่มกาแฟหวานจัดหลังอาหาร หรือต้องเปิดตู้เย็นทันทีที่กลับถึงบ้าน จากนั้นก็เปลี่ยนนิสัยให้ได้ ความอ้วนเริ่มที่ตัวเราก็ต้องจบที่ตัวเราได้เหมือนกันค่ะ
ที่มา : spicy
นิสัยแบบนี้ ขอรีเควสให้สาวๆ มีติดตัวเอาไว้ เพื่อหุ่นเพรียวเรียวสลิมจะได้เป็นของคุณทุกคนเลยไง
1. จดบันทึกสิ่งที่กิน
ทั้งมื้อเช้า กลางวัน เย็น รวมทั้งของว่างที่คุณส่งลงกระเพาะทั้งหมดด้วย เพื่อจะได้รู้ว่าน้ำหนักส่วนเกินของคุณมาจากอาหารประเภทไหน จะได้ตัดมันทิ้งไปจากชีวิตซะเลย
2. เลิกวิธีไดเอทที่ไม่เวิร์ค
การลดความอ้วนทำได้หลายแบบ แทนที่จะทู่ซี้อยู่กับวิธีเดิมๆ ที่แสนจะทรมานแถมยังไม่ได้ผล สาวๆ ควรจะเลือกวิธีที่คุณชอบที่สุด และคิดว่าจะทำได้นานที่สุดจะดีกว่า อย่าทนใช้วิธีโหดๆ ที่ร่างกายคุณรับไม่ได้ หรือวิธีที่เพื่อนใช้ได้ผลมาแล้ว เพราะมันจะไม่เวิร์คกับคุณเลยก็ได้
3. ดื่มน้ำทุกครั้งที่หิว
นิสัยแบบนี้สุขภาพช้อบ..ชอบ เพราะสุขภาพเราจะดีขึ้นมาทันตาเห็น ถ้าดื่มน้ำมากๆ เป็นประจำ นอกจากนี้การจิบน้ำ 1 แก้วทุกครั้งที่หิวจะช่วยให้คุณกินอะไรได้น้อยลง บางทีดื่มน้ำแล้วอาจจะหายหิว ไม่ต้องกินไปเลยก็ได้
4. ทำให้การไดเอทเป็นนิสัยถาวร
ถ้ากินจนอ้วนแล้วค่อยกลับมาไดเอท บางทีวิธีเดิมที่เคยได้ผลก็อาจจะไม่ได้ผลแล้วก็ได้ เพราะร่างกายเราจะเกิดความเคยชินกับรูปแบบการไดเอทที่เคยผ่านมาแล้ว ทำให้ลดความอ้วนได้ยากขึ้นกว่าเดิม ฉะนั้นควรจะรักษารูปแบบการกินตอนไดเอทเอาไว้ตลอดเวลา ฝึกให้เป็นนิสัยประจำตัวไปเลย แบบนี้รับรองผอมนานสวยทน
5. เทอาหารใส่จานทุกครั้ง
ที่ให้ทำแบบนี้เพราะเวลาเราตักอาหารจากห่อหรือถึงขึ้นมากินตรงๆ เรามักจะเผลอกินจนเพลิน กว่าจะรู้ตัวอีกทีมันฝรั่งก็เกลี้ยงถุงหรือไอติมหมดถังซะแล้ว แต่ถ้าสาวๆ เทอาหารใส่จานก่อน คุณก็จะกะปริมาณได้ว่าควรจะกินแค่ไหนถึงจะไม่ฉีกกฏความผอม
6. ซื้ออาหารที่มีคำว่าไดเอทเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลมแบบไดเอท นมแบบไดเอท (นมพร่องมันเนย) ไอศกรีมแบบไดเอท (ไอศกรีมโยเกิร์ต) น้ำสลัดแบบไดเอท (ไขมันต่ำ) ถ้ายอมเสียเวลาเลือกสักหน่อย คุณจะได้หม่ำของอร่อยที่ไม่ทำให้อ้วน และอาหารไดเอทพวกนี้มักจะมีน้ำตาลน้อย กินแล้วช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้นด้วย
7. อย่าทำให้ตู้เย็นว่าง
นิสัยนี้น่าจะถูกใจสาวนักช้อปที่เราอยากให้สาวๆ มีของกินแคลอรี่ต่ำติดตู้เย็นเอาไว้เสมอ ก็เพื่อให้หยิบกินได้ทันทีเวลาหิว ไม่อย่างนั้นถ้าหิวซ่กกลับมาเจอกับตู้ว่างๆ ก็คงไม่แคล้วแพ้ใจตัวเอง โทร.สั่งพิซซ่าหรือไก่ทอดมากินแน่ๆ
8. กินผักเป็นอันดับแรก
ให้ทำเป็นนิสัยเลยว่าอาหารคำแรกของแต่ละมื้อจะต้องเป็นผัก หรือถ้าเป็นไปได้ควรจะกินสลัดผักไปเลย 1 จาน เพื่อให้ร่างกายได้รับใยอาหาร ซึ่งเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้น้ำหนักลดเร็วขึ้น และการกินผักก่อนยังทำให้คุณหนักท้อง กินอะไรได้น้อยลงด้วย
9. อย่าทำกิจกรรมอื่นระหว่างกิน
นี่คือกฏเหล็กที่สาวหุ่นเพรียวต้องฝึกให้เป็นนิสัยเพราะการกินไปดูทีวีไป หรือกินไปอ่านหนังสือไปจะทำให้คุณกินเพลิน ยี่งเคี้ยวยิ่งมันส์ จนลืมดูว่ากินไปมากแค่ไหน กว่าจะละครเรื่องโปรดจะจบคุณก็กวาดกับข้าวหมดโต๊ะแล้ว เจอแบบนี้บ่อยๆ เรื่องผอมน่ะลืมไปได้เลย
10. มองหานิสัยบ่อนทำลาย
ลองสังเกตพฤติกรรมตัวเองซิว่า การกระทำแบบไหนของคุณที่เป็นตัวบ่อนทำลายการไดเอท เช่น ชอบไปกินข้าวกับเพื่อนหลังเลิกงาน ชอบดื่มกาแฟหวานจัดหลังอาหาร หรือต้องเปิดตู้เย็นทันทีที่กลับถึงบ้าน จากนั้นก็เปลี่ยนนิสัยให้ได้ ความอ้วนเริ่มที่ตัวเราก็ต้องจบที่ตัวเราได้เหมือนกันค่ะ
ที่มา : spicy
12.11.08
ดื่มน้ำอุ่น ลดปัญหาผิวขาดความชุ่มชื้นและแตกลาย
ดื่มน้ำอุ่น ลดปัญหาผิวขาดความชุ่มชื้นและแตกลาย
วิธีดูแลผิวหน้าหนาวสำหรับสาวๆ ผิวแห้งตอนนี้เริ่มเข้าหน้าหนาวกันแล้ว สิ่งที่เห็นได้จากความเปลี่ยนแปลงของร่างกายคือสุขภาพผิวนั่นเอง โดยเฉพาะผิวแห้งยิ่งเป็นปัญหาใหญ่และเห็นได้ชัด หากไม่ได้รับการบำรุงดูแลเอาใจใส่แล้ว อาจจะทำให้ผิวของคุณเสียและขาดความมั่นใจ เพราะเกิดปัญหาผิวแตกลายได้ จึงมีวิธีมาแนะนำสำหรับสาวๆ ที่กำลังประสบปัญหาผิวช่วงหน้าหนาว กระชับรูขุมขนช่วงหน้าหนาว อากาศหนาวจะทำให้ผิวของคนเราขาดความชุ่มชื่น โดยเฉพาะตอนที่เราอาบน้ำจะทำให้ผิวของเรามีความตึงมากยิ่งขึ้นกว่าปกติ หลังจากที่เราอาบน้ำแล้วภายใน 3 นาที เราก็ควรที่จะทาโลชั่นทันที เพื่อป้องกันผิวแตกแห้ง และเกิดเป็นขุยขาวได้ สำหรับคนที่มีรูขุมขนกว้าง โดยเฉพาะคนที่ย่างเข้าวัย 20 ปลายๆ อาจจะรู้สึกว่ารูขุมขนดูขยายใหญ่ขึ้น ทุกๆ เช้าหลังล้างหน้า ให้นำน้ำแข็งลูบให้ทั่วหน้า ทำทุกวันจะรู้สึกได้เลยค่ะ ว่ารูขุมขนกระชับขึ้น ในระหว่างวันก็ดื่มน้ำอุ่นให้มากๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิวด้วยคะ ดูแลผิวหน้าหนาวสำหรับสาวผิวแห้ง ผิวแห้งเป็นปัญหาที่เกิดจากผิวขาดวิตามินและความชุ่มชื้น โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวนี้ยิ่งแล้วใหญ่ อากาศหนาวจะทำให้ผิวของคุณแห้งยิ่งกว่าเดิม นอกจากคุณจะบำรุงผิวด้วยครีมบำรุงแล้วก็ควรที่จะดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อผิวแห้งจะได้ชุ่มชื้นขึ้น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวนี่เป็นเรื่องที่ควรคำนึงถึงใช่ย่อยนะคะ แทนที่คุณสาวๆ ผิวแห้งจะใช้ผลิตภัณฑ์แบบต้องใช้น้ำเปล่าล้างเหมือนเคย ลองเปลี่ยนมาเป็นประเภทน้ำนมทำความสะอาดผิวดู เพราะนอกจากจะช่วยทำความสะอาดเครื่องสำอางและสลายเซลล์ผิวเก่าแล้ว ยังช่วยให้คุณสาวๆ ผิวนุ่มชุ่มชื่นขึ้นด้วยล่ะค่ะ หนาวนี้สาวผิวแห้งก็คงจะทราบแล้วว่าควรจะทำอย่างไร เพื่อที่จะกระชับผิวให้ผิวมีสุขภาพดี ไม่แห้งแตกลายในช่วงหน้าหนาวที่กำลังประสบอยู่
ที่มา..สยามดารา
วิธีดูแลผิวหน้าหนาวสำหรับสาวๆ ผิวแห้งตอนนี้เริ่มเข้าหน้าหนาวกันแล้ว สิ่งที่เห็นได้จากความเปลี่ยนแปลงของร่างกายคือสุขภาพผิวนั่นเอง โดยเฉพาะผิวแห้งยิ่งเป็นปัญหาใหญ่และเห็นได้ชัด หากไม่ได้รับการบำรุงดูแลเอาใจใส่แล้ว อาจจะทำให้ผิวของคุณเสียและขาดความมั่นใจ เพราะเกิดปัญหาผิวแตกลายได้ จึงมีวิธีมาแนะนำสำหรับสาวๆ ที่กำลังประสบปัญหาผิวช่วงหน้าหนาว กระชับรูขุมขนช่วงหน้าหนาว อากาศหนาวจะทำให้ผิวของคนเราขาดความชุ่มชื่น โดยเฉพาะตอนที่เราอาบน้ำจะทำให้ผิวของเรามีความตึงมากยิ่งขึ้นกว่าปกติ หลังจากที่เราอาบน้ำแล้วภายใน 3 นาที เราก็ควรที่จะทาโลชั่นทันที เพื่อป้องกันผิวแตกแห้ง และเกิดเป็นขุยขาวได้ สำหรับคนที่มีรูขุมขนกว้าง โดยเฉพาะคนที่ย่างเข้าวัย 20 ปลายๆ อาจจะรู้สึกว่ารูขุมขนดูขยายใหญ่ขึ้น ทุกๆ เช้าหลังล้างหน้า ให้นำน้ำแข็งลูบให้ทั่วหน้า ทำทุกวันจะรู้สึกได้เลยค่ะ ว่ารูขุมขนกระชับขึ้น ในระหว่างวันก็ดื่มน้ำอุ่นให้มากๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิวด้วยคะ ดูแลผิวหน้าหนาวสำหรับสาวผิวแห้ง ผิวแห้งเป็นปัญหาที่เกิดจากผิวขาดวิตามินและความชุ่มชื้น โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวนี้ยิ่งแล้วใหญ่ อากาศหนาวจะทำให้ผิวของคุณแห้งยิ่งกว่าเดิม นอกจากคุณจะบำรุงผิวด้วยครีมบำรุงแล้วก็ควรที่จะดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อผิวแห้งจะได้ชุ่มชื้นขึ้น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวนี่เป็นเรื่องที่ควรคำนึงถึงใช่ย่อยนะคะ แทนที่คุณสาวๆ ผิวแห้งจะใช้ผลิตภัณฑ์แบบต้องใช้น้ำเปล่าล้างเหมือนเคย ลองเปลี่ยนมาเป็นประเภทน้ำนมทำความสะอาดผิวดู เพราะนอกจากจะช่วยทำความสะอาดเครื่องสำอางและสลายเซลล์ผิวเก่าแล้ว ยังช่วยให้คุณสาวๆ ผิวนุ่มชุ่มชื่นขึ้นด้วยล่ะค่ะ หนาวนี้สาวผิวแห้งก็คงจะทราบแล้วว่าควรจะทำอย่างไร เพื่อที่จะกระชับผิวให้ผิวมีสุขภาพดี ไม่แห้งแตกลายในช่วงหน้าหนาวที่กำลังประสบอยู่
ที่มา..สยามดารา
11.11.08
10 วิธีลดความเสี่ยง และห่างไกลจากโรคมะเร็ง
10 วิธีลดความเสี่ยง และห่างไกลจากโรคมะเร็ง
นี่คือคำแนะนำ 10 ประการ ที่คุณสามารถลงมือปฏิบัติได้เพื่อชีวิตที่ห่างไกลจากโรคมะเร็ง สิ่งที่คุณจะอ่านต่อไปนี้ไม่มีอะไรใหม่ เว้นแต่ว่า คุณได้ปฏิบัติตามบ้างแล้วหรือยัง
1. ลด หรือเลิกบุหรี่
ในแต่ละปี มะเร็งปอดคร่าชีวิตผู้คนไปมากที่สุดในบรรดามะเร็งชนิดต่างๆ ทั้งหมด ดังนั้น หากคุณติดบุหรี่ การเลิกสูบเสียแต่วันนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมครั้งสำคัญที่สุดที่จะลดความเสี่ยงจากมะเร็งปอดและโรคอื่นๆ ที่มีสาเหตุมาจากบุหรี่ เลิกบุหรี่อาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คุณสามารถขอคำปรึกษาถึงวิธีการเลิกแบบต่างๆ จากแพทย์ได้ ทั้งการรักษาด้วยยาหรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งวิธีการเหล่านี้จะช่วยทำให้คุณเลิกบุหรี่ได้
2. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
หลายคนคงยังจำได้ดีเวลาถูกพ่อแม่บังคับให้กินผักและก็คงไม่ได้คิดว่าพวกท่านจะทราบอะไรดีๆ ที่พวกเราไม่รู้ แต่การถูกบังคับให้กินผักนี้กลับเป็นประโยชน์มากต่อตัวเราเอง เพราะผักจำพวก บร็อคโคลี่ กะหล่ำดอก กะหล่ำปลีและกะหล่ำดาวที่คนส่วนน้อยจะชอบรับประทานนั้น กลับอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นในการต่อสู้กับมะเร็ง รวมทั้งเป็นส่วนประกอบสำคัญในตำรับอาหารต้านมะเร็ง นอกจากนี้ ผลเบอร์รี่ ถั่วแดงและชาเขียวก็อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับไวน์แดง ช็อกโกแลต และถั่วพีแกน ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ช่วยร่างกายต่อต้านปฏิกิริยาเคมีที่ส่งผลร้ายต่อเซลล์ปกติซึ่งในท้ายที่สุดอาจกลายเป็นเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตาม ควรเลือกรับประทานแต่พอประมาณ
3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายนานครั้งละ 30 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งหลายชนิด อาทิ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ การออกกำลังกายในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงแบบนักกีฬา แต่การเล่นโยคะ เดิน หรือเต้นแอโรบิกก็ถือเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งได้ดีที่สุดเช่นกัน นอกจากนี้การออกกำลังกายยังช่วยไม่ให้คุณเป็นโรคอ้วน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งหลายชนิด
4. ตรวจสุขภาพประจำปี
มีหลักฐานยืนยันว่า การตรวจสุขภาพประจำปีและการตรวจพบมะเร็งแต่เนิ่น ๆ ทำให้โอกาสที่จะรักษาจนหายก็มีมากขึ้นเท่านั้น และยังช่วยให้การรักษาฟื้นฟูทำได้เร็วขึ้นโดยมีผลข้างเคียงลดลง ดังนั้น ควรตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอและขอคำแนะนำจากแพทย์เรื่องการตรวจคัดกรองมะเร็งที่เหมาะกับวัยของคุณ เช่น ผู้หญิงในวัย 40 ปีขึ้นไปควรทำเมมโมแกรมเพื่อตรวจหามะเร็งเต้านม หรือชายในวัย 40 ปีขึ้นไปควรตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมาก โดยที่มะเร็งบางชนิดอาจไม่แสดงอาการในระยะเริ่มแรก
5. ดื่มแต่พอดี
การดื่มแอลกอฮอล์ที่มากเกินไปอาจเป็นผลร้ายต่อตับมากเป็นพิเศษ แม้แพทย์จะแนะนำให้ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะ (ไม่เกิน 2 แก้วต่อวัน)
6. สืบสาวเรื่องราวครอบครัว
มะเร็งหลายชนิดมักเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ หรือพูดง่ายๆ มะเร็งสามารถสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้ ดังนั้นการได้ทราบว่าคนในครอบครัวของคุณมีประวัติเจ็บป่วยด้วยมะเร็งชนิดใดถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการป้องกันมะเร็ง โดยการพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง และควรแจ้งประวัติการเจ็บป่วยของคนในครอบครัวให้แพทย์ทราบ เพื่อแพทย์จะสามารถให้คำแนะนำและดูแลคุณได้อย่างเหมาะสม
7. หลีกเลี่ยงแสงแดด
รังสีอัลตร้าไวโอเล็ต (ยูวี) ในแสงแดดเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งผิวหนังซึ่งส่วนมากแล้วสามารถป้องกันได้ง่ายๆ 2 วิธี คือ ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปเมื่อต้องอยู่กลางแจ้ง และพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรงในช่วงเวลา 10 - 16 น. ซึ่งเป็นช่วงที่รังสียูวีมีความเข้มสูงสุด
8. มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยไม่เพียงช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูกซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการเสียชีวิตของผู้หญิงไทยและผู้หญิงทั่วโลก เชื่อกันว่าประมาณร้อยละ 70 ของมะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุมาจาก Human Papillomavirus (HPV) ที่สำคัญ เชื้อ HPV นี้ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งที่ทวารหนักและอวัยวะเพศอีกด้วย แต่ปัจจุบัน มีการพัฒนาวัคซีนชนิดใหม่ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อ HPV ได้ในระดับหนึ่ง โดยต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์
9. นอนหลับให้สนิท
จากการศึกษาพบว่าการนอนหลับให้สนิทจะมีผลไม่ทำให้เป็นมะเร็ง เนื่องจากมีผลการศึกษาพบว่าสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สมองผลิตในระหว่างการนอนหลับมีคุณสมบัติในการต่อสู้กับมะเร็ง แต่เมลาโทนินจะช่วยป้องกันมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อ การนอนนั้นเป็นการนอนหลับอย่างสนิท ต่อเนื่องในห้องมืดเท่านั้น
10. หลีกเลี่ยงการเผชิญกับสารเคมีอันตราย
สารจำพวก ยาฆ่าแมลง น้ำยาทำความสะอาด น้ำมันเบนซินนั้น เต็มไปด้วยสารเคมีอันตรายที่เกี่ยวโยงกับการเกิดมะเร็ง แม้การควบคุมสิ่งแวดล้อมรอบตัวจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การจำกัด หรือหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีเหล่านี้ในบ้าน
หรือที่ทำงานย่อมเป็นการลดโอกาสในการสัมผัสกับสารก่อมะเร็ง นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารกันไฟ หรือ PBDE ซึ่งมักจะใช้กับผ้า เฟอร์นิเจอร์และสินค้าอิเล็กโทรนิกต่างๆ ด้วยเช่นกัน.
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
นี่คือคำแนะนำ 10 ประการ ที่คุณสามารถลงมือปฏิบัติได้เพื่อชีวิตที่ห่างไกลจากโรคมะเร็ง สิ่งที่คุณจะอ่านต่อไปนี้ไม่มีอะไรใหม่ เว้นแต่ว่า คุณได้ปฏิบัติตามบ้างแล้วหรือยัง
1. ลด หรือเลิกบุหรี่
ในแต่ละปี มะเร็งปอดคร่าชีวิตผู้คนไปมากที่สุดในบรรดามะเร็งชนิดต่างๆ ทั้งหมด ดังนั้น หากคุณติดบุหรี่ การเลิกสูบเสียแต่วันนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมครั้งสำคัญที่สุดที่จะลดความเสี่ยงจากมะเร็งปอดและโรคอื่นๆ ที่มีสาเหตุมาจากบุหรี่ เลิกบุหรี่อาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คุณสามารถขอคำปรึกษาถึงวิธีการเลิกแบบต่างๆ จากแพทย์ได้ ทั้งการรักษาด้วยยาหรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งวิธีการเหล่านี้จะช่วยทำให้คุณเลิกบุหรี่ได้
2. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
หลายคนคงยังจำได้ดีเวลาถูกพ่อแม่บังคับให้กินผักและก็คงไม่ได้คิดว่าพวกท่านจะทราบอะไรดีๆ ที่พวกเราไม่รู้ แต่การถูกบังคับให้กินผักนี้กลับเป็นประโยชน์มากต่อตัวเราเอง เพราะผักจำพวก บร็อคโคลี่ กะหล่ำดอก กะหล่ำปลีและกะหล่ำดาวที่คนส่วนน้อยจะชอบรับประทานนั้น กลับอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นในการต่อสู้กับมะเร็ง รวมทั้งเป็นส่วนประกอบสำคัญในตำรับอาหารต้านมะเร็ง นอกจากนี้ ผลเบอร์รี่ ถั่วแดงและชาเขียวก็อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับไวน์แดง ช็อกโกแลต และถั่วพีแกน ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ช่วยร่างกายต่อต้านปฏิกิริยาเคมีที่ส่งผลร้ายต่อเซลล์ปกติซึ่งในท้ายที่สุดอาจกลายเป็นเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตาม ควรเลือกรับประทานแต่พอประมาณ
3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายนานครั้งละ 30 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งหลายชนิด อาทิ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ การออกกำลังกายในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงแบบนักกีฬา แต่การเล่นโยคะ เดิน หรือเต้นแอโรบิกก็ถือเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งได้ดีที่สุดเช่นกัน นอกจากนี้การออกกำลังกายยังช่วยไม่ให้คุณเป็นโรคอ้วน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งหลายชนิด
4. ตรวจสุขภาพประจำปี
มีหลักฐานยืนยันว่า การตรวจสุขภาพประจำปีและการตรวจพบมะเร็งแต่เนิ่น ๆ ทำให้โอกาสที่จะรักษาจนหายก็มีมากขึ้นเท่านั้น และยังช่วยให้การรักษาฟื้นฟูทำได้เร็วขึ้นโดยมีผลข้างเคียงลดลง ดังนั้น ควรตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอและขอคำแนะนำจากแพทย์เรื่องการตรวจคัดกรองมะเร็งที่เหมาะกับวัยของคุณ เช่น ผู้หญิงในวัย 40 ปีขึ้นไปควรทำเมมโมแกรมเพื่อตรวจหามะเร็งเต้านม หรือชายในวัย 40 ปีขึ้นไปควรตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมาก โดยที่มะเร็งบางชนิดอาจไม่แสดงอาการในระยะเริ่มแรก
5. ดื่มแต่พอดี
การดื่มแอลกอฮอล์ที่มากเกินไปอาจเป็นผลร้ายต่อตับมากเป็นพิเศษ แม้แพทย์จะแนะนำให้ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะ (ไม่เกิน 2 แก้วต่อวัน)
6. สืบสาวเรื่องราวครอบครัว
มะเร็งหลายชนิดมักเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ หรือพูดง่ายๆ มะเร็งสามารถสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้ ดังนั้นการได้ทราบว่าคนในครอบครัวของคุณมีประวัติเจ็บป่วยด้วยมะเร็งชนิดใดถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการป้องกันมะเร็ง โดยการพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง และควรแจ้งประวัติการเจ็บป่วยของคนในครอบครัวให้แพทย์ทราบ เพื่อแพทย์จะสามารถให้คำแนะนำและดูแลคุณได้อย่างเหมาะสม
7. หลีกเลี่ยงแสงแดด
รังสีอัลตร้าไวโอเล็ต (ยูวี) ในแสงแดดเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งผิวหนังซึ่งส่วนมากแล้วสามารถป้องกันได้ง่ายๆ 2 วิธี คือ ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปเมื่อต้องอยู่กลางแจ้ง และพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรงในช่วงเวลา 10 - 16 น. ซึ่งเป็นช่วงที่รังสียูวีมีความเข้มสูงสุด
8. มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยไม่เพียงช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูกซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการเสียชีวิตของผู้หญิงไทยและผู้หญิงทั่วโลก เชื่อกันว่าประมาณร้อยละ 70 ของมะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุมาจาก Human Papillomavirus (HPV) ที่สำคัญ เชื้อ HPV นี้ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งที่ทวารหนักและอวัยวะเพศอีกด้วย แต่ปัจจุบัน มีการพัฒนาวัคซีนชนิดใหม่ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อ HPV ได้ในระดับหนึ่ง โดยต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์
9. นอนหลับให้สนิท
จากการศึกษาพบว่าการนอนหลับให้สนิทจะมีผลไม่ทำให้เป็นมะเร็ง เนื่องจากมีผลการศึกษาพบว่าสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สมองผลิตในระหว่างการนอนหลับมีคุณสมบัติในการต่อสู้กับมะเร็ง แต่เมลาโทนินจะช่วยป้องกันมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อ การนอนนั้นเป็นการนอนหลับอย่างสนิท ต่อเนื่องในห้องมืดเท่านั้น
10. หลีกเลี่ยงการเผชิญกับสารเคมีอันตราย
สารจำพวก ยาฆ่าแมลง น้ำยาทำความสะอาด น้ำมันเบนซินนั้น เต็มไปด้วยสารเคมีอันตรายที่เกี่ยวโยงกับการเกิดมะเร็ง แม้การควบคุมสิ่งแวดล้อมรอบตัวจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การจำกัด หรือหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีเหล่านี้ในบ้าน
หรือที่ทำงานย่อมเป็นการลดโอกาสในการสัมผัสกับสารก่อมะเร็ง นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารกันไฟ หรือ PBDE ซึ่งมักจะใช้กับผ้า เฟอร์นิเจอร์และสินค้าอิเล็กโทรนิกต่างๆ ด้วยเช่นกัน.
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
10.11.08
ผู้หญิงกรุงเทพฯ... ครองแชมป์มะเร็งเต้านม หมอยืนยัน...โรคร้ายแต่ไม่น่ากลัว
ผู้หญิงกรุงเทพฯ... ครองแชมป์มะเร็งเต้านม หมอยืนยัน...โรคร้ายแต่ไม่น่ากลัว
อดีตนั้นผู้หญิงหลายคนต้องประหวั่นพรั่นพรึงกับเจ้าภัยร้ายอย่าง "มะเร็งเต้านม" เพราะแม้ว่าไม่ใช่มะเร็งร้ายแรง แต่หนทางการรักษาที่ผู้หญิงส่วนใหญ่รับทราบนั้น ก็คือ "การตัดเต้านม" และนี่เป็นเรื่องที่สร้างความเสียใจและทำใจไม่ได้ เพราะหน้าอกหน้าใจถือเป็นสิ่งสำคัญของผู้หญิง
ทว่า..ปัจจุบัน วิทยาการการรักษามะเร็งเต้านมเจริญรุดหน้าไปมาก หากผู้หญิงที่เป็นโรคนี้ 80 เปอร์เซ็นต์ รักษาหายขาดโดยไม่ต้องตัดเต้านมและกลับมาดำรงชีวิตได้ตามปกติ
จากประสบการณ์เป็นศัลยแพทย์ 10 ปี การเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งเต้านม 5 ปี อ.นพ.มาวิน วงศ์สายสุวรรณ หนึ่งในแพทย์ประจำศูนย์สิริกิติ์บรมราชินีนาถ (เพื่อมะเร็งเต้านม) โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย บอกว่า ปัจจุบันมีอัตราผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งสูงขึ้น จากเดิมเมื่อ 10 ปีก่อน 10 ต่อแสนคน ขณะนี้เพิ่มขึ้นเป็น 20-30 ต่อแสนคน สาเหตุที่เพิ่มสูงขึ้นเพราะผู้หญิงหันมาใส่ใจตรวจมะเร็งเต้านมมากขึ้น ส่วนใหญ่พบในผู้สูงอายุ อายุมากที่สุด 93 ปี อายุต่ำสุด 21 ปี
นอกจากนี้ยังพบในผู้หญิงที่รับประทานยาฮอร์โมนจำนวนมาก จนทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนมากเกินไป เช่น ยาคุม ยาสิว จากสถิติผู้ป่วยโรคมะเร็งมักเกิดกับผู้หญิงอยู่ดีกินดี คนในเมืองใหญ่มักเป็นมากกว่าคนในเมืองเล็ก คนกรุงเทพฯ มีอัตราผู้ป่วยสูงสุด รองลงมาคือเชียงใหม่ สงขลา และขอนแก่น
เพื่อยืนยันว่ามะเร็งเต้านมรักษาง่าย หายขาดสูง อ.นพ.มาวินบอกว่า ผู้หญิงตั้งครรภ์ที่ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมยังสามารถรักษาหายได้และเด็กในครรภ์ปลอดภัย คลอดออกมาสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์
"ผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมขณะตั้งครรภ์นั้น ในประเทศไทยมีเพียง 1 ใน 3,000 คน จากประสบการณ์มีคนท้องเป็นมะเร็งเต้านม 6 ราย แต่ละรายมาในอาการหนักเบาต่างกัน มี 4 รายที่รักษาหายขาด สามารถเก็บเต้านมและลูกไว้ได้ ส่วนอีก 2 รายต้องทำแท้ง เนื่องจากอายุครรภ์ไม่ถึง 3 เดือน เด็กอวัยวะไม่ครบ 32 และเป็นมะเร็งในระยะอันตรายแล้ว แต่สามารถรักษาให้หายได้"
อ.นพ.มาวินทิ้งท้ายว่า หากเปรียบเทียบมะเร็งเต้านมกับมะเร็งชนิดอื่น เช่น มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งชนิดนี้ถือว่าเบาที่สุด เพราะเป็นอวัยวะภายนอกที่พบเจอได้ง่าย กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ตรวจเจอด้วยตัวเองก่อนแล้วจึงมาพบแพทย์ จึงอยากให้ผู้หญิงหันมาใส่ใจด้วยการตรวจเช็คมะเร็งด้วยตัวเองทุกเดือนหลังหมดประจำเดือน 2-3 วัน โดยเฉพาะผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไป ควรตรวจมะเร็งที่โรงพยาบาลปีละครั้งทุกปี เพราะยิ่งพบเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งรักษาให้หายขาดง่ายขึ้นเท่านั้น
สำหรับสัญญาณเสี่ยงมะเร็งเต้านม 1.ผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป 2.ญาติพี่น้องเคยเป็นมะเร็ง 3.กินยาคุมเกิน 5 ปี 4.อายุเกิน 35 ปีแล้วไม่มีบุตร 5.มีประจำเดือนเร็ว ตั้งแต่ 12 ปี 6.ประจำเดือนหมดช้า อายุ 55 ปี 7.สูบบุหรี่ 8.หากคลำพบก้อนเนื้อผิดปกติควรพบแพทย์ทันที บางคนเชื่อผิดๆ ว่าถ้าไม่เจ็บไม่มา ทั้งที่จริง ก้อนไม่เจ็บคือตัวอันตราย 9.หัวนมเป็นผื่น 10.เลือดออกที่เต้านม
"สำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ขอให้ตั้งสติให้ดี อย่าวิตกกังวลเกินเหตุ ขอให้เชื่อในการรักษา และอย่าเชื่อคนอื่นว่ารักษาไม่หาย หรือมีผลข้างเคียงมากมาย ซึ่งขณะนี้มีผลข้างเคียงที่ยังแก้ไม่ได้แค่อาการผมร่วงกับคลื่นไส้ ขอให้ทุกคนมีกำลังใจสู้กับโรคที่ต่อไปนี้มีคำว่าหายแน่นอน"
แม้จะเป็นโรคที่มีคำว่า "หาย" แต่เพื่อความไม่ประมาทผู้หญิงควรใส่ใจดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง
ที่มา : มติชน
อดีตนั้นผู้หญิงหลายคนต้องประหวั่นพรั่นพรึงกับเจ้าภัยร้ายอย่าง "มะเร็งเต้านม" เพราะแม้ว่าไม่ใช่มะเร็งร้ายแรง แต่หนทางการรักษาที่ผู้หญิงส่วนใหญ่รับทราบนั้น ก็คือ "การตัดเต้านม" และนี่เป็นเรื่องที่สร้างความเสียใจและทำใจไม่ได้ เพราะหน้าอกหน้าใจถือเป็นสิ่งสำคัญของผู้หญิง
ทว่า..ปัจจุบัน วิทยาการการรักษามะเร็งเต้านมเจริญรุดหน้าไปมาก หากผู้หญิงที่เป็นโรคนี้ 80 เปอร์เซ็นต์ รักษาหายขาดโดยไม่ต้องตัดเต้านมและกลับมาดำรงชีวิตได้ตามปกติ
จากประสบการณ์เป็นศัลยแพทย์ 10 ปี การเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งเต้านม 5 ปี อ.นพ.มาวิน วงศ์สายสุวรรณ หนึ่งในแพทย์ประจำศูนย์สิริกิติ์บรมราชินีนาถ (เพื่อมะเร็งเต้านม) โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย บอกว่า ปัจจุบันมีอัตราผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งสูงขึ้น จากเดิมเมื่อ 10 ปีก่อน 10 ต่อแสนคน ขณะนี้เพิ่มขึ้นเป็น 20-30 ต่อแสนคน สาเหตุที่เพิ่มสูงขึ้นเพราะผู้หญิงหันมาใส่ใจตรวจมะเร็งเต้านมมากขึ้น ส่วนใหญ่พบในผู้สูงอายุ อายุมากที่สุด 93 ปี อายุต่ำสุด 21 ปี
นอกจากนี้ยังพบในผู้หญิงที่รับประทานยาฮอร์โมนจำนวนมาก จนทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนมากเกินไป เช่น ยาคุม ยาสิว จากสถิติผู้ป่วยโรคมะเร็งมักเกิดกับผู้หญิงอยู่ดีกินดี คนในเมืองใหญ่มักเป็นมากกว่าคนในเมืองเล็ก คนกรุงเทพฯ มีอัตราผู้ป่วยสูงสุด รองลงมาคือเชียงใหม่ สงขลา และขอนแก่น
เพื่อยืนยันว่ามะเร็งเต้านมรักษาง่าย หายขาดสูง อ.นพ.มาวินบอกว่า ผู้หญิงตั้งครรภ์ที่ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมยังสามารถรักษาหายได้และเด็กในครรภ์ปลอดภัย คลอดออกมาสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์
"ผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมขณะตั้งครรภ์นั้น ในประเทศไทยมีเพียง 1 ใน 3,000 คน จากประสบการณ์มีคนท้องเป็นมะเร็งเต้านม 6 ราย แต่ละรายมาในอาการหนักเบาต่างกัน มี 4 รายที่รักษาหายขาด สามารถเก็บเต้านมและลูกไว้ได้ ส่วนอีก 2 รายต้องทำแท้ง เนื่องจากอายุครรภ์ไม่ถึง 3 เดือน เด็กอวัยวะไม่ครบ 32 และเป็นมะเร็งในระยะอันตรายแล้ว แต่สามารถรักษาให้หายได้"
อ.นพ.มาวินทิ้งท้ายว่า หากเปรียบเทียบมะเร็งเต้านมกับมะเร็งชนิดอื่น เช่น มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งชนิดนี้ถือว่าเบาที่สุด เพราะเป็นอวัยวะภายนอกที่พบเจอได้ง่าย กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ตรวจเจอด้วยตัวเองก่อนแล้วจึงมาพบแพทย์ จึงอยากให้ผู้หญิงหันมาใส่ใจด้วยการตรวจเช็คมะเร็งด้วยตัวเองทุกเดือนหลังหมดประจำเดือน 2-3 วัน โดยเฉพาะผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไป ควรตรวจมะเร็งที่โรงพยาบาลปีละครั้งทุกปี เพราะยิ่งพบเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งรักษาให้หายขาดง่ายขึ้นเท่านั้น
สำหรับสัญญาณเสี่ยงมะเร็งเต้านม 1.ผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป 2.ญาติพี่น้องเคยเป็นมะเร็ง 3.กินยาคุมเกิน 5 ปี 4.อายุเกิน 35 ปีแล้วไม่มีบุตร 5.มีประจำเดือนเร็ว ตั้งแต่ 12 ปี 6.ประจำเดือนหมดช้า อายุ 55 ปี 7.สูบบุหรี่ 8.หากคลำพบก้อนเนื้อผิดปกติควรพบแพทย์ทันที บางคนเชื่อผิดๆ ว่าถ้าไม่เจ็บไม่มา ทั้งที่จริง ก้อนไม่เจ็บคือตัวอันตราย 9.หัวนมเป็นผื่น 10.เลือดออกที่เต้านม
"สำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ขอให้ตั้งสติให้ดี อย่าวิตกกังวลเกินเหตุ ขอให้เชื่อในการรักษา และอย่าเชื่อคนอื่นว่ารักษาไม่หาย หรือมีผลข้างเคียงมากมาย ซึ่งขณะนี้มีผลข้างเคียงที่ยังแก้ไม่ได้แค่อาการผมร่วงกับคลื่นไส้ ขอให้ทุกคนมีกำลังใจสู้กับโรคที่ต่อไปนี้มีคำว่าหายแน่นอน"
แม้จะเป็นโรคที่มีคำว่า "หาย" แต่เพื่อความไม่ประมาทผู้หญิงควรใส่ใจดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง
ที่มา : มติชน
9.11.08
สวยด้วยนม นมทำให้ผมสวย หมักผมด้วยนม
สวยด้วยนม
ทราบหรือไม่ว่า นม ที่ดื่มกันเป็นประจำ นอกจากจะมีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ยังสามารถทำให้เราสวยได้เหมือนกัน … น้ำนมถ้านำมาหมักผม ก็จะช่วยเพิ่มคุณค่าโปรตีน หรือนำมาชะโลมผิวเพื่อความนุ่มนวล และถ้ายิ่งดื่มได้ ก็ยิ่งดีต่อสุขภาพเข้าไปใหญ่
สูตรหมักผม คือ ผสมนมผงกับน้ำ 1 ถ้วย จากนั้นนำไปหมักผมที่แห้งให้ทั่ว นำผ้าขนหนูที่จุ่มน้ำอุ่นหมาด ๆ บิดให้แห้งแล้วพันไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที เปลี่ยนผ้าขนหนูถ้าหมดความร้อน แล้วสระออกด้วยแชมพู เพียงเท่านี้ผมก็จะสวยไม่แพ้การหมักด้วยเบียร์แน่นอน
สูตรสวยสำหรับใบหน้า คือ ลองใช้สำลีชุบน้ำนมและใช้แทนโทนเนอร์ เสร็จแล้วให้ล้างออก ส่วนการสครับ ผิว คนผิวมันลองผสมนมผง 1 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา และน้ำมะนาวเข้าด้วยกัน จากนั้นนำมาสครับใบหน้า จะช่วยให้ผิวดูสดใสขึ้น ส่วนคนผิวแห้งถึงผิวธรรมดา ลองผสมแบบเดียวกันแต่ไม่เติมน้ำมะนาว รับรองว่าผิวจะสวย ขาว และดูพิสุทธิ์เหมือนน้ำนมเลย นอกจาก นม จะทำให้สุขภาพดีแล้ว
ยังสามารถทำให้เราดูสวยได้อีกด้วย ลองหันมาใช้ประโยชน์จาก นม กันได้.
ที่มา : เดลินิวส์
ทราบหรือไม่ว่า นม ที่ดื่มกันเป็นประจำ นอกจากจะมีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ยังสามารถทำให้เราสวยได้เหมือนกัน … น้ำนมถ้านำมาหมักผม ก็จะช่วยเพิ่มคุณค่าโปรตีน หรือนำมาชะโลมผิวเพื่อความนุ่มนวล และถ้ายิ่งดื่มได้ ก็ยิ่งดีต่อสุขภาพเข้าไปใหญ่
สูตรหมักผม คือ ผสมนมผงกับน้ำ 1 ถ้วย จากนั้นนำไปหมักผมที่แห้งให้ทั่ว นำผ้าขนหนูที่จุ่มน้ำอุ่นหมาด ๆ บิดให้แห้งแล้วพันไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที เปลี่ยนผ้าขนหนูถ้าหมดความร้อน แล้วสระออกด้วยแชมพู เพียงเท่านี้ผมก็จะสวยไม่แพ้การหมักด้วยเบียร์แน่นอน
สูตรสวยสำหรับใบหน้า คือ ลองใช้สำลีชุบน้ำนมและใช้แทนโทนเนอร์ เสร็จแล้วให้ล้างออก ส่วนการสครับ ผิว คนผิวมันลองผสมนมผง 1 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา และน้ำมะนาวเข้าด้วยกัน จากนั้นนำมาสครับใบหน้า จะช่วยให้ผิวดูสดใสขึ้น ส่วนคนผิวแห้งถึงผิวธรรมดา ลองผสมแบบเดียวกันแต่ไม่เติมน้ำมะนาว รับรองว่าผิวจะสวย ขาว และดูพิสุทธิ์เหมือนน้ำนมเลย นอกจาก นม จะทำให้สุขภาพดีแล้ว
ยังสามารถทำให้เราดูสวยได้อีกด้วย ลองหันมาใช้ประโยชน์จาก นม กันได้.
ที่มา : เดลินิวส์
8.11.08
นมถั่วเหลือง... ทางเลือกของคนแพ้นมวัว ไข่ อาหารทะเล
นมถั่วเหลือง... ทางเลือกของคนแพ้นมวัว ไข่ อาหารทะเล
คนยุคใหม่ต้องใส่ใจเรื่องสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ซึ่งของดีราคาแพงใช่ ว่าจะมีประโยชน์ไปซะทุกอย่าง ยุคนี้ต้องกินอย่างฉลาด อย่าง “นมถั่วเหลือง” เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ราคาไม่แพง รสชาติอร่อย หาซื้อได้ง่าย ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทาง โภชนาการ เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่รักสุขภาพทุกคน เพื่อเป็นการย้ำคุณค่าทางอาหารของถั่วเหลือง รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ข้อมูลว่า
ถั่วเหลืองเป็นแหล่งไขมันและโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย รวมทั้งอุดมไปด้วยสารอาหาร อีกมากมาย อาทิ คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ, บี, บี 1, บี 2, บี 6, บี 12, ไนอาซิน และในเมล็ด ถั่วเหลืองยังมีเลซิทิน ซึ่งเป็นสารบำรุงสมอง เพิ่มความทรงจำ ลดไขมันและ คอเลสเทอรอลในร่างกายได้อีกด้วย
ที่มา : ไทยรัฐ
คนยุคใหม่ต้องใส่ใจเรื่องสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ซึ่งของดีราคาแพงใช่ ว่าจะมีประโยชน์ไปซะทุกอย่าง ยุคนี้ต้องกินอย่างฉลาด อย่าง “นมถั่วเหลือง” เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ราคาไม่แพง รสชาติอร่อย หาซื้อได้ง่าย ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทาง โภชนาการ เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่รักสุขภาพทุกคน เพื่อเป็นการย้ำคุณค่าทางอาหารของถั่วเหลือง รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ข้อมูลว่า
ถั่วเหลืองเป็นแหล่งไขมันและโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย รวมทั้งอุดมไปด้วยสารอาหาร อีกมากมาย อาทิ คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ, บี, บี 1, บี 2, บี 6, บี 12, ไนอาซิน และในเมล็ด ถั่วเหลืองยังมีเลซิทิน ซึ่งเป็นสารบำรุงสมอง เพิ่มความทรงจำ ลดไขมันและ คอเลสเทอรอลในร่างกายได้อีกด้วย
ที่มา : ไทยรัฐ
7.11.08
รับมืออาการแพ้ของผิว
รับมืออาการแพ้ของผิว
ปัญหาผิวแห้งมีต้นเหตุจากปัจจัยมากมายหลายประการ เป็นต้นว่า จากสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว ส่วนผสมของสารในเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น สบู่ แชมพู ผงซักฟอก ยาสีฟัน จนถึงสัตว์เลี้ยงที่อาศัยอยู่ภายในบ้าน ฯลฯ
ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่า ทำไมปฏิกิริยาตอบสนองในรูปของภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นกับคนหนึ่งกลับไม่เกิดกับคนอื่น แม้จะเป็นที่ทราบกันดีว่า คนที่มีปัญหาผิวแพ้ง่ายกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเห็นได้ชัดจะมีแนวโน้มว่าเกิดจากพันธุกรรม ดังนั้นถ้าพบว่าตัวคุณเกิดอาการคันยิบๆ ซึ่งน่าจะมาจากแพ้ผงซักฟอกที่ใช้อยู่ พอจะสรุปได้ว่าหนึ่งในบรรพบุรุษของคุณก็น่าจะแพ้ผงซักฟอกเหมือนกัน
ลักษณะของผิวแพ้ง่าย
อาการของผิวที่แพ้แสดงออกได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับชนิดของการแพ้ แต่ปัจจัยที่พบเห็นเด่นชัดและบ่อยที่สุดคือ ผื่นแดง ตุ่มพองตกสะเก็ด แสบ คัน และผิวหนังอักเสบ วิธีง่ายๆ ที่จะสังเกตว่าผิวมีอาการแพ้หรือไม่ ดูได้จากผื่นแดง ที่อยู่ดีๆ ก็ปรากฏบนผิว ซึ่งบางครั้งจะรวมอาการคันและอักเสบไว้ด้วยกัน ผิวอักเสบจะมีลักษณะเห่อเป็นปื้นหนา แดง แตก และบางครั้งอาจมีเลือดหรือน้ำเหลืองไหลซึมออกมา ส่วนอาการคันจะแสดงออกมาใกล้เคียงกันในรูปของผื่นแดง แต่จะขึ้นเป็นปื้นบางๆ
สิ่งกระตุ้นทำให้ผิวเกิดอาการแพ้
ขึ้นอยู่กับประเภทอาการแพ้ของผิวที่คุณเป็นอยู่ ผิวอักเสบ มีสาเหตุหลักจากการขาดความชุ่มชื่นภายในชั้นเนื้อเยื่อผิว และจะแสดงให้เห็นได้ชัดเจนในช่วงฤดูหนาว ส่วนอาการคันมากคันน้อยที่ผิวนั้น อาจเกิดจากสิ่งเร้าภายนอกหลายชนิด เป็นต้นว่า เครื่องประดับ เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ สารแขวนลอยในอากาศ บางคนอาจมีอาการแพ้ผลิตภัณฑ์ตัวใดตัวหนึ่งเป็นพิเศษ อย่างเช่น แพ้ยาย้อมผม แป้งฝุ่นทาตัว น้ำหอม ยาง โลหะ หรือสารกันบูดที่ผสมอยู่ในของกินของใช้ต่างๆ
การเยียวยารักษา
เมื่อเรารู้วิธีรับมือกับผื่นแดงที่ขึ้นบนผิว แพทย์ผิวหนังแนะนำให้ใช้สามัญสำนึกที่ยอดเยี่ยมของคุณพิจารณาประเภทจากชนิดของผื่น ถ้าผื่นแดงมีลักษณะแห้ง ให้รีบทามอยเจอร์ไรเซอร์เพิ่มความชุ่มชื่น แต่ถ้าผื่นมีลักษณะเปียกชื้น พยายามดูแลให้แห้ง สิ่งสำคัญหนึ่งที่ไม่ควรทำเวลาผื่นขึ้นก็คือ ห้ามเกา ยิ่งเราเกามากเท่าไหร่ก็จะทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นนอกอักเสบระคายเคืองมากขึ้นเท่านั้น การเกาจะยิ่งทำให้ผื่นขยายตัวมากขึ้น โดยปกติผื่นแดงอาจยุบโดยปราศจากการเยียวยาใดๆ เพียงแค่หลีกเลี่ยงที่จะสัมผัส แพทย์ยังลงความเห็นว่าผู้ที่มีอาการแพ้และคันบ่อยๆ ควรรักษาความสะอาดของเล็บมือ ตัดให้สั้นและห้ามใจไม่ให้เกา นอกจากนี้ยังไม่ควรให้ผื่นที่ขึ้นสัมผัสน้ำหอม ยาย้อมผม สเปรย์หอม ความร้อนหรือเย็นมากๆ สบู่ทั่วไป รวมถึงการสัมผัสน้ำนานๆ
นอกจากนั้นการเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันสกัดจากแร่ธาตุ และลาโนลินแล้วยังควรใช้สบู่และครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมในการปลอบประโลมผิว เช่น โอ๊ตมีล ทาครีมผสมไฮโดรคอร์ดีโซน บริเวณที่ผื่นขึ้นวันละสองครั้ง และหลีกเลี่ยงสิ่งเร้าภายนอกต่างๆ ที่จะมาสัมผัสผิว ซึ่งอาจไปกระตุ้นให้อาการแพ้กำเริบหนักขึ้น แต่ถ้าหากลองปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้แล้วยังไม่ได้ผล และอาการหนักกว่าเดิม ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อให้ตรวจดูอาการและทำการรักษาทันที
เครื่องสำอางที่ทำให้ผิวเกิดอาการแพ้
จากการยืนยันของสถาบันโรคผิวหนังอเมริกันพบว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่มักมีพฤติกรรมการใช้เครื่องสำอางวันละไม่ต่ำกว่าเจ็ดชนิด ทั้งนี้เพื่อประทินผิว หรือเติมแต่งสีสันให้ดูสวยงาม ส่วนผสมของเครื่องสำอางเหล่านี้แหละที่ทำให้หลายต่อหลายคนเกิดอาการแพ้ ผิวของคนเราจะเกิดปฏิกิริยาตอบสนองต่อเครื่องสำอาง สามารถแบ่งเป็นสองกลุ่มลักษณะหลักๆ คือ ระคายเคืองและอาการแพ้ ผิวระคายเคืองจะพบได้มากกว่าอาการแพ้ และมักจะพัฒนาจากอาการแสบคันตามบริเวณต่างๆ หรือ เซลล์ผิวหนังถูกทำลายที่รุนแรงมากขึ้น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารนำไปสู่การระคายเคืองอย่างต่อเนื่อง จะปรากฏในรูปกลุ่มอาการต่างๆ บนผิวหนัง เช่น ตุ่มคัน ตกสะเก็ด หรือผื่นแดง ในบางกรณีอาการระคายเคืองธรรมดาๆ อาจพัฒนาไปสู่กลุ่มอาการแพ้รุ่นแรงเจ็ดประเภท โดยเฉพาะผิวหนังที่กระทบกระเทือนจากการเกามาแล้วก่อนหน้า บริเวณที่ผิวบอบบางและไร้ต่อสิ่งเร้า เช่น ผิวรอบดวงตา
ส่วนอาการแพ้จะเกิดขึ้นเมื่อเราสัมผัสกับส่วนผสมเฉพาะของผลิตภัณฑ์ที่ผิวจะตอบสนองทันที หากแต่ไม่ใช่ในรูปผิวหนังถูกทำลาย กลุ่มอาการแพ้ประกอบด้วยผื่นแดงและคัน จนถึงลมพิษเห่อขึ้นตามร่างกาย ซึ่งอาการแพ้เหล่านี้จะปรากฏได้ทุกที่ตามร่างกาย แม้ว่าบริเวณนั้นๆ จะไม่เคยสัมผัสครีมดังกล่าวมาก่อนเลยก็ตาม
ทำอย่างไรเพื่อป้องกันอาการแพ้เครื่องสำอาง
โชคไม่ดีที่มีทางเดียวที่คุณจะสามารถรู้ได้ว่าแพ้สารตัวใดในเครื่องสำอาง นั่นคือการลองใช้กับร่างกายหากแต่เป็นการลองทาในบริเวณเล็กๆ ที่ข้อมือหรือข้อศอกแล้วทิ้งไว้ ๒๔ ชั่วโมง เพื่อสังเกตอาการตอบสนองของผิวหนัง
วิธีการอื่นเพื่อป้องกันโอการเสี่ยงที่จะแพ้คือ อ่านฉลากส่วนผสมทั้งหมดที่มีอยู่ในเครื่องสำอางชนิดนั้น ถ้ามีส่วนผสมมากชนิด โอการเสี่ยงที่จะแพ้ต่อสารตัวใดตัวหนึ่งก็ย่อมีมาก ถ้าคุณทราบว่ามีสารตัวที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองหรืออาการแพ้แล้วก็จะได้หลีกเลี่ยงไม่ใช้เครื่องสำอางชนิดนั้น
แต่ก็เป็นไปได้ว่าฉลากของเครื่องสำอางบางครั้งไม่ได้บอกรายละเอียดของส่วนผสมทั้งหมด เนื่องจากผู้ผลิตบางบริษัทไม่ต้องการเผยแพร่สูตรลับของตนเพื่อผลประโยชน์ทางด้านการตลาด และทางองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐ (FDA) ก็ไม่ได้ระบุเป็นกฏไว้ตายตัว ทำให้ผู้ผลิตสามารถกล่าวอ้างว่าผลิตภัณฑ์ของตนไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ที่ข้างกล่องได้โดยไม่ผิดกฏหมาย
ในกรณีของการระบุว่า "ปราศจากกลิ่นหอม" หรือ "ไร้กลิ่น" ได้รับการยอมรับในลักษณะที่ว่าผลิตภัณฑ์ชนิดนั้นๆปราศจากกลิ่นไม่พึงประสงค์ และน้ำหอมก็ยังถูกใช้เพื่อกลบกลื่นของสารเคมีอยู่ดี ดังนั้น จึงควรตรวจสอบที่ฉลาก ส่วนผสมต่างๆ จะไล่เรียงตามลำดับความสำคัญ แน่นอนว่าส่วนผสมบรรทัดล่างๆที่มีอยู่น้อยนิดนั่นแหละคือ น้ำหอม ส่วนส่วนผสมที่เป็นจุดขายนั้นจะอยู่บนสุด
รู้จักสารที่ทำให้เกิดอาการระคายเคือง
จากข้อมูลการวิจัยของสมาคมแพทย์ผิวหนังอเมริกาเหนือ สรุปได้ว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวเกิดอาการแพ้และระคายเคืองมา จากน้ำหอมและสารกันบูที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอาง ถ้าคุณมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเครื่องสำอาง ก็ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารกันเสียอย่าง Methyplaraben, Propylparaben และ Buttlyparaben และสำหรับลาโนลินซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของมอยส์เจอร์ไรเซอร์เกือบทุกชนิดก็อาจเป็นสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ในผู้ใช้บางรายได้เหมือนกัน
ปัจจุบันผู้หญิงเราเสี่ยงกับการแพ้เครื่องสำอางที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้ทุกขณะ จึงควรสังเกตและอ่านฉลากข้างกล่องอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อมาใช้
ที่มา : Teenpath
6.11.08
เลือกผมสั้นให้เหมาะกับใบหน้า
เลือกผมสั้นให้เหมาะกับใบหน้า
ไว้ผมยาวกันมานาน อยากลองเปลี่ยนสไตล์เป็นผมสั้นกันบ้างไหม แต่ก่อนที่หั่นผมสลวยทิ้งไป อย่าลืมคิดก่อนว่ารูปหน้าของคุณจะเหมาะกับทรงผมสั้นแบบไหน
หน้ารูปไข่ รูปหน้าของคุณเป็นรูปหน้าที่ไม่ว่าจะทำทรงไหนก็เข้ากั๊น..เข้ากัน จะสั้นมากสั้นน้อย บ๊อบเท หรือสไลซ์บางๆ ก็สวยทั้งนั้น
หน้ากลม ถึงหน้าจะกลมก็ตัดผมสั้นได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องตัดสั้นแต่แนวขากรรไกร เพื่อให้เส้นผมช่วยปิดช่วงกรามไว้
หน้ารูปหัวใจ ลักษณะเด่นของใบหน้าคุณคือหน้าผากกับช่วงแก้มจะกว้าง แต่ส่วนขากรรไกร ปลายคางจะแหลมและแคบแทน คุณจึงต้องทำทรงที่ปิดความกว้างของหน้าผาก เช่น ตัดเป็นผมม้า หรือแสกข้างเพื่อปิดหน้าผากไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อสงวนจุดต่าง พรางจุดด้อย แค่นี้ก็สวยแล้ว
หน้าเหลี่ยม สาวหน้าเหลี่ยมไม่เหมาะกับผมสั้นๆ สักเท่าไร เพราะความสั้นจะไปเปิดเผยความเหลี่ยมให้ยิ่งเห็นชัด ถ้าคุณคิดจะเปลี่ยนสไตล์ด้วยผมสั้นก็ต้องเป็นทรงที่ไม่สั้นมาก อย่างน้อยก็ต้องยาวกว่าระดับคางลงไป
หน้ายาว ถ้าสาวหน้ายาวริตัดผมสั้น ควรจะเป็นความสั้นที่ซอยด้านหน้าเป็นเลเยอร์หรือไล่ระดับถึงบริเวณคาง เพื่อเพิ่มความอิ่มให้แก้ม รูปหน้าจะได้ดูสมส่วนกับเขาเสียที
ที่มา : spicy
ไว้ผมยาวกันมานาน อยากลองเปลี่ยนสไตล์เป็นผมสั้นกันบ้างไหม แต่ก่อนที่หั่นผมสลวยทิ้งไป อย่าลืมคิดก่อนว่ารูปหน้าของคุณจะเหมาะกับทรงผมสั้นแบบไหน
หน้ารูปไข่ รูปหน้าของคุณเป็นรูปหน้าที่ไม่ว่าจะทำทรงไหนก็เข้ากั๊น..เข้ากัน จะสั้นมากสั้นน้อย บ๊อบเท หรือสไลซ์บางๆ ก็สวยทั้งนั้น
หน้ากลม ถึงหน้าจะกลมก็ตัดผมสั้นได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องตัดสั้นแต่แนวขากรรไกร เพื่อให้เส้นผมช่วยปิดช่วงกรามไว้
หน้ารูปหัวใจ ลักษณะเด่นของใบหน้าคุณคือหน้าผากกับช่วงแก้มจะกว้าง แต่ส่วนขากรรไกร ปลายคางจะแหลมและแคบแทน คุณจึงต้องทำทรงที่ปิดความกว้างของหน้าผาก เช่น ตัดเป็นผมม้า หรือแสกข้างเพื่อปิดหน้าผากไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อสงวนจุดต่าง พรางจุดด้อย แค่นี้ก็สวยแล้ว
หน้าเหลี่ยม สาวหน้าเหลี่ยมไม่เหมาะกับผมสั้นๆ สักเท่าไร เพราะความสั้นจะไปเปิดเผยความเหลี่ยมให้ยิ่งเห็นชัด ถ้าคุณคิดจะเปลี่ยนสไตล์ด้วยผมสั้นก็ต้องเป็นทรงที่ไม่สั้นมาก อย่างน้อยก็ต้องยาวกว่าระดับคางลงไป
หน้ายาว ถ้าสาวหน้ายาวริตัดผมสั้น ควรจะเป็นความสั้นที่ซอยด้านหน้าเป็นเลเยอร์หรือไล่ระดับถึงบริเวณคาง เพื่อเพิ่มความอิ่มให้แก้ม รูปหน้าจะได้ดูสมส่วนกับเขาเสียที
ที่มา : spicy
5.11.08
การดูแลเส้นผมด้วยหวี
การดูแลเส้นผมด้วยหวี
การหวีผม กับความเชื่อที่ว่าถ้าได้แปรงผมวันละหลายๆ ครั้งจะทำผมสวยเงางาม ความจริงก็คือ การแปรงผมจะทำให้น้ำมันธรรมชาติ ที่เคลือบอยู่บนเส้นผมได้กระจายไปทั่ว ผมจึงดูเงางาม แต่ผมของคนเรามีหลายแบบมีทั้ง หยิก เหยียดตรง เส้นเล็ก ซอยสั้น หยิกยาว ผมหนา ต่างกันไปตามพันธุกรรมหรือการจัดแต่งตามแฟชั่น แล้วแต่เราจะเลือกแปรงหรือหวีให้เหมาะกับผม
แต่การเลือกหวีควรเป็นสมบัติส่วนตัวไม่ควรใช้หวีร่วมกับผู้อื่นเพื่อป้องกันปัญหาการติดเชื้อ โดยเฉพาะเชื้อรา หลีกเลี่ยงหวีที่มีปลายแหลมคม เพราะจะทำให้ผิวหนังที่ศีรษะเป็นแผลได้
ควรล้างทำความสะอาดหวีหรือแปรงอย่างสม่ำเสมอ แล้วตากแดดให้แห้งสนิทจึงนำมาใช้ใหม่ และไม่ควรหวีผมขณะผมเปียกจะทำให้เส้นผมขาดง่าย เพราะสภาพผมที่เปียกน้ำจะพันกันยุ่งเหยิง เว้นแต่การใช้ครีมนวดผม อาจใช้หวีซีกห่างๆ แปรงให้เส้นผมได้ครีมนวดอย่างทั่วถึง...
รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมหันมาทำความสะอาดหวีที่ใช้ จะได้มีผมสวยและห่างไกลจากเชื้อโรค
ที่มา : เดลินิวส์
การหวีผม กับความเชื่อที่ว่าถ้าได้แปรงผมวันละหลายๆ ครั้งจะทำผมสวยเงางาม ความจริงก็คือ การแปรงผมจะทำให้น้ำมันธรรมชาติ ที่เคลือบอยู่บนเส้นผมได้กระจายไปทั่ว ผมจึงดูเงางาม แต่ผมของคนเรามีหลายแบบมีทั้ง หยิก เหยียดตรง เส้นเล็ก ซอยสั้น หยิกยาว ผมหนา ต่างกันไปตามพันธุกรรมหรือการจัดแต่งตามแฟชั่น แล้วแต่เราจะเลือกแปรงหรือหวีให้เหมาะกับผม
แต่การเลือกหวีควรเป็นสมบัติส่วนตัวไม่ควรใช้หวีร่วมกับผู้อื่นเพื่อป้องกันปัญหาการติดเชื้อ โดยเฉพาะเชื้อรา หลีกเลี่ยงหวีที่มีปลายแหลมคม เพราะจะทำให้ผิวหนังที่ศีรษะเป็นแผลได้
ควรล้างทำความสะอาดหวีหรือแปรงอย่างสม่ำเสมอ แล้วตากแดดให้แห้งสนิทจึงนำมาใช้ใหม่ และไม่ควรหวีผมขณะผมเปียกจะทำให้เส้นผมขาดง่าย เพราะสภาพผมที่เปียกน้ำจะพันกันยุ่งเหยิง เว้นแต่การใช้ครีมนวดผม อาจใช้หวีซีกห่างๆ แปรงให้เส้นผมได้ครีมนวดอย่างทั่วถึง...
รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมหันมาทำความสะอาดหวีที่ใช้ จะได้มีผมสวยและห่างไกลจากเชื้อโรค
ที่มา : เดลินิวส์
4.11.08
ผมตรง...แบบพลิ้วไหว มีชีวิตชีวา พร้อมกลับมาอินเทรนด์
ผมตรง...แบบพลิ้วไหว มีชีวิตชีวา พร้อมกลับมาอินเทรนด์
มาแล้ว....เทรนด์ผมยาวตรงหรือกึ่งยาวที่กลับมาได้รับความสนใจและอยู่บนรันเวย์อีกครั้ง ล่าสุด มาดาม ฟิกาโร (madame FIGARO) ฉบับเดือนตุลาคม นำมาอัพเดทแบบทันใจ ในคอลัมน์ “Beauty Hair”...จะเห็นได้ว่าเวลานี้หันไปทางไหนบรรดาเซเลบริตี้ส์ในฮอลลีวู้ดกลับมานิยมผมตรงและทิ้งตัวสลวย แม้จะเดินอยู่ในงานพรมแดง ไล่มาจากงานออสการ์ปีที่แล้ว ทั้งกวินเน็ธ พัลโทรว์ ทั้งคลอเดีย ชิฟเฟอร์ ในเวนิส ฟิล์มเฟสติวัล เทรนด์ผมตรงก็กลับมาอยู่ในความสนใจของผู้หญิง และกลับมาอยู่บนรันเวย์อีกครั้ง
แต่ไม่ใช่ผมตรงอย่างเดียวเท่านั้น ที่จะบ่งบอกว่าคุณอินเทรนด์ พ.ศ.นี้ หากแต่ต้องมีสุขภาพผมที่ดี พลิ้วไหว แลดูมีชีวิตชีวา ตรงนี้แหละที่จะสะกดให้ทุกคนชื่นชมกับทรงผมเรียบง่ายแต่มัดใจและตรึงตรา แล้วทำยังไงถึงจะมีผมตรงตามเทรนด์ที่ว่า จริงๆ แล้ว “การยืดเส้นผม” หรือที่รู้จักกันดีว่า “รีบอนดิ้ง” (rebonding) เป็นการทำเคมีชนิดหนึ่งที่ต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะ และต้องใช้ความระมัดระวังให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับเส้นผมและหนังศีรษะ แนะนำว่าก่อนที่จะรับการทำเคมีชนิดนี้ เส้นผมควรมีสุขภาพดีพอสมควร และไม่ผ่านการ ทำสี ดัด หรือแม้แต่ยืดอย่างน้อยที่สุดเป็นเวลา 6 อาทิตย์ รวมทั้งก่อนทำ 24 ชั่วโมง ไม่ควรทำให้เกิดการระคายเคืองใดๆ ที่หนังศีรษะ เช่น การเกา ควรสระให้สะอาด (โดยเว้นการเกา) งดใช้น้ำอุ่นหรือน้ำร้อน เพื่อป้องกันไม่ให้รูขุมขนที่หนังศีรษะขยายตัว เพราะจะทำให้เคมีทำร้ายสุขภาพหนังศีรษะได้ง่ายเข้า และแน่นอนเพื่อผลที่ดีที่สุดและเพื่อความปลอดภัย ควรไปรับบริการจากผู้ชำนาญและรู้จริง
ผลิตภัณฑ์ยืดเส้นผมมีทั้งที่เป็นสูตรอ่อนโยนและสูตรเข้มข้น ขึ้นอยู่กับสูตรผสมของเคมีว่าเป็นโซเดียมไฮดรอกไซด์ หรือแคลเซียม ไฮดรอกไซด์ การทำงานของเคมีจะแทรกซึมเข้าไปในเกล็ดผมชั้นบนสุด พร้อมกับทำปฏิกิริยากับเส้นใยผมที่เป็นคลื่น ผมหนาและเส้นใยอาจจะยืดได้ยากกว่าและต้องใช้ผลิตภัณฑ์สูตรเข้มข้น ในขณะที่เส้นผมเล็ก หรือปกติเป็นคนผิวแพ้ง่าย ผิวอ่อนไหวต่อสิ่งเร้า ควรเลือกผลิตภัณฑ์ชนิดอ่อนโยน เทคนิเชี่ยนบางคนจะทาครีมปกป้องหนังศีรษะรวมทั้งไรผมก่อนที่จะทำการยืด นั่นจะยิ่งทำให้รู้สึกสบายและปลอดภัยได้มากขึ้น และสาวๆ ควรทราบไว้ว่า การยืดผมในครั้งต่อไป สามารถที่จะเลือกทาน้ำยาลงบนเส้นผมส่วนที่งอกใหม่เท่านั้นก็ได้ ไม่มีความจำเป็นใดๆ ทั้งสิ้นที่จะต้องใช้ผลิตภัณฑ์กับทั่วหนังศีรษะ...
มาแล้ว....เทรนด์ผมยาวตรงหรือกึ่งยาวที่กลับมาได้รับความสนใจและอยู่บนรันเวย์อีกครั้ง ล่าสุด มาดาม ฟิกาโร (madame FIGARO) ฉบับเดือนตุลาคม นำมาอัพเดทแบบทันใจ ในคอลัมน์ “Beauty Hair”...จะเห็นได้ว่าเวลานี้หันไปทางไหนบรรดาเซเลบริตี้ส์ในฮอลลีวู้ดกลับมานิยมผมตรงและทิ้งตัวสลวย แม้จะเดินอยู่ในงานพรมแดง ไล่มาจากงานออสการ์ปีที่แล้ว ทั้งกวินเน็ธ พัลโทรว์ ทั้งคลอเดีย ชิฟเฟอร์ ในเวนิส ฟิล์มเฟสติวัล เทรนด์ผมตรงก็กลับมาอยู่ในความสนใจของผู้หญิง และกลับมาอยู่บนรันเวย์อีกครั้ง
แต่ไม่ใช่ผมตรงอย่างเดียวเท่านั้น ที่จะบ่งบอกว่าคุณอินเทรนด์ พ.ศ.นี้ หากแต่ต้องมีสุขภาพผมที่ดี พลิ้วไหว แลดูมีชีวิตชีวา ตรงนี้แหละที่จะสะกดให้ทุกคนชื่นชมกับทรงผมเรียบง่ายแต่มัดใจและตรึงตรา แล้วทำยังไงถึงจะมีผมตรงตามเทรนด์ที่ว่า จริงๆ แล้ว “การยืดเส้นผม” หรือที่รู้จักกันดีว่า “รีบอนดิ้ง” (rebonding) เป็นการทำเคมีชนิดหนึ่งที่ต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะ และต้องใช้ความระมัดระวังให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับเส้นผมและหนังศีรษะ แนะนำว่าก่อนที่จะรับการทำเคมีชนิดนี้ เส้นผมควรมีสุขภาพดีพอสมควร และไม่ผ่านการ ทำสี ดัด หรือแม้แต่ยืดอย่างน้อยที่สุดเป็นเวลา 6 อาทิตย์ รวมทั้งก่อนทำ 24 ชั่วโมง ไม่ควรทำให้เกิดการระคายเคืองใดๆ ที่หนังศีรษะ เช่น การเกา ควรสระให้สะอาด (โดยเว้นการเกา) งดใช้น้ำอุ่นหรือน้ำร้อน เพื่อป้องกันไม่ให้รูขุมขนที่หนังศีรษะขยายตัว เพราะจะทำให้เคมีทำร้ายสุขภาพหนังศีรษะได้ง่ายเข้า และแน่นอนเพื่อผลที่ดีที่สุดและเพื่อความปลอดภัย ควรไปรับบริการจากผู้ชำนาญและรู้จริง
ผลิตภัณฑ์ยืดเส้นผมมีทั้งที่เป็นสูตรอ่อนโยนและสูตรเข้มข้น ขึ้นอยู่กับสูตรผสมของเคมีว่าเป็นโซเดียมไฮดรอกไซด์ หรือแคลเซียม ไฮดรอกไซด์ การทำงานของเคมีจะแทรกซึมเข้าไปในเกล็ดผมชั้นบนสุด พร้อมกับทำปฏิกิริยากับเส้นใยผมที่เป็นคลื่น ผมหนาและเส้นใยอาจจะยืดได้ยากกว่าและต้องใช้ผลิตภัณฑ์สูตรเข้มข้น ในขณะที่เส้นผมเล็ก หรือปกติเป็นคนผิวแพ้ง่าย ผิวอ่อนไหวต่อสิ่งเร้า ควรเลือกผลิตภัณฑ์ชนิดอ่อนโยน เทคนิเชี่ยนบางคนจะทาครีมปกป้องหนังศีรษะรวมทั้งไรผมก่อนที่จะทำการยืด นั่นจะยิ่งทำให้รู้สึกสบายและปลอดภัยได้มากขึ้น และสาวๆ ควรทราบไว้ว่า การยืดผมในครั้งต่อไป สามารถที่จะเลือกทาน้ำยาลงบนเส้นผมส่วนที่งอกใหม่เท่านั้นก็ได้ ไม่มีความจำเป็นใดๆ ทั้งสิ้นที่จะต้องใช้ผลิตภัณฑ์กับทั่วหนังศีรษะ...
3.11.08
เทรนใหม่ ขาวใสกับ BB Cream คืออะไร
เทรนใหม่ ขาวใสกับ BB Cream คืออะไร
จากกระแส BB Cream ที่กำลังได้รับความนิยมขณะนี้ เชื่อว่าสาวๆ วัยรุ่นทุกคนก็คงให้ความสนใจกันอยู่ใช่ไหมคะ แต่ก็เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่สงสัยว่า บีบีครีม ที่เขาพูดถึงกันอยู่นั้น คืออะไร
วันนี้จะมาไขข้อข้องใจให้ทราบกันว่า บีบีครีม ( BB Cream ) ย่อมาจาก Blemish Balm Cream เป็นครีมปรับสภาพสีผิว มี เบส และรองพื้นในตัว ที่ได้รับความนิยมในแถบเอเซีย อย่าง เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลี ฯลฯ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่ไม่นิยมครีมรองพื้น เบส หรือ คอนซีลเลอร์ ก็อาจเลือกใช้ BB Cream ไปเลยทีเดียว ใช้ง่าย ประหยัดเวลามากกว่าค่ะ
BB Cream มักใช้เพื่อพรางรอยแผลเป็นจากสิว รอยกระ ฝ้าหลุมสิว ทำให้ผิวหน้าดูกระจ่างใส เรียบเนียนขึ้น ทาแป้งเนียนและติดทนนาน ให้ความรู้สึกที่เรียบเนียนแบบครีมรองพื้น แต่เนื้อบางเบาและธรรมชาติกว่า สาวๆ บางคนทาแค่ BB Cream แล้วอาจไม่แต่งหน้าเลยก็ดูสวยใสได้ เป็นการทำให้ดูคล้ายกับไม่แต่งหน้า (สวยใสธรรมชาติเอง อิอิ ว่างั้น...)
ในปัจจุบันมี BB Cream ออกมาหลายแบรนด์ให้เลือกแล้วแต่สไตล์ของผู้ใช้งาน แต่ว่าวันนี้ เราขอแนะนำ BB Cream ที่ออกมาในรูปแบบของเดย์ครีม และครีมบำรุงที่ควบคุมความมันไปได้ในตัวค่ะ
"เดย์ครีมฟูจิ" ผลิตภัณฑ์ครีมหน้าเด้ง ผสมสารสกัดต่างๆจากภูเขาไฟตำรับญี่ปุ่น ที่ออกแบบมาเพื่อสาวทันสมัย เน้นความเป็นธรรมชาติ เรียบเนียน และให้ความสำคัญกับสุขภาพผิวโดยออกแบบมาเพื่อสาวๆ เอเชียโดยเฉพาะ มีสารสกัดที่ช่วยควบคุมความมันของต่อมไขมัน ทำให้เวลาแต่งหน้าไม่มันเยิ้ม แป้งติดทนนานมากขึ้น ทำให้รูขุมขนดูเล็ก ลดรอยด่างดำ หลุมสิว และมีส่วนผสมของวิตามิน แร่ธาตุต่างๆ ที่ช่วยปรับสภาพผิวให้ดูขาว กระจ่างใสตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ เกลี่ยไปที่ใบหน้าก็ทำให้รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายความเป็นธรรมชาติได้อย่างดี กลิ่นหอมละมุนอ่อนๆ และยังเป็นการบำรุงผิวไปในตัว เมื่อใช้ทั้งเดย์ครีมของฟูจิ และไนท์ครีมคู่กัน เป็นเวลาต่อเนื่องกัน 14 วันสามารถพิสูจน์ความขาวใสได้ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ครีมฟูจิ ที่ได้รับความนิยมอีกหลายชนิด อาทิ
• โคลนดูดสิวเสี้ยน ที่ช่วยดูดสิวเสี้ยน ขน เศษสิ่งสกปรกต่างๆ ออกมาได้อย่างหมดจด เป็น ตอๆ แท่งสีดำๆ ตั้งแต่ 15 นาทีแรกที่ใช้เลยทีเดียว
• เจลดีท๊อกซ์น้ำแร่ภูเขาไฟ เนื้อบริสุทธิของเจล ทันทีที่เนื้อเจลสัมผัสผิวหน้าอันบอบบาง จะเปลี่ยนสภาพเป็นนน้ำแร่เข้าจับไขมัน และสิ่งอุดตัน คราบไคลที่อยู่บริเวณนั้น เพียงใช้นิ้วถูเบาๆ 1 นาที เจลจะขจัดคราบลอกออกมาเป็นขุยให้คุณสาวๆ ทันทีค่ะ
• เซรั่มกลีบซากุระ ผสมอโรเวล่า ลดการอักเสบของผิว ทำให้ริ้วรอยจางลง ให้ความชุ่มชื่นกับผิวหน้า สำหรับผิวแพ้ง่ายมาก หรือผู้ที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้ครีมตัวใหม่
จากกระแส BB Cream ที่กำลังได้รับความนิยมขณะนี้ เชื่อว่าสาวๆ วัยรุ่นทุกคนก็คงให้ความสนใจกันอยู่ใช่ไหมคะ แต่ก็เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่สงสัยว่า บีบีครีม ที่เขาพูดถึงกันอยู่นั้น คืออะไร
วันนี้จะมาไขข้อข้องใจให้ทราบกันว่า บีบีครีม ( BB Cream ) ย่อมาจาก Blemish Balm Cream เป็นครีมปรับสภาพสีผิว มี เบส และรองพื้นในตัว ที่ได้รับความนิยมในแถบเอเซีย อย่าง เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลี ฯลฯ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่ไม่นิยมครีมรองพื้น เบส หรือ คอนซีลเลอร์ ก็อาจเลือกใช้ BB Cream ไปเลยทีเดียว ใช้ง่าย ประหยัดเวลามากกว่าค่ะ
BB Cream มักใช้เพื่อพรางรอยแผลเป็นจากสิว รอยกระ ฝ้าหลุมสิว ทำให้ผิวหน้าดูกระจ่างใส เรียบเนียนขึ้น ทาแป้งเนียนและติดทนนาน ให้ความรู้สึกที่เรียบเนียนแบบครีมรองพื้น แต่เนื้อบางเบาและธรรมชาติกว่า สาวๆ บางคนทาแค่ BB Cream แล้วอาจไม่แต่งหน้าเลยก็ดูสวยใสได้ เป็นการทำให้ดูคล้ายกับไม่แต่งหน้า (สวยใสธรรมชาติเอง อิอิ ว่างั้น...)
ในปัจจุบันมี BB Cream ออกมาหลายแบรนด์ให้เลือกแล้วแต่สไตล์ของผู้ใช้งาน แต่ว่าวันนี้ เราขอแนะนำ BB Cream ที่ออกมาในรูปแบบของเดย์ครีม และครีมบำรุงที่ควบคุมความมันไปได้ในตัวค่ะ
"เดย์ครีมฟูจิ" ผลิตภัณฑ์ครีมหน้าเด้ง ผสมสารสกัดต่างๆจากภูเขาไฟตำรับญี่ปุ่น ที่ออกแบบมาเพื่อสาวทันสมัย เน้นความเป็นธรรมชาติ เรียบเนียน และให้ความสำคัญกับสุขภาพผิวโดยออกแบบมาเพื่อสาวๆ เอเชียโดยเฉพาะ มีสารสกัดที่ช่วยควบคุมความมันของต่อมไขมัน ทำให้เวลาแต่งหน้าไม่มันเยิ้ม แป้งติดทนนานมากขึ้น ทำให้รูขุมขนดูเล็ก ลดรอยด่างดำ หลุมสิว และมีส่วนผสมของวิตามิน แร่ธาตุต่างๆ ที่ช่วยปรับสภาพผิวให้ดูขาว กระจ่างใสตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ เกลี่ยไปที่ใบหน้าก็ทำให้รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายความเป็นธรรมชาติได้อย่างดี กลิ่นหอมละมุนอ่อนๆ และยังเป็นการบำรุงผิวไปในตัว เมื่อใช้ทั้งเดย์ครีมของฟูจิ และไนท์ครีมคู่กัน เป็นเวลาต่อเนื่องกัน 14 วันสามารถพิสูจน์ความขาวใสได้ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ครีมฟูจิ ที่ได้รับความนิยมอีกหลายชนิด อาทิ
• โคลนดูดสิวเสี้ยน ที่ช่วยดูดสิวเสี้ยน ขน เศษสิ่งสกปรกต่างๆ ออกมาได้อย่างหมดจด เป็น ตอๆ แท่งสีดำๆ ตั้งแต่ 15 นาทีแรกที่ใช้เลยทีเดียว
• เจลดีท๊อกซ์น้ำแร่ภูเขาไฟ เนื้อบริสุทธิของเจล ทันทีที่เนื้อเจลสัมผัสผิวหน้าอันบอบบาง จะเปลี่ยนสภาพเป็นนน้ำแร่เข้าจับไขมัน และสิ่งอุดตัน คราบไคลที่อยู่บริเวณนั้น เพียงใช้นิ้วถูเบาๆ 1 นาที เจลจะขจัดคราบลอกออกมาเป็นขุยให้คุณสาวๆ ทันทีค่ะ
• เซรั่มกลีบซากุระ ผสมอโรเวล่า ลดการอักเสบของผิว ทำให้ริ้วรอยจางลง ให้ความชุ่มชื่นกับผิวหน้า สำหรับผิวแพ้ง่ายมาก หรือผู้ที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้ครีมตัวใหม่
2.11.08
ระวังจุนรินทรีย์ในอายแชโดว์
ระวังจุนรินทรีย์ในอายแชโดว์
แฟชั่นดวงตาเด้ง ๆ ตอนนี้กำลังมาแรงจริงไหมคะ...เพราะ ฉะนั้นเครื่องสำอางที่ใช้สำหรับดวงตาจึงดูจะจำเป็นมาก เป็นพิเศษ ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็ออกมาเตือน ให้สาว ๆ ระมัดระวังจุลินทรีย์ที่จะติดมามากเป็นพิเศษ ด้วยเช่นกัน
นักวิทยาศาสตร์การแพทย์กองเครื่องสำอางและวัตถุอัน ตราย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ออกมาบอกว่า จากการ สุ่มตรวจเครื่องสำอางในตลาดทั้งที่นำเข้า และผลิตในประ เทศ ได้แก่ อายแชโดว์ ครีมเจลทารอบดวงตา มาสคาร่า ดินสอเหลวสำหรับเขียนรอบดวงตา และผลิตภัณฑ์ทำ ความสะอาดเครื่องสำอางรอบดวงตา รวม 108 ตัวอย่าง พบ 7 ตัวอย่างมีแบคทีเรีย ยีสต์ และราปนเปื้อนเกินมาตร ฐาน ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีจุลินทรีย์เกินมาตรฐานนี้จะทำให้ ผิวหนังที่สัมผัสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเรื้อรัง เกิดการอักเสบ และลุกลามถึงตาบอดได้
ข้อสังเกตจากการสุ่มตัวอย่างครั้งนี้ ยังพบว่าหากครีมเจลผสมสมุนไพรโดยเฉพาะว่านหางจระเข้ มี ีแนวโน้ม ที่จะพบจุลินทรีย์ปนเปื้อนเกินมาตรฐาน 1 ล้านโคโรนีต่อกรัมและอาจพบเชื้อคลอสตริเดียม ร่วมด้วย ทั้งนี้ เชื้อดังกล่าวมักตรวจพบในผลิตภัณฑ์ที่มีสมุนไพรเป็นส่วนประกอบ
“ผู้บริโภคควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากเครื่องสำอางชัดเจน โดยเฉพาะที่อยู่ผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ วันเดือนปี ที่ผลิต หรือวันหมดอายุกำกับ เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้รอบดวงตา เป็นบริเวณ ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอันตรายหากเกิดการติดเชื้อในกลุ่มคลอสตริเดียม ผู้ป่วยจะมีอาการ รุนแรง สูญเสียการมองเห็น และทำให้สูญเสีย ดวงตาได้” เป็นคำแนะนำจากนักวิทยาศาสตร์การแพทย์
อยากสวยก็ต้องรู้จักระมัดระวังด้วยค่ะ...
ที่มา : globalfashionreport
แฟชั่นดวงตาเด้ง ๆ ตอนนี้กำลังมาแรงจริงไหมคะ...เพราะ ฉะนั้นเครื่องสำอางที่ใช้สำหรับดวงตาจึงดูจะจำเป็นมาก เป็นพิเศษ ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็ออกมาเตือน ให้สาว ๆ ระมัดระวังจุลินทรีย์ที่จะติดมามากเป็นพิเศษ ด้วยเช่นกัน
นักวิทยาศาสตร์การแพทย์กองเครื่องสำอางและวัตถุอัน ตราย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ออกมาบอกว่า จากการ สุ่มตรวจเครื่องสำอางในตลาดทั้งที่นำเข้า และผลิตในประ เทศ ได้แก่ อายแชโดว์ ครีมเจลทารอบดวงตา มาสคาร่า ดินสอเหลวสำหรับเขียนรอบดวงตา และผลิตภัณฑ์ทำ ความสะอาดเครื่องสำอางรอบดวงตา รวม 108 ตัวอย่าง พบ 7 ตัวอย่างมีแบคทีเรีย ยีสต์ และราปนเปื้อนเกินมาตร ฐาน ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีจุลินทรีย์เกินมาตรฐานนี้จะทำให้ ผิวหนังที่สัมผัสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเรื้อรัง เกิดการอักเสบ และลุกลามถึงตาบอดได้
ข้อสังเกตจากการสุ่มตัวอย่างครั้งนี้ ยังพบว่าหากครีมเจลผสมสมุนไพรโดยเฉพาะว่านหางจระเข้ มี ีแนวโน้ม ที่จะพบจุลินทรีย์ปนเปื้อนเกินมาตรฐาน 1 ล้านโคโรนีต่อกรัมและอาจพบเชื้อคลอสตริเดียม ร่วมด้วย ทั้งนี้ เชื้อดังกล่าวมักตรวจพบในผลิตภัณฑ์ที่มีสมุนไพรเป็นส่วนประกอบ
“ผู้บริโภคควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากเครื่องสำอางชัดเจน โดยเฉพาะที่อยู่ผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ วันเดือนปี ที่ผลิต หรือวันหมดอายุกำกับ เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้รอบดวงตา เป็นบริเวณ ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอันตรายหากเกิดการติดเชื้อในกลุ่มคลอสตริเดียม ผู้ป่วยจะมีอาการ รุนแรง สูญเสียการมองเห็น และทำให้สูญเสีย ดวงตาได้” เป็นคำแนะนำจากนักวิทยาศาสตร์การแพทย์
อยากสวยก็ต้องรู้จักระมัดระวังด้วยค่ะ...
ที่มา : globalfashionreport
1.11.08
วิธีป้องกันสิวผด
วิธีป้องกันสิวผด
ถ้าใครไม่อยากเป็นสิวผด มีวิธีป้องกันสิวผดมาฝากกัน.... สิวผด จัดเป็นสิวประเภทหนึ่ง ที่พบบ่อยๆ มีลักษณะคล้ายผดผื่นเล็กๆ และแหลม โดยพบว่า มักจะดูเรียบหรือดีขึ้นในตอนเช้า และจะเห่อๆ ในตอนบ่ายๆ ผื่นอาจมีสีแดงและคันได้ หากล้างหน้าบ่อยขึ้น มักเป็นมากขึ้น และหากรักษาไม่ถูกต้องจะเป็นมากขึ้น บริเวณที่พบได้บ่อยๆ คือ บริเวณใบหน้า โดยเฉพาะ หน้าผากและขมับ สาเหตุ ที่พบบ่อย คือ
1. จากความร้อน
2. แสงแดด
3. การเช็ดถูหน้าบ่อยๆ หรือ การเช็ดถูหน้าแรงๆ
4. เครื่องสำอางบางประเภท
5. บางครั้ง เชื่อว่า เชื้อรา P.OVALE มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย วิธีป้องกันสิวผด คือ ลดการรบกวนต่อผิวหน้าให้น้อยที่สุด (Mechanical Irritation) เช่น การนวดหน้า,การขัดหน้า,หรือเช็ดถูหน้าบ่อยๆ
ล้างหน้าเฉพาะที่จำเป็น หรือบริเวณที่ผิวมัน เพราะ การล้างหน้าบ่อยๆ จะทำให้สิวผด รุนแรงมากขึ้นได้ ลด หรือหลีกเลี่ยง การใช้ครีมหรือยาที่ทำให้ผิวหน้าระคายเคืองมากขึ้น (Chemical Irritation) เช่น การใช้ยารักษาสิวประเภท Retinoic Acid,Benzoyel Peroxide AHA,BHA เป็นต้น
ควรล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า,หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ และไม่ควรใช้น้ำอุ่นล้างหน้า และควรล้างหน้าไม่เกิน 2-3 ครั้งต่อวัน ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด และใช้ครีมกันแดดทุกครั้งที่ต้องออกนอกบ้าน ควรเลือกกันแดดที่มี SPF >15-30 และมีค่า PA++ เป็นอย่างน้อย
ไม่ควรซื้อยามารักษาผื่นเอง เพราะมักทำให้เป็นมากขึ้น และยาที่หาซื้อได้จากร้านขายยา มักเป็น STEROID ซึ่งมีผลข้างเคียงมาก
ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังที่มีความชำนาญ เพื่อหาสาเหตุ และพร้อมทั้งการแก้ไขและรักษาที่ถูกต้องต่อไป
รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าไม่อยากเป็นสิวผด ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปดูแลรักษาผิวกันได้
ที่มา : เดลินิวส์
ถ้าใครไม่อยากเป็นสิวผด มีวิธีป้องกันสิวผดมาฝากกัน.... สิวผด จัดเป็นสิวประเภทหนึ่ง ที่พบบ่อยๆ มีลักษณะคล้ายผดผื่นเล็กๆ และแหลม โดยพบว่า มักจะดูเรียบหรือดีขึ้นในตอนเช้า และจะเห่อๆ ในตอนบ่ายๆ ผื่นอาจมีสีแดงและคันได้ หากล้างหน้าบ่อยขึ้น มักเป็นมากขึ้น และหากรักษาไม่ถูกต้องจะเป็นมากขึ้น บริเวณที่พบได้บ่อยๆ คือ บริเวณใบหน้า โดยเฉพาะ หน้าผากและขมับ สาเหตุ ที่พบบ่อย คือ
1. จากความร้อน
2. แสงแดด
3. การเช็ดถูหน้าบ่อยๆ หรือ การเช็ดถูหน้าแรงๆ
4. เครื่องสำอางบางประเภท
5. บางครั้ง เชื่อว่า เชื้อรา P.OVALE มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย วิธีป้องกันสิวผด คือ ลดการรบกวนต่อผิวหน้าให้น้อยที่สุด (Mechanical Irritation) เช่น การนวดหน้า,การขัดหน้า,หรือเช็ดถูหน้าบ่อยๆ
ล้างหน้าเฉพาะที่จำเป็น หรือบริเวณที่ผิวมัน เพราะ การล้างหน้าบ่อยๆ จะทำให้สิวผด รุนแรงมากขึ้นได้ ลด หรือหลีกเลี่ยง การใช้ครีมหรือยาที่ทำให้ผิวหน้าระคายเคืองมากขึ้น (Chemical Irritation) เช่น การใช้ยารักษาสิวประเภท Retinoic Acid,Benzoyel Peroxide AHA,BHA เป็นต้น
ควรล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า,หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ และไม่ควรใช้น้ำอุ่นล้างหน้า และควรล้างหน้าไม่เกิน 2-3 ครั้งต่อวัน ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด และใช้ครีมกันแดดทุกครั้งที่ต้องออกนอกบ้าน ควรเลือกกันแดดที่มี SPF >15-30 และมีค่า PA++ เป็นอย่างน้อย
ไม่ควรซื้อยามารักษาผื่นเอง เพราะมักทำให้เป็นมากขึ้น และยาที่หาซื้อได้จากร้านขายยา มักเป็น STEROID ซึ่งมีผลข้างเคียงมาก
ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังที่มีความชำนาญ เพื่อหาสาเหตุ และพร้อมทั้งการแก้ไขและรักษาที่ถูกต้องต่อไป
รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าไม่อยากเป็นสิวผด ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปดูแลรักษาผิวกันได้
ที่มา : เดลินิวส์
Subscribe to:
Posts (Atom)