21.10.08

อันตรายจากสารกันชื้น

อันตรายจากสารกันชื้น

เชื่อกันว่าทุกคนคงรู้จักสารกันชื้นกันดี ก็คือซองที่อยู่ในขนมกรุบกรอบและขวดยา สารกันชื้นมีด้วยกันหลายชนิด แต่ที่นิยมใช้กันมากคือ ซิลิก้า เจล ซึ่งสกัดจากทรายขาวผสมกำมะถัน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ซิลิกอนไดออกไซด์ เป็นเม็ดกลมๆ มีหลายสี ส่วนสาเหตุที่ต้องใส่สารกันชื้นลงในผลิตภัณฑ์ ก็เพราะความชื้นทำให้คุณสมบัติของสินค้าเปลี่ยนไป เช่นถ้าเป็นยาก็มีคุณสมบัติไม่เหมือนเดิม เครื่องหนังเมื่อได้รับความชื้น รูปทรงจะเปลี่ยนและเกิดเชื้อราได้ง่าย ส่วนขนมกรุบกรอบถ้าโดนความชื้นก็จะเสียความกรอบไป
สารกันชื้นอาจไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใหญ่ แต่สำหรับเด็กที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้น ผู้ปกครองต้องระวังให้ดี เพราะล่าสุดผู้ปกครองรายหนึ่งได้ร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคว่า บุตรของตนวัยขวบเศษถูกเด็กแถวบ้านปาสารกันชื้นในถุงใส่ แล้วซองบรรจุสารกันชื้นแตก ทำให้ซิลิก้า เจลที่บรรจุอยู่กระเด็นเข้าตา เด็กร้องไห้และเจ็บนัยน์ตามาก แต่เมื่อไปพบแพทย์กลับไม่สามารถรักษาทัน เพราะสารทำปฏิกิริยากับดวงตาทำให้ตาบอด ดังนั้นสังคมควรจะเตือนภัยเรื่องนี้ให้รัดกุมกว่านี้
ระวังสารตะกั่วในเครื่องทำน้ำเย็น
เดี๋ยวนี้เครื่องทำน้ำเย็นไม่เพียงใช้กันในที่สาธารณะอย่างโรงเรียน โรงพยาบาล หรือที่ทำงานเท่านั้น บางบ้านยังมีใช้กันเลย กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เนื่องจากบ้านเราร้อนเหลือใจ แต่ทำเล่นไป เครื่องทำน้ำเย็นเป็นตัวปล่อยสารตะกั่วที่น่ากลัว เพราะภายในเครื่องทำน้ำเย็นมีการบัดกรีบริเวณมุมขอบภายในเครื่องด้วยตะกั่ว การเชื่อมถังน้ำดื่ม การขึ้นรูปเครื่อง การเชื่อมลูกลอยกับก้านส่วนที่สัมผัสกับน้ำดื่ม และการบัดกรีท่อจ่ายน้ำดื่ม ทั้งหมดล้วนเป็นโอกาสและสาเหตุที่ทำให้เกิดสารตะกั่วปนเปื้อนในน้ำดื่ม
ตะกั่วเป็นสารพิษที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้ และสะสมอยู่ในอวัยวะต่างๆ เช่น ตับ ไต หัวใจ สมอง กระเพาะอาหาร ไขกระดูก และบริเวณที่มีไขมันเป็นองค์ประกอบ พิษของตะกั่วจะทำลายระบบประสาทส่วนปลาย ทำให้นิ้วเท้าและมือเป็นอัมพาต ทำลายเซลล์สมอง หลอดเลือดฝอย ทำให้อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียและฉุนเฉียว ถ้าเป็นมากจะปวดศีรษะ ความรู้สึกสับสน ความจำเสื่อม ปวดกล้ามเนื้อ โลหิตจาง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เกิดการตกเลือด เพ้อ ชัก เป็นอัมพาต หมดสติถึงตายได้
ตอนนี้ทางหน่วยงานรัฐกำลังหามาตรการที่จะควบคุมมาตรฐานของเครื่องทำน้ำดื่มเพื่อไม่ให้เกิดสารตะกั่ว
ปนเปื้อนซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
ข้อมูลจากวารสารสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
สำหรับผู้ชอบใช้ไมโครเวฟต้มน้ำ
ขอสารภาพว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในนั้น คือต้มน้ำชงกาแฟทุกเช้า ด้วยการใส่น้ำในแก้วแล้วเอาเข้าไมโครเวฟ เพราะสะดวกดี แถมไม่มีกาต้มน้ำซึ่งต้องเสียบปลั๊กทิ้งไว้ตลอดด้วย
ล่าสุดอ่านเจอจากหนังสือพิมพ์มติชน เล่าเรื่องผู้ชายคนหนึ่งต้องการชงกาแฟโดยใช้ไมโครเวฟ เขาใส่น้ำเปล่าลงไปในถ้วยกาแฟและเอาเข้าไปต้ม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำประจำ แต่ครั้งนี้เขาต้มน้ำแล้วเห็นน้ำไม่เดือดก็เลยเปิดเตาไมโครเวฟ หยิบแก้วออกมา เขาเห็นว่าน้ำในแก้วไม่เดือดปุดเป็นไอ เลยก้มลงไปมอง ทันใดนั้นน้ำที่เดือดก็พุ่งใส่หน้า ต้องโยนถ้วยทิ้ง แต่น้ำได้ลวกทั้งใบหน้าจนพุพองไปหมดแล้ว เหตุการณ์ดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ หากใช้น้ำเปล่าต้มในไมโครเวฟ ควรใช้แท่งไม้สำหรับคนกาแฟ หรือถุงน้ำชา (ยกเว้นช้อนโลหะ) ใส่ลงไปในน้ำ เพื่อกระจายพลังงานเวลาต้มน้ำ และไม่ควรต้มเกิน 2 นาที และเมื่อครบเวลาควรรออีก 30 วินาที ก่อนนำออกจากไมโครเวฟหรือก่อนใส่อะไรลงไปในน้ำร้อน
เลยนำมาบอกต่อกัน เผื่อท่านใดทำเป็นประจำ จะได้เปลี่ยนวิธีการโดยด่วน
สาเหตุของโรคองค์การอนามัยโลกเผยต้นเหตุสำคัญที่ทำให้คนทั่วโลก รวมทั้งคนไทยด้วย เสียชีวิตจากโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และมะเร็งกันมาก ก็เพราะมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้อง สูบบุหรี่ ไม่ออกกำลังกาย และกินผักผลไม้น้อย เฉลี่ยแล้ววันละไม่ถึง 3 ขีด ซึ่งไม่เพียงพอต่อการป้องกันโรค
กระทรวงสาธารณสุขแถลงถึงรายงานที่ได้รับจากองค์การอนามัยโลกซึ่งระบุว่า ร้อยละ 58 ของเบาหวานทั่วโลก ร้อยละ 21 ของโรคหัวใจขาดเลือด และร้อยละ 8-42 ของมะเร็งบางชนิด มีสาเหตุมาจากความอ้วน และพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค คือสูบบุหรี่ ไม่ออกกำลังกาย และกินผักผลไม้น้อย ทำให้ร่างกายสะสมไขมัน โดยเฉพาะไขมันที่สะสมในช่องท้องหรือที่เรียกว่าอ้วนลงพุง อันตรายมาก ผู้ชายไม่ควรมีรอบเอวเกิน 90 ซม. ผู้หญิงไม่ควรเกิน 80 ซม.ผลการสำรวจล่าสุดพบว่าตอนนี้คนไทยมีเอวเกินมาตรฐาน 9 ล้านคน กลายเป็นโรคอ้วนลงพุงแล้วกว่า 6 ล้านคน รอบเอวที่เพิ่มขึ้นทุก 5 ซม.จะเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานมากขึ้น 3-5 เท่า หากอ้วนลงพุงแถมเป็นเบาหวานด้วยก็มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคหัวใจขาดเลือด 5 เท่า เสี่ยงเป็นโรคหยุดหายใจขณะหลับ 3 เท่า
ฝรั่งและฟักทอง
คนส่วนมากจะนิยมกินส้มกันมากเพราะเชื่อว่ามีวิตามินซีสูง แต่จริงๆแล้วฝรั่งมีวิตามินซีมากกว่าส้มถึง 5 เท่า และยังมีวิตามินเอ และบี กรดนิโคตินิก ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม เหล็ก โฟเลต ให้ปริมาณกากใยสูง มีไขมันต่ำ และให้พลังงานผลละ 25 แคลอรี่เท่านั้น ช่วยให้น้ำหนักลดสำหรับผู้หญิงที่คุมอาหาร
ผักอีกชนิดที่มีประโยชน์และทางเกาหลีค้นพบว่ามีสรรพคุณช่วยต้านโรคอ้วนก็คือ ฟักทอง โดยเฉพาะที่รากมีสารช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันสะสมในร่างกาย และช่วยละลายไขมันด้วย ทางเกาหลีกำลังสกัดเพื่อนำมาเป็น
ยาบำรุง ว่าแล้วก็หันมากินฝรั่งและฟักทองกันดีกว่า
คุยมือถือนานๆ ระวังหูหนวก
มีการเตือนจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมานานแล้วเรื่องโทษของการคุยโทรศัพท์มือถือวันละนานๆ แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไหร่ ล่าสุด วิทยาลัยทางการแพทย์ของอินเดียศึกษาและพบว่า ผู้ที่คุยมือวันละนานกว่าครึ่งชั่วโมง เป็นเวลา 4 ปีขึ้นไป มีโอกาสหูหนวกในที่สุด
แต่ถึงจะมีผลการศึกษาออกมา นักวิจัยนำข้อมูลออกประกาศเตือนประชาชนทั่วไป แต่ก็พบว่าประชาชนไม่ตื่นตัวและไม่ให้ความสนใจ ส่วนมากอ้างว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะคุยเรื่องงาน บางคนบอกว่าเคยเจ็บหูอยู่พักหนึ่งเช่นกัน แต่ในที่สุดก็หายไปเอง
จึงยังไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรม